Friday, September 4, 2020

Knife

 

หนังสือชื่อ   :  Knife

ผู้แต่ง  :  Jo Nesbo

ผู้แปล  :  Neil Smith

สำนักพิมพ์  :  Harvill Secker


หนังสือนี้เป็นเล่มล่าสุดของซีรีย์ Harry Hole ค่ะ เป็นเล่มต่อจากเรื่อง The Thirst -- ในเล่มนี้ นักสืบ Harry Hole ของเรา กลับมามีชะตาชีวิตตกอับอีกครั้ง น่าสงสาร ชีวิตเพิ่งดี เพิ่งตั้งตัวได้ ดูเหมือนมีความสุขกับคนที่รัก ในเล่ม The Thirst  ที่ผ่านมา มาเล่มนี้ ทุกอย่างตาลปัตรไปหมดเลยค่ะ


เล่มนี้สนุกค่ะ ปมต่างๆ ผูกไว้อย่างดี ถึงแม้อ่านแล้วจะเดาได้ตั้งแต่เกือบปลายเรื่องว่าใครคือฆาตกร แต่ก็ยังคาใจกับปมอื่นที่หนังสือผูกไว้ จนต้องอ่านจนจบ -- แต่ก็ยังยืนยันจากการอ่านซีรีย์ Harry Hole มาจนจะครบทุกเล่มแล้วว่า ผู้หญิงของ Hole เนี่ย ไม่ได้เรื่องสักคนค่ะ คิดถึงแต่ตัวเอง ทำอะไรตามใจตัวเองเป็นใหญ่ ถึงแม้สิ่งนั้นจะผิดศีลธรรม โกหก หักหลังคนที่รักเรา ก็หาได้แคร์ไม่


เรื่องมันเริ่มจาก Harry Hole ถูกภรรยา Rakel ที่โฮลรักมากๆ บอกเลิกค่ะ ถูกทิ้งว่างั้น โฮลกลับมาขี้เหล้าตามเดิม สูญเสียงานอาจารย์วิทยาลัยตำรวจ กลับมาเป็นตำรวจก๊อกๆ ..ที่ยังเป็นตำรวจอยู่ และไม่โดนไล่ออกก็เพราะ Katrine Bratt เพื่อนและอดีตลูกน้องของโฮล ซึ่งตอนนี้เธอกลายมาเป็นหัวหน้าตำรวจแล้ว ยังเก็บโฮลไว้ค่ะ

 Rakel บอกเลิกโฮลเพราะเรื่องนอกใจค่ะ คือทารกอายุแปดเดือนที่เป็นลูกของ Katrine Bratt กับเพื่อนของโฮลที่เป็นนักนิติเวชนั้น ดันออกมาหน้าตาเหมือนโฮลค่ะ ส่วนโฮลก็จำไม่ได้ว่าคืนนั้น (ที่เมามากๆ) ได้ร่วมหลับนอนกับ Katrine Bratt หรือเปล่า 

(อีตอนนี้แหละที่น่าหงุดหงิดในฐานะคนอ่านที่เป็นผู้หญิงแต่งงานแล้ว -- คือมันควรจะคุยกันป่ะ ไม่ใช่เอาแต่อารมณ์แล้วไล่ผู้ชายออกจากบ้าน มันควรจะไปถามผู้หญิง Katrine Bratt ในแน่ก่อน แล้วค่อยคุยกันดีๆ นี่ไล่เขาออกจากบ้าน ให้เขากลับไปจมชีวิตอยู่กับขวดเหล้าอีก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเป็นคนติดเหล้ามาก่อนและเพิ่งเลิกได้ คือคู่ชีวิตมันควรจะร่วมทุกข์ร่วมสุข ถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นทีมเดียวกันป่ะ ไม่ใช่ไม่พอใจก็ทิ้งผัวเป็นเศษผ้าเก่าๆ ซะงั้น)


หนังสือเล่มนี้อ่านแยกได้นะคะ แต่ถ้าได้อ่านเล่ม The Thirst จะช่วยให้เข้าใจอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น และ "อิน" กับเหตุการณ์มากขึ้นค่ะ -- คือในเล่ม The Thirst นั้น โฮลได้สังหารฆาตกรข่มขืนรายหนึ่งค่ะ ซึ่งฆาตกรคนนี้เป็นลูกของนักข่มขืน Svein Finne เป็นผลผลิตของการข่มขืนว่างั้น นักข่มขืนผู้เป็นพ่อ เพิ่งพ้นโทษออกจากคุกค่ะ และกลับมาข่มขืนหญิงคนหนึ่งที่สุสานในระหว่างที่เธอไปเยี่ยมหลุมศพของแม่ 

ส่วน Rakel พอเลิกกะโฮลไม่นาน ก็โดนฆาตกรรมค่ะ ถูกแทงด้วยมีด -- เลยเป็นที่มาของชื่อเรื่อง -- ผู้ต้องสงสัยสำหรับตำรวจก็หนีไม่พ้น สามีเก่า ซึ่งก็คือโฮล -- แต่โชคดีที่โฮลมีพยานว่า ช่วงเวลาที่ Rakel ถูกฆ่าตายนั้น โฮลเมาไม่รู้เรื่อง จนเพื่อนต้องพาส่งกลับแฟลตอยู่ค่ะ

 สำหรับโฮลแล้ว เขาสงสัยว่า  Svein Finne คือฆาตกรฆ่า Rakel ค่ะ เพื่อแก้แค้นที่โฮลฆ่าลูกชายของเขานั่นเอง 

ในเรื่องก็เลยเป็นการสืบหาว่า ใครกันแน่ที่ฆ่า Rakel -- จะเป็น Svein Finne อย่างที่โฮลสงสัย หรือคนอื่น???  นอกจากนั้นคนอ่านก็ลุ้นด้วยว่า นักข่มขืนที่น่ารังเกียจอย่าง Svein Finne จะได้รับผลกรรมของการกระทำหรือไม่

(Svein Finne นี่น่ารังเกียจจริงๆเลยค่ะ ขยะมาก คือเขาข่มขืนผู้หญิงเพราะต้องการแพร่พันธุ์ค่ะ จะข่มขืนผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่อยู่ในช่วงตกไข่ แล้วคอยเฝ้าดูเธอ ข่มขู่บังคับไม่ให้เธอทำแท้ง หรือแจ้งความ ให้เธอท้องและคลอดลูกของเขาค่ะ และเชื่อว่ามันเป็นความต้องการของพระเจ้าที่ให้เขาแพร่พันธุ์ ขยะแขยงสุดๆ)

สปอยด์... เรื่องนี้ สงสารฆาตกรค่ะ เป็นคนดีที่โดนรังแก คือเป็นคนดีท่ามกลางพวกเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง โกหก โดนหักหลัง จนในที่สุดเลยจุดที่ทนไหว จึงวางแผนเหล่านี้ขึ้นเพื่อแก้แค้น... ขนาดตอนจบ คนที่เป็นตัวปัญหาก็ยังไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปในอดีตเลยแม้แต่น้อย หงุดหงิดง่า









Monday, July 20, 2020

The Thirst





หนังสือชื่อ   :  The Thirst

ผู้แต่ง  :  Jo Nesbo

ผู้แปล  :  Neil Smith

สำนักพิมพ์  :   Harvill Secker


เรื่องนี้เป็นหนึ่งในซีรี่ย์สอบสวนของสารวัตร Harry Hole ค่ะ ต่อจากเรื่อง Police (ซึ่งยังไม่ได้อ่าน เนื่องจากเข้าใจผิด คิดว่าเรื่องนี้ต่อจากเรื่อง Phantom ตอนรู้ตัวว่าอ่านผิดลำดับ กำลังนั่งรถไฟไปต่างจังหวัด ก็เลยเลยตามเลยค่ะ เดี๋ยวค่อยกลับมาอ่าน Police ทีหลังล่ะกัน)

เล่มนี้สนุกค่ะ ดำเนินเรื่องรวดเร็ว ทำให้วางไม่ลง เพราะต้องลุ้นตลอดเรื่อง

ในตอนนี้ สารวัตร Hole ของเรามีชีวิตที่สงบสุขแล้วค่ะ (ในตอนเริ่มต้นเรื่อง) แต่งงานอยู่กินกับ Rakel รักแรกรักเดียวของเขา และได้งานทำเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนตำรวจ -- ชีวิตเรียบๆ ที่ดูจะเรียบง่ายเกินไป 

เรื่องยุ่งๆ เริ่มขึ้นเมื่อมีฆาตกรฆ่าหญิงสาวด้วยการกัดที่คอ และดื่มเลือด เหมือนแวมไพร์เลยค่ะ จากการสืบสวน ดูเหมือนฆาตกรน่าจะเป็นหนึ่งในคู่เดตของเหยื่อที่รู้จักกันทางแอพพลิเคชั่นทินเดอร์ (Tinders) แถมเหยื่อคนแรกเป็นทนายหญิงที่รับว่าความคดีข่มขืนด้วยค่ะ -- ทำให้การฆาตกรรมของเธอกลายเป็นข่าวดังไปทั่วนอร์เวย์

และต่อจากนั้น ก็มีเหยื่อเพิ่มขึ้นมาอีก ดูเหมือนตำรวจต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อจับคนร้ายมาลงโทษให้ได้ค่ะ -- และด้วยแรงกดดันของประชาชน (ซึ่งจะมีผลต่อตำแหน่งทางการเมืองของหัวหน้าตำรวจ) ทำให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นคู่ปรับของ Harry Hole (ทั้งคู่ไม่เชิงเป็นศัตรูกันค่ะ แต่จะเรียกว่าเพื่อนกันก็ไม่ได้ เอาเป็นแบบไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ก็แล้วกันค่ะ) ต้องขอ และกดดันให้ Harry Hole กลับมารับหน้าที่สืบสวนในคดีนี้ เนื่องจากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฆาตกรรมต่อเนื่อง

Harry Hole กลับมาทำคดีสืบสวนอีกครั้ง แต่ชีวิตส่วนตัวก็เริ่มดิ่งเหวอีกครั้งเช่นกันค่ะ เนื่องจากสุดที่รัก Rakel ป่วยด้วยโรคปริศนา นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ในโรงพยาบาล!

เรื่องนี้สนุก เพราะตอนแรกเหมือนคนร้ายเป็นหน้าใหม่ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะปกติอาชญากรคดีใหญ่ๆ มักเริ่มจากมีประวัติทำผิดคดีเล็กๆ มาก่อนทั้งนั้น -- ทำไปทำมา สืบพบว่า คนร้ายก็คือ คนร้ายที่ Harry Hole ตามจับเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้นั่นเอง แต่ปัญหาคือ คนร้ายทำศัลยกรรมใบหน้า และไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาปัจจุบันของคนร้ายเลย -- อ่านแล้วสนุกตรงลุ้นว่า จะจับคนร้ายได้ไหม

สนุกต่อมาคือ ถึงแม้จะรู้ตัวว่าใครเป็นฆาตกรแล้ว และน่าจะปิดคดีได้ แต่กลายเป็นว่ายังไม่จบ (หนังสือยังไม่หมดเล่มเลย) ดูเหมือนฆาตกรจะมีมันสมองคอยช่วยวางแผน ทำให้สามารถหลบเลี่ยงการจับกุมของตำรวจ และก่อคดีฆ่าคนตายได้หลายครั้ง -- แล้วใครคือคนบงการ? มีความสัมพันธ์ใดกับฆาตกร? คนบงการต้องการสิ่งใด? และบอกตรงๆ หมอที่รักษา Rakel ก็ดูไม่น่าไว้ใจ มีลับลมคมในแปลกๆ

หนังสือชื่อว่า The Thirst ซึ่งแปลว่า "ความกระหาย" มันไม่เชิงแค่ฆาตกรกระหายเลือด (เพราะฆ่าเหยื่อแล้วดื่มเลือดเหยื่อ) แต่อย่างเดียว แต่ยังหมายถึงความกระหายในอำนาจ กระหายในชื่อเสียง การได้รับการยอมรับด้วยค่ะ




Sunday, July 5, 2020

Phantom





หนังสือชื่อ  :  Phantom

ผู้แต่ง  :  Jo Nesbo

ผู้แปล  :   Don Bartlett

สำนักพิมพ์  :  Harvill Secker


เป็นหนังสือซีรีย์สอบสวนของสารวัตร Harry Hole ต่อจากเรื่อง The Leopard ค่ะ -- ในเล่มนี้ สารวัตรแฮรี่ของเราลาออกจากราชการตำรวจของนอร์เวย์ และย้ายไปอยู่ฮ่องกงแล้วค่ะ ไปเป็นเจ้าหน้าที่ทวงหนี้อยู่ที่ฮ่องกง ซึ่งเหมือนชีวิตจะดำเนินไปด้วยดีค่ะ 

เรื่องมันเริ่มมาจาก มีคดีเด็กวัยรุ่นติดยาถูกยิงตาย และตำรวจก็จับคนยิงได้แล้ว ปิดคดี คนยิงก็เป็นวัยรุ่นด้วยกัน คงมีปัญหากันเรื่องยา -- แต่มันจะไม่ใช่ปัญหาให้ Harry Hole ต้องกลับมานอร์เวย์เลย ถ้าคนร้ายที่ถูกจับในคดีนี้ ไม่ใช่ Oleg 

ถ้าเป็นแฟนหนังสือของ Harry Hole คงจำได้ว่า สารวัตรคนเก่งของเราเคยมีคนรัก (รักแท้ รักจริง แต่ไม่สมหวัง) คือ Rakel ซึ่ง Oleg ก็คือลูกติดของ Rakel ค่ะ และ Harry Hole มีความผูกพันกับสองแม่ลูกคู่นี้มาก Oleg เองก็ผูกพันและรัก Hole เหมือนพ่อแท้ๆ -- แต่ด้วยการตัดสินใจของแม่ Rakel ทำให้ความสัมพันธ์ต้องยุติลง และขาดการติดต่อกันตั้งแต่ในหนังสือเรื่อง The Snowman (ถึงตอนนี้ ถ้ายังไม่ได้อ่านเรื่อง The Snowman มาก่อน ก็สามารถอ่านเรื่องนี้ได้ ไม่มีปัญหาค่ะ อ่านเรื่องนี้เข้าใจ เพียงแต่จะได้อรรถรสมากขึ้น ถ้าได้อ่าน The Snowman มาก่อน)

Harry Hole กลับมานอร์เวย์เพื่อช่วยสืบสวน หาว่า Oleg คือฆาตกรฆ่า Gusto เพื่อนของเขาเองหรือไม่ -- ตอนนี้ Oleg เป็นวัยรุ่นแล้ว ไม่ใช่เด็กน่ารักเหมือนเมื่อก่อน ติดยา ค้ายา เข้าใจยากด้วย ขนาด Rakel แม่ของเขาเองยังเข้าไม่ถึงเลยค่ะ 

คดีนี้พัวพันไปถึงการค้ายาเสพติดตัวใหม่ ที่เรียกว่า violin ซึ่งสืบไปสืบมา พบว่ายาเสพติดตัวนี้มีโรงงานผลิตที่นอร์เวย์เอง! แตกต่างจากยาเสพติดตัวอื่นที่มักนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน -- เรื่องนี้พัวพันไปถึงการคอรัปชั่นในกรมตำรวจ ตำรวจคู่ปรับเก่าที่ตอนนี้ได้ดิบได้ดีในวงราชการ และพ่อค้ายาดูไบลึกลับที่ไม่เคยไม่ใครเห็นหน้าหรือรู้จัก 

กลายเป็นว่า จากคดีฆาตกรรมเด็กวัยรุ่นขี้ยาปลายแถว อย่าง Gusto โดยมีผู้ต้องสงสัยคนสำคัญคือ Oleg ภายใต้การเจาะสืบสวนของ Harry Hole นำไปสู่การถอนรากถอนโคนวงการค้ายาเสพติดตัวใหม่!

เรื่องนี้สนุกมากค่ะ สนุกกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ The Leopard -- มีทั้งการสืบสวนที่ชวนให้ลุ้นกว่าใครคือฆาตกรตัวจริง และดราม่า 
ในเล่มนี้ เห็นพัฒนาการของสารวัตร Harry Hole คือเขาไม่ใช้ไอ้ขี้แพ้แล้ว เขาดูโตขึ้น เหมือนผู้ใหญ่ที่ผ่านชีวิตมามากขึ้น ไม่เป็นไอ้ขี้เหล้าแล้ว แต่ผู้หญิงของ Harry Hole ก็ยังห่วยแตกค่ะ (ทุกเล่มของซีรีย์ ผู้หญิงของ Hole ไม่ได้เรื่องสักคน!) -- Rakel ยังโหยหาอดีต แต่ตัวเองเป็นคนตัดสินใจทิ้งแฮรี่เองนะ 

ตอนจบของเรื่องให้สัจธรรมค่ะ ว่าชีวิตก็เหมือนสายน้ำแหละ มันไม่ไหลหวนกลับมาอีกแล้ว อะไรที่ตัดสินใจไปแล้ว ถึงมารู้ตัวปลายหลังว่าตัดสินใจผิด หรืออยากเปลี่ยนการตัดสินใจ แต่เวลานั้นมันผ่านไปแล้ว มันย้อนกลับมาไม่ได้แล้ว ทางเดียวที่ทำได้คือ เดินหน้าต่อ รับผิดชอบการตัดสินใจเลือกทางเดินของตนในอดีต และเดินหน้าในเส้นทางนั้นต่อไปให้ดีที่สุดล่ะกัน....





Thursday, June 4, 2020

iWoz






หนังสือ :  iWoz


ผู้แต่ง  :  Steve Wozniak & Gina Smith

สำนักพิมพ์  :  Headline review


ปกติไม่ใช่คอหนังสือชีวประวัติค่ะ แต่เล่มนี้น่าสนใจ เป็นประวัติของชายผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple ร่วมกับ Steve Jobs อันโด่งดัง 

Steve Wozniak เป็นผู้ออกแบบฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ Apple I และ Apple II ค่ะ -- Apple I เนี่ยเขาออกแบบทั้งหมดคนเดียวเลย ส่วน Apple II ถือเป็นการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์เลยค่ะ ทำให้คอมพิวเตอร์เข้าสู่ยุคของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล -- ในวงการคอมพิวเตอร์ Wozniak ถือเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องมากค่ะ (คือคนในแวดวงคอมพิวเตอร์จะมองว่า Steve Jobs เก่งทางด้านการตลาดมากกว่าการออกแบบแผงวงจร ฮาร์ดแวร์ หรือเขียนโปรแกรม)

จะดูความสำเร็จของใครสักคนหนึ่ง เราต้องรู้สิ่งที่เป็นรากฐานในชีวิตของเขาค่ะ เรื่องในหนังสือเริ่มจากสมัยเด็กๆ ที่ Wozniak เติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อเป็นวิศกรในโครงการจรวดลับของกองทัพสหรัฐ พ่อมีอิทธิพลอย่างมากกับการดำเนินชีวิตของเขาค่ะ พ่อของ Wozniak เป็นคนที่เชื่อเรื่องเกียรติ ความซื่อสัตย์ และนั่นเป็นสิ่งที่ Wozniak ก็ยึดปฏิบัติมาเมื่อเติบโตขึ้น 

พ่อของ Wozniak เป็นวิศกร ตอนเด็กๆ พ่อมีวิธีการสอนที่ทำให้เด็กเล็กๆ อย่างเขาเข้าใจเรื่องซับซ้อน อย่าง "ตัวต้านทานทางไฟฟ้า" ได้อย่างง่ายๆ โดยอธิบายตั้งแต่พื้นฐานในระดับอะตอม 

ในวัยเด็ก จนถึงกระทั่งโต Wozniak สนุกกับการทำโปรเจ็คทางไฟฟ้า และก็แกล้งเพื่อน (prank) -- เขาเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยพูด แต่มีความซน ความคิดสร้างสรรค์ในหัว เขามีความใฝ่ฝันตั้งแต่วัยรุ่นแล้วค่ะ ที่จะสร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้น

ในหนังสือเล่าถึงความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนๆ รวมถึง Steve Jobs -- คือเขารู้จักกันมาตั้งแต่วัยรุ่นค่ะ Jobs เป็นรุ่นน้อง เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีหนึ่ง และถ้าเราอ่านไปเรื่อยๆ เราจะเห็นว่า Jobs กับ Wozniak นิสัยจะต่างกัน (หลักๆ คือ Wozniak เป็นพวก introvert ในขณะที่ Jobs เป็นพวก extrovert) -- รวมถึงเรื่องราวชีวิตสับสนทางอุดมการณ์ทางการเมืองในยุคสงครามเวียดนาม ที่เด็กวัยรุ่นอเมริกันสมัยนั้นต้องเผชิญ

ในหนังสือเล่าถึงประสบการณ์การทำงานที่บริษัท HP - Hewlett Packard เป็นวิศกรออกแบบเครื่องคิดเลข (สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องคิดเลขแบบพกพา) เขาชอบการทำงานที่นี่มาก และหวังว่าจะทำงานไปจนเกษียณ (Wozniak เป็นคนไม่ค่อยทะเยอทะยาน อยากรวยค่ะ สิ่งประดิษฐ์ที่เขาทำเป็นงานที่เรียกว่า just for fun เท่านั้นเอง ไม่ได้หวังรวยอะไรเลย)

หนังสือเล่าถึงแรงบันดาลใจในการประดิษฐ์ Apple I ซึ่งเป็นแค่โปรเจ็คสนุกๆ หลังจากเข้าร่วมงานสัมนาเกี่ยวกับไมโครโปรเซสเซอร์ และแรงบันดาลใจ รวมถึงวิธีคิดในการประดิษฐ์ Apple II การระดมทุน การลาออกจาก HP ความซื่อสัตย์ของเขาที่แจ้งให้ HP ทราบถึงไอเดียที่จะประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แต่ HP ไม่สนใจ ความรอบคอบในเรื่อง copyright และรวมถึงชีวิตส่วนตัว ชีวิตสมรส และลูกๆ

หนังสือเล่มนี้ เขียนขึ้นในปี 2006 ซึ่งตอนนั้นเขาลาออกจาก Apple แล้วค่ะ (แต่ Steve Jobs ยังไม่เสียชีวิต) ในหนังสือเล่าถึงเหตุผลที่แท้จริงที่เขาออกจาก Apple (คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเขาลาออกเพราะมีปัญหาภายใน เนื่องจากนักข่าวสัมภาษณ์และลงข่าวไปแบบนั้น) เล่าถึงอุบัติเหตุเครื่องบินตก ที่เขาบอกว่า มันเปลี่ยนชีวิตเขาไปเลย 

บางอย่างในหนังสือก็ไม่เข้าใจค่ะ อย่างที่บางตอน Wozniak พยายามอธิบายเรื่องไดโอด การทำงานของวิทยุ หรือการทำให้เกิดภาพสีของโทรทัศน์ (คือไม่มีพื้นฐานเรื่องไฟฟ้ามาก่อน อ่านไม่เข้าใจ) หรือเรื่องทางการเมือง สงครามเวียดนาม คือเกิดกันคนละยุค และอยู่กันคนละสังคม ทำให้อ่านแล้วนึกภาพตามไม่ออก หรือไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยไปกับผู้เขียนนัก

แต่หนังสือเล่มนี้ก็ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวตนของ Wozniak และเบื้องหลังความสำเร็จของเขา --- ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ -- สิ่งต่างๆ ที่เขาทำมาตั้งแต่เด็ก พ่อที่เป็นวิศกร สอนเขาเรื่องวิศวกรรมไฟฟ้า ต่อมาวัยเด็กก็ทำโปรเจ็คเกี่ยวกับไฟฟ้า อยู่ในสังคมเพื่อนฝูงที่สนใจเรื่องวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และตัวเขาเองก็สนุกกับมัน สนุกกับการสร้างสรรค์โปรเจคใหม่ๆ ขึ้นมาเสมอ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าโปรเจคนั้นจะทำเงินหรือไม่ -- จุดเหล่านี้ ต่อกันกลายเป็นความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ Apple II ที่คู่แข่งต้องใช้เวลาหลายปีเลยกว่าจะตามเทคโนโลยีของ Apple  ทัน

ไม่จัดว่าเป็นหนังสือที่สนุกหรือให้แรงบันดาลใจแบบไฟลุกขนาดนั้นนะคะ แต่เป็นหนังสือที่ดี และเล่าเรื่องตามความเป็นจริง เล่าเรื่องอย่างซื่อสัตย์ ไม่ได้ยกตัวว่าเป็นคนดี หรือเก่งกว่าชาวบ้าน -- จัดว่าเป็นหนังสือที่อ่านแล้ว ได้แง่คิด และไม่เสียเวลาอ่านอย่างแน่นอนค่ะ





Saturday, May 2, 2020

Het is oorlog maar niemand die het ziet





ชื่อหนังสือ  :  Het is oorlog maar niemand die het ziet

ผู้แต่ง  :  Huib Modderkolk

สำนักพิมพ์  :  Uitgeverij podium


เป็นหนังสือภาษาดัตช์ค่ะ แปลชื่อหนังสือเป็นไทยได้ว่า "มันคือสงคราม แต่ไม่มีใครมองเห็น" เป็นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องการโจมตีทางด้านไซเบอร์คอมพิวเตอร์ที่เกิดขึ้นในเนเธอร์แลนด์ อ่านแล้วเห็นว่าน่าสนใจที่จะบันทึกไว้ในบล็อกค่ะ ...น่าเสียดายที่ขณะนี้ หนังสือเล่มนี้ยังไม่มีแปลเป็นภาษาอื่นนะคะ 

ผู้เขียนเป็นนักข่าวค่ะ ดังนั้นการบรรยายในเล่มจึงให้อารมณ์เหมือนอ่านข่าว (เขียนวนไปวนมา ไม่ได้เรียงลำดับเหตุการณ์ตามการเกิดขึ้นก่อน-หลัง) แต่ปกติข่าวมักจะเป็นสกู๊ปสั้นๆ ไงคะ แต่นี่มายาวเป็นเล่ม หนาสองร้อยกว่าหน้า เลยน่าเบื่อค่ะ อีกทั้งผู้เขียนพยายามบรรยายฉากต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีให้เห็นภาพ แต่ขาดอารมณ์ร่วม ตัวละครเด่นๆ ก็ไม่มี ครั้นจะอ่านเอาเนื้อหาทางเทคนิคก็ไม่มีเช่นกัน ..สรุปเล่มนี้น่าเบื่อค่ะ
ที่มีดี จนยอมกัดฟันอ่านจนจบ คือ เป็นการเล่าเหตุการณ์การโจมตีทางด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ที่เกิดขึ้นจริงค่ะ เป็นการโจมตีในระดับระหว่างประเทศ เหมือนเป็นสงคราม แต่มีข่าวออกมาสู่ประชาชนทั่วไปน้อยมาก และคนส่วนใหญ่ไม่รู้

หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 4 ภาค 
ภาคที่ 1 -- เกิดอะไรขึ้น?
- เล่าเรื่องสาเหตุที่ผู้เขียนกลายมาเป็นนักเขียนเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ และการพยายามเข้าไปในโลกของการแฮกคอมพิวเตอร์
-  เล่าเรื่องบริษัท DigiNotar ที่โดนแฮกเมื่อ 31 สิงหาคม 2011 -- DigiNotar เป็นบริษัทที่ให้ใบเซอร์ บอกว่าเว็บไซต์นี้เชื่อถือได้หรือไม่น่ะค่ะ -- คาดว่าผู้อยู่เบื้องหลังการแฮกครั้งนี้ คือ ฝ่ายอิหร่าน (แต่ไม่มีหลักฐาน แค่ลือ ไม่มีการจับกุมคนกระทำผิดได้จริง และสุดท้าย Diginotar ก็เกือบล้มละลาย ต้องให้รัฐบาลฮอลแลนด์เข้าครอบครองกิจการ)
- เล่าเรื่องไวรัสคอมพิวเตอร์ Stuxnet ที่มุ่งโจมตีเครื่องปั่นหมุนเหวี่ยงในโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน คาดว่า อเมริกาอยู่เบื้องหลัง เพื่อกีดกั้นไม่ให้อิหร่านประสบผลสำเร็จในโครงการนิวเคลียร์
- การทำ DDOS โจมตีบริษัทอินเตอร์เน็ต KPN ในปี 2012 โดยคนร้ายคือเด็กดัตช์อายุ 17 ปีคนหนึ่งค่ะ 

ภาคที่ 2 -- ผลกระทบคืออะไร? 
- เล่าเรื่องการดักฟังการสนทนาตามสถานที่ต่างๆ เช่น ในแท็กซี่ ของหน่วยสืบราชการลับ -- คาดว่าเพื่อสร้างซอฟแวร์การดักฟังที่สามารถดักจับคำที่เกี่ยวกับการวางแผนก่อการร้าย 
- บริษัทโทรคมนาคมของเบลเยียม Belgacom ที่โดนแฮกโดยหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ ฝังตัวเข้าไปเพื่อดักฟังเรื่องต่างๆ 

ภาคที่ 3 -- นี่จะนำไปสู่อะไร?
- Tergeni Bogatsjov แฮกเกอร์ชาวรัสเซีย ใช้ไวรัสคอมพิวเตอร์ชื่อ Zeus ที่แฮกธนาคาร ABN Amro และทางการยุโรปต้องการตัว แต่จับไม่ได้ เนื่องจากอยู่ภายใต้ปีกรัสเซีย
- การขโมยเทคโนโลยีโดยประเทศจีน เช่น บริษัทผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตชิป ASML บริษัทความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ Rheinmetall หรือโรงแรม Mariott โดนขโมยข้อมูลของลูกค้ากว่า 500 ล้านคน
- บริษัทน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย Aramco โดนไวรัสคอมพิวเตอร์จากอิหร่านเล่นงาน
- ปี 2014 รัสเซียบุกยึดเมือง Krim ของยูเครน ในตอนนั้นแฮกเกอร์เนเธอร์แลนด์ (จาก MIVD) แอบเข้าไปสอดแนมในกลุ่มแฮกเกอร์รัสเซีย ชื่อ APT29 หรือ Cozy Bear ได้ และได้เป็นพยานรู้เห็นการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา 
- คดีอาชญากรรมในโลกคอมพิวเตอร์ เช่น เว็บโป๊ (บริษัทโฮสดิ้ง Leaseweb เป็นโฮสให้เว็บโป๊เด็กหลายเว็บ จนในที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมดัตช์ ออกกฎหมายให้ผู้ให้บริการต้องปิดเว็บโป๊เด็กภายใน 24 ชั่วโมงถ้าเจอ) บริษัท Acatel โดนฟ้อง เนื่องจากสตรีมมิ่งฟุตบอลพรีเมียร์ลีกผิดกฎหมาย 
- การโดนโจมตีด้วย Ransomeware เมื่อปี 2017 โดยมีจุดเริ่มต้นที่ยูเครน จากโปรแกรมบัญชีชื่อ M.E.Doc จากนั้นก็ลุกลามติดไวรัสไปทั่วโลก รวมถึงที่บริษัทขนส่งทางเรือ APM ที่เมืองรอตเตอร์ดัมด้วย -- คาดกันว่า รัสเซียอยู่เบื้องหลัง เนื่องจากตอนนั้นรัสเซียกับยูเครนขัดแย้งกัน
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2015 ก็เคยมีไวรัสคอมพิวเตอร์โจมตีโรงงานไฟฟ้าในภาคตะวันตกของยูเครน คนกว่าสองแสนคนไม่มีไฟฟ้าใช้ในฤดูหนาว -- คาดว่าเป็นฝีมือของ unit 74455 ของรัสเซีย
พฤศจิกายน 2017 unit 26165 แฮกเข้ามาในสถานทูตยูเครน ณ กรุงเฮก เพื่ออ่านและส่งอีเมล์ในนามสถานทูต เป็น phishing mail
OPCW องค์กรของยูเอ็นที่เกี่ยวกับการใช้สารเคมีในสงคราม ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก โดนสปายรัสเซีย 4 คนดักฟัง แต่โดนจับได้เสียก่อน
- ปี 2018 มีการทำประชาพิจารณ์เกี่ยวกับกฎหมาย sleepnet กฎหมายที่ให้อำนาจแก่รัฐในการดักฟังผู้ต้องสงสัยว่าจะก่อการร้าย ผลประชาพิจารณ์รัฐแพ้ แต่รัฐบาลก็ผ่านกฎหมายอยู่ดี 
เนเธอร์แลนด์พบไวรัสคอมพิวเตอร์ชื่อ Triton ในปี 2018 เป็นไวรัสที่มีเป้าหมายโจมตีโรงงานไฟฟ้า โรงงานปิโตรเคมี และโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ พบว่าถูกใช้ครั้งแรกในปี 2017 ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
ปี 2019 Bureau Jeugdzorg ทำข้อมูลแฟ้มประวัติของเด็กกว่า 3,000 คนรั่ว
โรงพยาบาล Gelre Ziekenhuis โดน phishing mail โจมตี ทำให้ข้อมูลคนไข้รั่ว
ซอฟแวร์สปายที่สร้างโดย Gamma Group เป็นซอฟแวร์ที่เจ้าหน้าที่ตุรกีใช้ เพื่อดูความเคลื่อนไหวของผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาล
ปี 2015 เป็นปีแรกที่คดีอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์มีจำนวนมากกว่าคดีขโมยจักรยาน 
ปี 2018 มีคนดัตช์กว่า 3.3 ล้านคน ต้องเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์




Saturday, March 7, 2020

The Obsession





หนังสือชื่อ  :  The Obsession

ผู้แต่ง  :  Nora Roberts

สำนักพิมพ์  :  Berkley 



ช่วงนี้เครียด ๆ กับข่าวสารบ้านเมืองค่ะ เลยอยากหาอะไรที่เบา ๆ มาอ่าน แบบโรแมนติก จบแบบ happy ending ค่ะ -- นี่เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่อ่านนิยายของนอร์ร่า โรเบิร์ต แต่เคยได้ยินชื่อเธอมานานแล้วนะคะ เพียงแต่ยังไม่เคยหยิบมาอ่านเท่านั้นเอง

อ่านแล้วเข้าใจเลยค่ะว่า ทำไมผู้เขียนท่านนี้ถึงประสบความสำเร็จในงานเขียน คือสำนวนการเขียนเธอดีค่ะ อ่านง่าย มองเห็นภาพ 

เรื่องนี้เป็นแบบโรแมนติกสอบสวน ประมาณนั้นค่ะ ไม่ได้ฟินจิกหมอนนะคะ 
ตัวเอกของเรื่องชื่อ  นาโอมิ (Naomi) ค่ะ เรื่องเล่าตั้งแต่ตอนเธออายุ 12 ขวบ ก่อนวันเกิดของเธอ เธอแอบตามพ่อของเธอเข้าไปในป่าในคืนวันหนึ่ง เพราะเข้าใจตามประสาเด็กว่าพ่อซ่อนของขวัญวันเกิดที่เธออยากได้ไว้ในป่า  ...แต่กลายเป็นว่า เธอเจอผู้หญิงที่พ่อของเธอขังเอาไว้ค่ะ เธอช่วยผู้หญิงออกมา  -- และกลายเป็นว่า พ่อของนาโอมิคือฆาตกรต่อเนื่อง ลักพาตัวผู้หญิง จับมาขัง ทรมานและข่มขืน และสุดท้ายก็ฆ่าทิ้ง

พ่อของนาโอมิเป็นพวกโรคจิตค่ะ เป็นแบบพวกชอบควบคุม รู้จักการใช้จิตวิทยาเพื่อควบคุมคนในครอบครัว - พอพ่อโดนจับ ความจริงเปิดเผย กลับเป็นแม่ของนาโอมิที่รับกับเรื่องนี้ไม่ได้ค่ะ กลายเป็นโรคซึมเศร้า คือแบบแต่งงานกับพ่อมานาน โดนพ่อครอบงำ จนเชื่อทุกอย่างที่พ่อพูด 

ข่าวของพ่อ ทำให้นาโอมิไม่สามารถอยู่ที่หมู่บ้านเดิมได้ ทั้งนาโอมิ น้องชาย และแม่ เลยต้องย้ายมาอยู่กับลุง ซึ่งเป็นน้องของแม่ ลุงเป็นเกย์อยู่กับพาร์ทเนอร์ ทุกคนกลับมาใช้นามสกุลเดิมของแม่ก่อนแต่งงาน

แม่ของนาโอมิโดนพ่อครอบงำมานาน ถึงแม้พ่อจะติดคุก แม่ก็ยังไปเยี่ยม และพ่อก็บงการให้แม่ทำสิ่งที่เขาต้องการ เช่น ให้ขายรูปครอบครัวแก่นักข่าว ขายเรื่องเล่าครอบครัวแก่นักเขียน ทำให้ชีวิตของนาโอมิไม่สงบสุข -- จนกระทั่งสี่ปีต่อมา พ่อที่แม่รักมาก ส่งทนายมาขอหย่า เพราะเจอคนใหม่ (ทั้ง ๆ ที่อยู่ในคุกนันแหละค่ะ) แม่รับไม่ได้ค่ะ กินยาฆ่าตัวตาย และนาโอมิคือผู้พบศพ

เกือบครึ่งเล่มก็จะปูพื้นชีวิตของนาโอมินี่แหละค่ะ ...และก็เข้าเรื่องโรแมนติกค่ะ

นาโอมิกลายเป็นช่างภาพที่ประสบความสำเร็จ หลังจากเดินทางไปทั่วประเทศมาหลายปี นาโอมิก็คิดจะลงหลักปักฐาน เธอซื้อบ้านหลังใหญ่ สวย แต่เก่า ต้องการซ่อมแซมอย่างมากที่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในวอชิงตันค่ะ 

เพราะบ้านเก่า ต้องการการบูรณะ เธอเลยได้รู้จักกับ Kevin ช่างทำบ้านและครอบครัวของเขา และเนื่องจากเป็นเมืองเล็กๆ เธอก็เลยรู้จักคนอื่นๆ ด้วย รวมถึง Xander ช่างซ่อมรถประจำเมือง

ความสัมพันธ์ระหว่างนาโอมิกับแซนเดอร์ พระเอก ไม่ได้ร้อนแรงอะไรนะคะ คือแบบคลิกกันก็จริง แต่นางเอกไม่อยากสานต่อ เพราะนางเอกอยากอยู่ที่นี่นานๆ ถ้ามีความสัมพันธ์กับพระเอกแล้วไปไม่รอด จะมองหน้ากันไม่ติดไปเปล่าๆ -- แต่ไป ๆ มา ๆ ก็นะ 

พระเอกเป็นคนประมาณดื้อเงียบ ไม่รับฟังคำปฏิเสธของนางเอกให้เสียกำลังใจ คือมั่นใจว่ายังไงๆ ก็จะได้สิ่งที่ต้องการ 

ในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปด้วยดี -- ก็เริ่มมีเงาร้ายเข้ามา มีผู้หญิงถูกลักพาตัว ถูกข่มขืนและฆ่า แล้วก็เอาศพมาทิ้ง -- นางเอกเป็นคนไปเจอศพค่ะ -- แล้วสัปดาห์ต่อมาก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งในเมืองถูกลักพาตัว
น้องชายก็นางเอก ซึ่งทำงาน FBI เป็นอาชญาจิตวิทยา ก็ขออาสามาสืบคดี -- กลายเป็นว่า ฆาตกรน่าจะเป็นคนที่นางเอกรู้จัก และน่าจะได้แรงบันดาลใจจากพ่อของนางเอก เพราะเมื่อสืบย้อนกลับไป กลายเป็นว่า ภาพที่นางเอกถ่าย หลังจากนั้นจะมีศพมาทิ้งไว้ คือแบบฆาตกรตามรอยนางเอก นางเอกไปไหน ถ่ายภาพอะไร ฆาตกรก็จะเอาศพมาทิ้งในสถานที่ที่นางเอกเพิ่งถ่ายรูปไป

ดังนั้นช่วงท้ายๆ เล่มก็จะเป็นการหาค่ะว่าใครคือฆาตกร สลับกับเรื่องหวาน ๆ ของนางเอกกับพระเอก ที่เริ่มรู้ใจตัวเองว่ารักอีกฝ่าย 

-------------
อ่านสนุก เบาๆ ค่ะ สำนวนดี แต่น้ำเยอะไปหน่อย อาจจะเพราะคาดหวังว่าจะได้อ่านเรื่องฟินจิกหมอน รักหวานแหวว แต่ผู้เขียนเขียนบรรยายเรื่องความสัมพันธ์ของนางเอกกับคนโน่นคนนี้เยอะไปหน่อย กับพระเอกแค่นิดเดียว เนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น ตัวโกงก็พอคาดเดาได้ ...เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับอ่านเวลาเครียด ๆ ค่ะ




Saturday, January 4, 2020

The Leopard





ชื่อหนังสือ  :  The Leopard

ผู้แต่ง  :  Jo Nesbo

ผู้แปล  :  Don Barlett

สำนักพิมพ์  :  Vintage Books


เล่มนี้ของ Jo Nesbo เป็นหนึ่งในซี่รีย์ของสารวัตร Harry Hole ค่ะ เป็นเล่มต่อจากเรื่อง Snow man (คืออ่านเล่มนี้ ถ้าได้อ่าน Snowman มาก่อนจะอ่านสนุกขึ้นค่ะ เพราะในเล่มนี้ ผู้เขียนเล่าเรื่องปมทางจิตใจของ Harry Hole ที่ได้รับผลกระทบมาจากเรื่อง Snowman ค่ะ) 

เรื่องนี้สนุกตั้งแต่บทแรกๆ จนจบเล่มเลยค่ะ วางไม่ลง เรื่องมันผันผวน พลิกไปพลิกมาตลอด -- เรื่องมันเริ่มจาก หลังจากเหตุคดี Snowman สารวัตร Harry ของเราก็ลาออก และย้ายไปอยู่ฮ่องกงค่ะ แต่ที่นอร์เวย์ดันมีคดีฆาตกรรมต่อเนื่องเกิดขึ้น ...ตำรวจยังจับตัวคนร้ายไม่ได้...และดูเหมือนฆาตกรจะล่าเหยื่อเพิ่มขึ้นๆ ...มีเพียงคนเดียวที่คาดว่าจะหยุดคนร้ายได้...ดังนั้นภารกิจตามตัวสารวัตร Harry จึงเริ่มขึ้นค่ะ

ในเล่มนี้สารวัตร Harry Hole ต้องทำงานร่วมกับนักสืบสาวสวย ชื่อ Kaja Solness ซึ่งเธอก็คือคนที่ไปตามตัวสารวัตร Hole ที่ฮ่องกงนั่นเอง

ตอนที่ Harry Hole มาถึงนอร์เวย์นั้น ฆาตกรฆ่าคนไปแล้ว 3 คนค่ะ ทั้งหมดเป็นผู้หญิง สองคนแรกตายเนื่องจากจมเลือดตัวเองตายค่ะ คือเลือดไหลจนหมดตัว ในขณะที่คนสุดท้ายที่โดนฆ่านั้น ถูกแขวนคอและโดนเชือกเหวี่ยงรัดคอจนคอขาด คนสุดท้ายนี้เป็นนักการเมืองค่ะ จึงทำให้เป็นข่าวดังในนอร์เวย์

ในการสืบสวนคดีฆาตกรรมครั้งนี้ นอกจาก Harry Hole ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อหาตัวคนร้ายให้ได้แล้ว ยังมีเรื่องการเมืองในที่ทำงานด้วยค่ะ คือในหน่วยงานตำรวจเขามีแผนจะจัดผังองค์กรกันใหม่ โดยจะลดบทบาทการทำงานด้านการสืบสวนคดีฆาตกรรมของ Crime Squad ที่ Harry Hole สังกัดอยู่ ให้ไปขึ้นกับหน่วยงานที่ชื่อย่อว่า Kripos

การนี้จึงเป็นการชิงไหวชิงพริบว่าใครจะหาตัวคนร้ายได้ก่อนกัน ระหว่าง Harry Hole จาก Crime Squad และ Mikael Bellman หัวหน้า Kripos -- แต่ Kripos จะเป็นต่อกว่าเยอะหน่อยค่ะ เพราะมีกำลังเงิน กำลังคนมากกว่า

การสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ต้องหาจุดเชื่อมของเหยื่อให้ได้ค่ะ เพราะเบื้องต้นเหยื่อแต่ละคนไม่มีใครรู้จักกันเลย สืบสวนปรากฎว่า เหยื่อทุกคนเคยเจอหน้ากันที่เคบินเล่นสกีแห่งหนึ่งในนอร์เวย์ค่ะ คือพักหนึ่งคืนในเคบินเดียวกัน แล้วหลักจากนั้น คนที่พักในเคบินนั้นก็ทยอยโดนฆาตกรรมทีละคนๆ -- และวิธีการสังหารเหยื่อแต่ละคนของฆาตกรรายนี้ ก็แตกต่างกันไป เหยื่อคนที่ 1 และ 2 ที่ตำรวจเจอตายตัวอาวุธเดียวกัน แต่เหยื่อคนที่ 3 และคนถัดๆ มา ตายด้วยวิธีอื่น ...ซึ่งแตกต่างจากตำราฆาตกรต่อเนื่องที่ตำรวจเรียนมาค่ะ

งานนี้ Harry Hole ต้องตามล่าคนร้ายที่นอร์เวย์ ต้องไปหาต้นตอของอาวุธสังหาร ชื่อ Leopold's Apple  ที่ประเทศคองโกด้วยค่ะ ...ออ...ในเล่มนี้ Harry Hole ไม่ติดเหล้าแล้วค่ะ (ดีใจ) แต่ก็ยังแตกหัก มีปัญหาเหมือนเดิม


เรื่องนี้ครบรสค่ะ คือลุ้นว่า Harry Hole จะจับคนร้ายได้ไหม คนร้ายคือใคร แล้วก็ต้องหงุดหงิดกับความเจ้าเล่ห์ของ Bellman ที่คอยตัดหน้าแย่งผลงานของ Hole ตลอด -- คือ Bellman เป็นตำรวจทะเยอทะยานและต้องการก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยไม่รู้สึกผิดหากจะฉกฉวยผลงานของ Hole มาเป็นของตัว หรือถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น ก็โยนความผิดนั้นให้ Hole แล้วก็เอาหน้าว่า ตนเองนั้นมากู้สถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายขึ้น! และในขณะเดียวกันพ่อของ Harry Hole ก็เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลค่ะ เรียกว่าใกล้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว

เล่มนี้อ่านสนุก ตื่นเต้นและลุ้นทั้งเล่มค่ะ ติดแต่ว่าจะรำคาญผู้หญิงของ Harry Hole -- คือเท่าที่อ่านซีรี่ย์นักสืบของผู้แต่งคนนี้หลายๆ เล่มต่อกัน ผู้หญิงที่ Harry Hole มีความสัมพันธ์ด้วยน่ารำคาญทุกคนเลยค่ะ นักสืบ Kaja น่ารำคาญมาก พวกบูชาความรัก อารมณ์อ่อนไหว อ่อนโลก มาอยู่ในหนังสือนักสืบที่ทั้งเรื่องมีความเทาๆ มันอาจจะช่วยลดโทนเรื่องให้เบาลง แต่มันไม่เข้ากันเลยค่ะ -- คือผู้แต่งเขียนส่วนที่เป็นอารมณ์อ่อนไหวของ Harry Hole ได้ดูเรียล สมจริงค่ะ ทำให้เรารู้สึกว่า Harry Hole ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ติดเป็นพวกล้มเหลว แตกหัก มีปมในใจ...แต่พอเขียนในส่วนของผู้หญิง มันดูเหมือนเธอเป็นพวกไม่มีสมอง เพ้อฝันไปเลย....อันนี้วิจารณ์ความเห็นส่วนตัวนะคะ

---------------------------------------------------------------

สปอยด์ --- Jo Nesbo เขียนเรื่องได้ซับซ้อนดีมากค่ะ คือกลายเป็นว่า ฆาตกรฆ่าเพราะเข้าใจผิด คือฆาตกรโดนแบล็กเมล์จากชู้รักว่าจะเปิดเผยเรื่องที่เขามีชู้แก่คู่หม้้น แลกกับเงินค่าปิดปาก -- เนื่องด้วยคนร้ายมีสันดานใช้ความรุนแรงเมื่อโกรธ (สืบไปถึงปมหลังรุ่นพ่อเลย และการถูกทารุณสมัยยังเด็ก)  ก็เลยจัดการฆ่าปิดปากหญิงชู้เสีย -- แต่จริงๆ แล้วชู้ไม่ได้เป็นคนส่งจดหมายแบล็กเมล์ หากแต่เป็นคู่แค้นของเขาในอดีต (คือส่งจดหมายมานัดให้ทั้งคู่พบกัน แล้วก็แอบซุ่มถ่ายรูปดูอยู่ค่ะ แบบหวังว่าจะได้ภาพเด็ดๆ ฉากตบตี ...แต่กลายเป็นได้ฉากฆาตกรรมแทน)

แทนที่จะเอาภาพนั้นให้ตำรวจดีๆ เขากลับส่งจดหมายแบล็กเมล์ลงชื่อคนอื่นๆ ที่พักในเคบินร่วมกันในคืนนั้นไปเรื่อยๆ ค่ะ และคนที่ถูกอ้างชื่อก็โดนฆาตกรรมเรื่อยๆ -- จนถึงจุดหนึ่งฆาตกรเริ่มเอะใจว่ากำลังตกหลุมพราง และก็คิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังปั่นหัวเขาทั้งหมดนี้คือ...พ่อของเขาเอง -- เลยตามไปฆ่าพ่อตัวเอง แต่กลายเป็นว่า พ่อที่เขาแสนเกลียดชัง ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

ส่วนไอ้คนชักใยอยู่เบื้องหลัง (คู่แค้นของฆาตกร) ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนใกล้ตัวสารวัตร Hole นั่นเอง!