Saturday, December 25, 2021

Last Tang Standing

 


หนังสือชื่อ  :  Last Tang Standing

ผู้เขียน  :  Lauren Ho

สำนักพิมพ์  :  Harper Collins Publishers


ตลก สนุก โรแมนติก และได้แง่คิดค่ะ เหมือนดูรายการ Crazy Rich Asians ผสมกับอ่านหนังสือ Bridget Jones Diary รวมๆ กันยังไงยังงั้นเลยค่ะ 

.

หนังสือเป็นไดอารี่ของ Andrea Tang ค่ะ อายุ 33 ปี ดูภายนอกเธอดูเป็นคนเก่ง พร้อมไปหมดทุกอย่าง เป็นทนายความที่กำลังรุ่งในหน้าที่การงาน ทำงานบริษัททนายความชั้นนำของสิงคโปร์ เรียนจบจากอังกฤษ พูดได้หลายภาษา บ้านก็รวย ... แต่คนรวยก็มีทุกข์ของคนรวยเนอะ

ทุกข์ของ Andrea คือเป็นสาวคนสุดท้ายในตระกูล Tang ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ... คือต้องนึกภาพครอบครัวคนจีนนะคะ Andrea เป็นคนจีน-มาเลเซีย แต่มาทำงานที่สิงคโปร์ คนจีนจะมีค่านิยมว่าพออายุถึงวัยแล้ว ผู้หญิงต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ควรแต่งงานกับคนที่เหมาะสม และมีลูกสืบวงศ์ตระกูลค่ะ ดังนั้น Andrea เนี่ยถือว่าช้ามากแล้วค่ะ แถมล่าสุด ลูกพี่ลูกน้องของ Andrea ที่รู้ๆ กันว่าเป็นเลสเบี้ยน จู่ๆ ก็ประกาศแต่งงานค่ะ 

ในหนังสืออธิบายให้คนอ่านเข้าใจวัฒนธรรมคนเอเชีย เรื่องความกตัญญูที่มีต่อพ่อแม่ หรือผู้มีพระคุณของเอเชีย คือฝรั่งคงงงว่าทำไมต้องยอมให้คนอื่นมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว แต่ค่านิยมของคนเอเชียมันสลัดยากจริงๆ ค่ะ ค่านิยม "อวด" ชีวิตดี๊ดี ลูกหลานฉันดีอย่างนั้นอย่างนี้ อวดกันเนี่ย ดูเหมือนฝั่งคนจีนเขาจะแรงกว่าญาติพี่น้องคนไทยเยอะเลยค่ะ

หลังชนฝาแล้ว Andrea ต้องหาผัวให้ได้ค่ะ ไม่งั้นป้า wei wei จะตัดออกจากกองมรดก Andrea ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ และตัวเธอเองก็โหลดแอปหาคู่มาลองเล่นดูค่ะ

ไปๆ มาๆ คนไม่มีแฟนเลย (เคยมีแต่เลิกไปแล้ว) พอดวงจะมี ก็มีผู้ชายมาให้เลือกถึง 3 คนค่ะ 

คนแรกคือ Orson อายุ 23 ปี คนนี้ไม่ได้เรื่องค่ะ (คนอ่านตัดสิน) ถ้าเราอ่าน เราจะรู้สึกว่า ถึงแม้ Andrea จะอายุไม่น้อยแล้ว แต่เธอค่อนข้างไร้เดียงสา คือไว้ใจคนง่าย มองคนไม่ออก หรือไม่ก็คงเพราะความรักความหลงบังตา 

ลืมบอกไป ถ้าเชื่อเรื่องพรหมจรรย์อะไรพวกนี้ ไม่ต้องหยิบเรื่องนี้มาอ่านเลยนะคะ นางเอกของเรามีเซ็กส์เมื่อรู้สึกดีกับคนๆ นั้นค่ะ คือไม่ได้ซีเรียสว่าต้องคบหาดูใจกันสักระยะก่อนอะไรเทือกนั้น

คนที่สองคือ Eric คนนี้ โครตรวยค่ะ รวยมากๆ เป็นคนอินโดนีเซีย เชื้อสายจีน เจอกันที่งานบุ๊กคลับ Eric ประทับใจนางเอก เพราะความสวย ฉลาดของเธอ ... พอเราอ่านไปสักพัก เราจะเห็นความเหมาะสมในภายนอกของทั้งคู่ แต่ขณะเดียวกันก็เห็นความดูเหมือนเคมีจะเข้ากัน ..แต่จริงๆ แล้วไม่เข้ากัน คือ Eric เหมาะกับผู้หญิงหัวอ่อนหน่อยนะคะ แต่ Andrea ไม่ใช่ นางเป็นเวิร์กกิ้งวูแมน เป็นผู้หญิงทำงาน และมีปมเรื่องการรับความช่วยเหลือโดยเฉพาะทางการเงินจากคนอื่น เพราะชีวิตที่ผ่านมา ป้า Wei Wei ออกเงินค่าโรงพยาบาลให้พ่อ หรือพ่อแม่ที่ทำงานหนักส่งเสียเธอเรียน จนเธอรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ และรู้สึกเหมือนติดกับ ไม่มีอิสระในชีวิต เพราะคนเหล่านี้เข้ามาก้าวก่ายชีวิตเธอในขณะที่ Eric ติดนิสัยคนรวย เผด็จการหน่อยๆ อะไรใช้เงินซื้อได้ก็ซื้อเลย ไม่ปรึกษานางเอกก่อน ...​สรุป Eric คือบุคลิกเป็นพระเอกในนิยายไทยหลายๆ เรื่องที่เคยอ่านมาเลยล่ะค่ะ

คนที่สามเป็นเพื่อนร่วมงานค่ะ ชื่อ Suresh เป็นคนสิงคโปร์ เชื้อสายอินเดีย นางเอกมองว่า Suresh เป็นคู่แข่งชิงเลื่อนตำแหน่งเป็นพาร์ทเนอร์ค่ะ แต่เนื่องด้วยสำนักงานกำลังปรับปรุง ดังนั้น Suresh และนางเอกจึงต้องมาใช้ห้องทำงานร่วมกันชั่วคราว ... คนอ่านจะเห็นความเคมีเข้ากันของคู่นี้ค่ะ คือมันเริ่มจากนางเอกเห็น Suresh เป็นศัตรู เลยทำตัวร้ายๆ แต่ร้ายของเธอมันไร้เดียงสาไงคะ ดูตลกๆ มากกว่า ดูไม่มีชั้นเชิง ... จากนั้นทั้งคู่เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น มีงานที่ต้องทำร่วมกัน Suresh เริ่มเล่าความฝันลึกๆ ในชีวิตของเขาให้เธอฟัง ส่วนเธอก็สนับสนุนให้เขาทำตามฝัน คือไม่ได้หัวเราะเยาะ หรือมองว่าไร้สาระเหมือนที่คนอื่นๆ คิด 

ถึงเราจะเห็นเคมีที่เข้ากันของ Andrea และ Suresh แต่ภายนอกนั้นทั้งคู่ไม่เหมาะสมกันหรอกค่ะ คือความรักมันอาจจะเร่ิมต้นด้วยคนสองคน แต่สุดท้ายมันก็มีญาติพี่น้องสังคม ... Suresh เป็นคนอินเดีย ที่พ่อแม่ก็อยากให้แต่งงานกับคนเชื้อสายอินเดียด้วยกัน วรรณะเดียวกันยิ่งดี ส่วน Andrea เป็นคนเชื้อสายจีน ที่ "ควร" หาคู่ครองที่เป็นคนจีนด้วยกัน และอีกประเด็นสำคัญ Suresh มีคู่หมั้นแล้วค่ะ กำลังจะแต่งงานด้วย (แต่คู่หมั้นยังอยู่อังกฤษ) ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง Andrea กับ Suresh ก็เลยออกจะคลุมเครือๆ อย่างนี้ไปเกือบตลอดเรื่องค่ะ

ในหนังสือ ชอบตอนที่นางเอกไปบังเอิญเจอแฟนเก่าเดินควงมากับแฟนใหม่ และเลี่ยงไม่ได้ เลยจำเป็นต้องทักทายกัน นางเอกพยายามกดให้แฟนใหม่ของแฟนเก่าดูต่ำกว่าเธอ (เช่น ถามว่าทำงานอะไร ฯลฯ) จนแฟนเก่าต้องด่านางเอกใส่หน้า ประมาณว่า "คุณเกลียดผม เพราะผมอยู่ในระบบและชอบมัน ในขณะที่คุณมักทำตัวเหนือกว่า เหมือนกับว่าคุณมีที่ที่ดีกว่าให้ไป แต่รู้อะไรไหม คุณก็ยังคงอยู่ในระบบ"

เพราะ Andrea มีความฝันอยากทำงานเป็นทนายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนค่ะ แต่ทนายแบบนั้นรายได้ไม่ดี ตัวเธอเองมีค่าโน่นค่านี่ต้องจ่าย มีสังคม มีแฟชั่นที่ต้องตาม ฯลฯ ทั้งหมดนี้ใช้เงิน ดังนั้นเธอจึงยังคงต้องติดอยู่ในวังวนของการทำงานหนัก

จริงนะ บางครั้งเราอยู่ในระบบ ในสังคมที่เราไม่ชอบ ไม่มีความสุข แต่เราไม่เคยเลยที่จะดิ้นรนที่จะออกไป ยังคงติดอยู่กับการไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ชีวิตคู่ครอง หรือสังคมที่มีอยู่ ... จริงๆ ทางออกมันมีแหละ แต่เราไม่มีความกล้าที่จะเลือกมันต่างหาก

สรุปคือ ค่านิยมแบบเอเชียที่ชอบเปรียบเทียบความสำเร็จของแต่ละคนด้วยสิ่งของ วัตถุเนี่ย เป็นค่านิยมที่น่ากลัวมาก แต่ในอีกด้าน มันคือความกดดันที่ทำให้ลูกหลานเอเชียประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนะคะ

.

อยากเห็นหนังสือเล่มนี้แปลเป็นภาษาไทย น่าจะอ่านเข้าใจกว่านี้ เพราะในเล่มมีศัพท์บางคำที่ดูเหมือนเป็นทับศัพท์ หรือเป็นแสลงของสิงคโปร์ อ่านไม่เข้าใจบางคำค่ะ แต่โดยรวมแล้วไม่มีปัญหา มีศัพท์ทางกฎหมาย มีเรื่องทางกฎหมายที่นางเอกทำงาน อันนี้ก็อ่านไม่เข้าใจเพราะไม่ได้มีพื้นอยู่ในวงการนี้ ...แต่โดยรวมแล้วหนังสือสนุก ขำ คลายเครียดและให้แง่คิดค่ะ แนะนำค่ะ

Monday, December 20, 2021

The Teacher

 


หนังสือชื่อ  :  The Teacher

ผู้แต่ง  :  Katerina Diamond

สำนักพิมพ์  :  Avon


หดหู่ ตัวละครเยอะจัด สนุกแต่ไม่สุด ...นี่คือความรู้สึกหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ

ตอนหยิบมาอ่านตอนแรก อยากได้หนังสือแนวนักสืบ สืบสวน...แต่กลายเป็นผิดหวังค่ะ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เน้นสืบสวนหาหลักฐาน แบบพระเอกในเล่มเป็นตำรวจหาหลักฐานต่างๆ เชื่อมโยงกัน อะไรแบบนี้เลยค่ะ 

หนังสือออกแนวเหมือนเรากำลังดูโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์มากกว่า คือเห็นภาพการกระทำต่างๆ ของคนร้าย เพียงแต่ไม่เห็นหน้าว่าใครเป็นคนทำ แต่เขียนบรรยายการกระทำของคนร้าย ความคิดการกระทำของเหยื่อ

เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่เมือง Exeter ของอังกฤษ ... หนังสือเปิดตัวด้วยการตายของ Jeffrey Stone ครูโรงเรียนมัธยม ที่แขวนคอตาย ลักษณะเหมือนฆ่าตัวตาย แต่คนอ่านอย่างเรารู้ว่าไม่จริง Jeffrey ตายเพราะถูกบังคับให้แขวนตัวเองต่างหาก

โรงเรียนที่ Jeffrey สอนคือโรงเรียนที่ Tom ลูกชายของนายตำรวจ Adrian Miles เรียนอยู่ค่ะ -- Adrian คือพระเอกของเรื่องนี้ เขากำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ ถูกพักงาน เนื่องจากทำหลักฐานสำคัญหาย ทำให้เจ้าพ่อค้ายาคนสำคัญของเมือง Ryan Hart หลุดคดีไปได้

Adrian ถูกเรียกตัวให้กลับมาทำงาน และได้คู่หูใหม่ เป็นผู้หญิง คือ Imogen Grey ดูเหมือน Imogen จะมีปัญหาจากที่ทำงานเก่า เลยถูกย้ายมาอยู่ที่นี่ค่ะ 

เหตุที่ Adrian ถูกเรียกกลับมาทำงานเนื่องจาก เกิดเหตุฆาตกรรมสยองขวัญ ผู้ตายคือ Kevin Hart พ่อของ Ryan และ Ryan ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าพ่อตัวเอง! ... มีแต่ Adrian ที่ไม่เชื่อว่าการตายนี้เป็นฝีมือของ Ryan

ก่อนหน้านี้ก็มีฆาตกรรมสยองขวัญลักษณะเดียวกัน เกิดขึ้นที่ท้องที่อื่นเช่นกัน แต่ตำรวจเมือง Exeter ไม่รู้ มีแต่คนอ่านรู้ เพราะนักเขียนเขียนบรรยายการตายของแต่ละคนเอาไว้ ... ทำให้คนอ่านลุ้นว่า เมื่อไรตำรวจจะรู้ความจริง ว่ายังมีคนตายคนอื่นๆ อีก ... แต่กลายเป็นผิดหวังหน่อยๆ เพราะมันไม่ใช่จากการสืบสวนของตำรวจตัวเอกของเรื่องค่ะ คนที่จับสังเกต และเชื่อมโยงความผิดปกตินี้ได้ กลับเป็นตัวละครตัวประกอบ ที่ถูกเรียกให้มาช่วย เพื่อนของ Grey ที่ปรากฎตัวแค่ฉากเดียว แล้วก็หายไป

หนังสือเขียนสลับจากตัวละครที่ Adrian เป็นตำรวจ กับเหยื่อที่ถูกสังหารทีละคน เรื่องของ Abbey Lucas ตัวละครหญิงอีกคนที่ทำงานอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ที่ตอนนี้กำลังตกหลุมรักเพื่อนร่วมงานคนใหม่ และสลับด้วยเรื่องในอดีตเมื่อห้าปีที่แล้วของ Abbey 

ตัวละครทุกตัว (ยกเว้นเหยื่อ) มีบาดแผลในอดีตค่ะ เป็นผู้ถูกกระทำทารุณ เคยถูกล่วงละเมิด 

นักเขียนพยายามเล่าให้เราคนอ่านรู้สึกเห็นใจ และโน้มน้าวให้เราเห็นด้วยว่าการกระทำของฆาตกรเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ให้ความรู้สึกสะใจที่คนที่เคยทำร้ายคนอื่น ในที่สุดก็ต้องชดใช้เวรกรรม ... แต่คือสำนวนยังไม่ดีนักค่ะ อ่านแล้วไม่รู้สึก "อิน" สุดๆ แบบนั้น  อีกทั้งเล่าสลับตัวละครไปมา ทำให้อารมณ์ไม่ต่อเนื่องค่ะ คือคนอ่านไม่รู้จะสมมุติว่าตัวเองเป็นใครดี และมีหลายๆ ฉากที่อ่านแล้วไม่เข้าใจที่ไปที่มา ไม่เข้าถึงอารมณ์ของตัวละคร ทำให้เกิดคำถามว่าทำไปทำไม? 

ตัวละครบางคนก็ปรากฎในเล่ม แล้วก็หายไปเลย คือไม่ใช้แล้วก็ทิ้ง ว่างั้น 

หนังสือสนุกพอสมควรนะคะ ไม่ได้แย่หรอกค่ะ เพราะถ้าแย่คงอ่านไม่จบ ... แต่คือแนะนำสำหรับคนอ่านว่า ให้หาสมุดจดชื่อตัวละครไว้ด้วยค่ะ เพราะตัวละครชื่อเยอะจัด




Saturday, December 11, 2021

New Waves

 


หนังสือชื่อ  :  New Waves

ผู้แต่ง  :  Kevin Nguyen

สำนักพิมพ์  :  One World


ออกตัวว่าไม่ค่อยได้อ่านนิยายแนวชีวิตคนปกติสักเท่าไรค่ะ ปกติจะอ่านนิยายแนวสืบสวน ฆาตกรรม ดังนั้นหนังสือเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เลยออกจะ "ธรรมดา" ไปเลยค่ะ เมื่อเทียบกับนิยายแนวที่ชอบอ่าน ... แต่ไม่ได้หมายความว่า เล่มนี้ไม่สนุกนะคะ สนุกค่ะ แต่ไม่ชินเท่านั้นเอง

เรื่องเกิดขี้นที่นิวยอร์ค อเมริกาค่ะ เป็นเรื่องของ Lucus ชาวอเมริกัน ที่เป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นเวียดนาม แม่เป็นคนจีน ดังนั้นให้จินตนาการหน้าตาจะออกแนวเอเชียๆ ค่ะ Lucus ทำงานฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ในบริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Nimbus เป็นเอเชียคนเดียวในบริษัทนั้นค่ะ

กับตัวละครอีกคนคือ Margo เป็นผู้หญิงผิวดำ เป็นเพื่อนร่วมงานของ Lucus ทำงานเป็นวิศกรคอมพิวเตอร์ เก่งมาก และเป็นผู้หญิง + ผิวสี คนเดียวในบริษัทค่ะ

มันเป็นเรื่องการเหยียดชาติพันธ์ุน่ะค่ะ ไม่ได้รุนแรงหรอกค่ะ แต่อึดอัด อย่าง Lucus เนี่ย คนอเมริกันจะคาดหวังว่า คนเอเชียต้องเก่ง แต่ Lucus ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ทำงานด้านไอทีไงคะ ซึ่งสำหรับ Lucus ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่อึดอัด (คือเราคนเอเชีย เราไม่ค่อยสนใจเรื่องสีผิวอะไรมากมายนักหรอกค่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่จนต้องรู้สึกเป็นปมด้อย หรือต้องอ่อนไหวกับมันเวลาใครมาแตะ) 

ในขณะที่ Margo ที่คนอเมริกันมักเหมารวมว่า คนผิวดำไม่เก่งเลข แต่ Margo เป็นอัจฉริยะเลยล่ะค่ะ (ตามที่ Lucus บอก) ดังนั้น Margo จะอ่อนไหวเรื่องสีผิวมาก ... จนบางครั้งคนอ่านรู้สึกว่า มันมากเกินไปหน่อย และด้วยเหตุนี้ Margo เลยเข้ากับเพื่อนที่ทำงานไม่ได้ เลยโดนไล่ออกจาก Nimbus ค่ะ

Margo กับ Lucus เป็นเพื่อนออนไลน์กันมาก่อน (โดยไม่เคยเห็นหน้ากัน) ก่อนจะมาเจอกัน เป็นเพื่อนร่วมงานกันที่ Nimbus ดังนั้นจึงดูเหมือน Lucus จะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของ Margo 

วันที่ Margo ถูกไล่ออก เธอได้ขอให้ Lucus ช่วยเธอขโมยข้อมูลรายชื่อ อีเมล์ ของลูกค้าของ Nimbus จำนวนกว่าสองร้อยล้านรายการค่ะ ตอนทำเหมือนเธอไม่ได้มีแผนซับซ้อนอะไร แค่โกรธ และอยากแก้แค้นบริษัท ... หลังจากโดนโน้มน้าว + เมา Lucus ก็ช่วยค่ะ

พอวันรุ่งขึ้น สติกลับมา ทั้งคู่สัญญาว่าจะทำลายรายการของชุดอีเมล์ของตน แล้วก็จะลืมเรื่องนี้เสีย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ... ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายนั้นได้ทำลายข้อมูลจริงหรือไม่ (Lucus ยังเก็บไว้ค่ะ ...แต่ไม่รู้ในส่วนของ Margo)

ต่อมาทั้งคู่ (ทั้ง Lucus และ Margo) ได้งานใหม่ ในบริษัทคู่แข่ง ชื่อบริษัท Phantom ทั้งคู่ทำงานตำแหน่งเดิม ...​ทุกอย่างดูโอเค จนไม่กี่เดือนถัดมา Margo โดนอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต 

แม่ของ Margo ขอให้ Lucus ลบบัญชีเฟสบุ๊กของลูกสาว เนื่องจากทนความเสียใจไม่ได้ Lucus เลยแอบขโมยโน้ตบุ๊กของ Margo มา 

ต่อจากนั้นเรื่องก็ดำเนินไปช้าๆ ค่ะ Lucus ต้องหาพาสเวิร์ดล็อกอินเข้าโน้ตบุ๊กของ Margo พอรู้พาสเวิร์ดแล้ว ก็เกิดป๊อด ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นอะไรมากไปกว่า ลบบัญชีเฟสบุ๊กของ Margo ตามคำขอของแม่ แต่ด้วยเหตุบังเอิญ ทำให้ Lucus พบว่า Margo มีเพื่อนออนไลน์อีกคน ที่เธอติดต่อสม่ำเสมอทุกวันทางอินเตอร์เน็ต เพื่อนคนนั้นคือ Jill แต่ทั้ง Jill และ Margo ไม่รู้จักหน้าค่าตากันเลยค่ะ  

เนื่องจาก Margo เสียชีวิต Lucus เลยติดต่อนัดเจอกับ Jill และทั้งคู่ก็สานสัมพันธ์กัน ... แต่ไม่ใช่สัมพันธ์แบบโรแมนติกนะคะ คือไงล่ะ เหมือนความต้องการเดียวกัน ก็เลยใช้ชีวิตด้วยกัน เหงาเหมือนกัน แต่อ่านแล้วไม่ได้สัมผัสความรัก ความผูกพันอะไรระหว่างกันมากนักค่ะ 

... เรื่องส่วนตัวก็มีเท่านี้แหละค่ะ หนังสือเล่าในส่วนของ Lucus สลับกับช่วงท้ายๆ เล่าในส่วนของ Jill หนังสือเน้นเล่าในส่วนของการทำงานในวงการสตาร์ทอัพมากกว่า เหมือนพล็อตเรื่องเป็นส่วนหลักก็จริง แต่ไม่น่าตื่นเต้น ส่วนเสริมคืองานของ Lucus ในวงการสตาร์ทอัพต่างหากที่น่าสนใจ 

และสลับกับสคริปต์เรื่องเล่าไซ-ไฟ (แนววิทยาศาสตร์) ของ Margo ค่ะ เพราะ Margo ชอบนิยายไซไฟ เธอเลยอัดเสียงไอเดียพล็อตเรื่องแนวนี้เอาไว้ และทั้ง Lucus และ Jill ชอบฟัง เป็นกิจกรรมร่วมกันของทั้งคู่

หนังสือเล่าในมุมของ Lucus ที่เป็นคนนอกผู้ใกล้ชิด แต่ไม่ใช่คนใน ไม่ได้ทำงานไอที หนังสือเล่าเรื่องการแก้ปัญหาในส่วนของผู้ใช้ ปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว ปัญหาด้านจริยธรรม (ให้นึกภาพปัญหาในชีวิตจริง ที่เฟสบุ๊กประสบอยู่น่ะค่ะ แต่ในสเกลที่เล็กกว่า เพราะผู้ใช้ของ Phantom มีน้อยกว่า) 

ในส่วนของ Margo, Margo ที่ Lucus รู้จัก ไม่เหมือน Margo ที่ Jill รู้จัก ตัว Lucus ยึดติดว่าเขาเป็นเพื่อนคนเดียวของ Margo แต่เราไม่รู้เลยค่ะ ว่า Margo จะคิดอย่างไรกับ Lucus คิดว่าเป็นเพื่อนจริงๆ หรือแค่เพื่อนร่วมงาน 

ในขณะที่ Jill (เป็นฝรั่งผิวขาว) กับ Margo (เป็นคนผิวสี) ก็อ่อนไหวกับเรื่องการเหยียดชาติพันธุ์ เหมือนที่อเมริกา เรื่องนี้เป็นปัญหาน่ะค่ะ ในขณะที่ Lucus ไม่ชอบการเหยียดชาติพันธุ์ (แน่ล่ะ ใครจะชอบ) แต่ก็ไม่ได้โฟกัสกับเรื่องนี้ และไม่ได้อ่อนไหวจนใครแตะความเป็นเอเชียของเขาไม่ได้ 

ในฐานะคนเอเชีย อยู่ยุโรป ก็เข้าไม่ถึงความอ่อนไหวเรื่องสีผิวของ Margo นักหรอกค่ะ เหมือนคนผิวขาวที่อเมริกากลัวจะมีคนมองว่าตัวเองเหยียดผิว ในขณะที่คนผิวดำก็อ่อนไหว ใครแตะหรือแม้กระทั่งพูดขำๆ เรื่องผิวสีไม่ได้เลย ส่วนเอเชียอยู่ตรงกลาง ไม่ชอบก็ไม่คบ เราไม่สามารถทะเลาะกับคนทุกคนที่ไม่ชอบเราได้หรอก คนขี้เหยียดยังไงก็เหยียดวันยังค่ำแหละ ไม่ควรเหนื่อยเปลืองแรงกับคนแบบนี้ 


Sunday, December 5, 2021

The Comfort Book

 


หนังสือชื่อ :  The Comfort Book

ผู้แต่ง  :  Matt Haig

สำนักพิมพ์   :  Canon Gate


หลังจากประทับใจในหนังสือ "The Midnight Library" ของผู้แต่งคนนี้ไปก่อนหน้านี้ ก็เลยเลือกที่จะอ่านอีกเล่มของเขาค่ะ

The Comfort Book เล่มนี้ ไม่ใช่นิยายค่ะ เป็นเหมือนสมุดจดคำคม จดแนวคิดของ Matt Haig คนเขียนมากกว่าค่ะ แต่ละบทสั้นๆ หน้า สองหน้า หรือบางบทก็แค่ไม่กี่บรรทัด เนื้อหาแต่ละบทไม่ได้ปะติดปะต่อกัน ...คือเหมือนสมุดจดคำคม แนวคิดที่เขาคิดขึ้นมาได้ในหัวข้อนั้นๆ น่ะค่ะ 

ใจความสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ เอาไว้อ่านให้รู้สึกสบายใจค่ะ เอาไว้อ่านเวลาที่เรารู้สึกแย่กับตัวเอง เวลาที่เรารู้สึกว่าเราไม่มีอะไรดีเลย รู้สึกเศร้ากับตัวเอง 

ตัวผู้เขียนเล่าประสบการณ์ความรู้สึกของการเป็นโรคซึมเศร้าของเขาเอง การพยายามต่อสู้กับความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายตลอดเวลา คือคนเป็นโรคซึมเศร้าน่ะค่ะ คงรู้สึกไม่ชอบตัวเองอย่างมาก จนอยากตาย ... และ Haig ต้องต่อสู้กับความรู้สึกนี้ เขาต้องใช้การปลอบใจตัวเอง เพื่อให้ตัวเองรู้สึก "ยอมรับ" ตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น คือถึงแม้จะยังรู้สึกเศร้าอยู่ ก็ไม่ต้องไปฝืน ยอมรับและตระหนักรู้กับความรู้สึกนี้ รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง และ "อยู่" กับมัน อยู่ด้วยความหวังว่าในที่สุดมันก็จะเปลี่ยนแปลง เวลาจะทำให้ความรู้สึกเปลี่ยน เราไม่มีทางที่จะรู้สึกเศร้าอยู่ได้ตลอดไปหรอก 

ผู้เขียนได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาอย่างมากค่ะ หลายๆ บทความเอ่ยถึงแนวคิดที่เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า คนไทยพุทธอย่างเราอ่านแล้วก็จะรู้สึกคุ้นๆ กับแนวคิดเหล่านั้นค่ะ เพราะเราโตมากับหลักคำสอน และวิธีคิดแบบนั้น

ด้วยความที่ผู้เขียน เขียนเหมือนเป็นบันทึก มันเลยให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว ทำให้เรารู้จักเขามากขึ้นน่ะค่ะ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความจริงใจในการถ่ายทอดเรื่องราวด้วย เนื่องจากหนังสือมันยาวเนอะ อ่านมาสามร้อยกว่าหน้า กว่าจะจบ ทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์กับผู้เขียน และก็ภาวนาว่า ให้เขาเอาชนะความรู้สึกอยากจะฆ่าตัวตายให้ได้ตลอดไป 

ข้อเสียของหนังสือคือ มันเยอะค่ะ ตั้งสามร้อยกว่าหน้า มันจึงน่าเบื่อ เพราะถึงแม้แต่ละบทจะเล็กๆ แต่มันเป็นแนวคิด เป็นความนึกคิดของผู้แต่ง ดังนั้นคนอ่านจึงต้องการเวลาที่จะย่อย ตกผลึกความคิดนั้น แต่พอมันเยอะหลายหน้าเกินไป อ่านไปก็เริ่มเบื่อค่ะ


Sunday, November 21, 2021

The Family Upstairs

 


หนังสือชื่อ  :  The Family Upstairs

ผู้แต่ง  :  Lisa Jewell

สำนักพิมพ์  :  Century 2019


อึดอัด หดหู่ เศร้า ลุ้น อยากรู้ ... นี่คือความรู้สึกเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ 

หนังสือแต่ละบทเล่าสลับกันไปมาระหว่าง Libby, Lucy และ Henry ค่ะ โดยเรื่องเล่าของ Henry จะเป็นเรื่องย้อนไปในอดีต 

Libby คือหญิงสาวอายุ 25 ที่เพิ่งได้รับมรดกเป็นแมนชั่นหลังใหญ่ในเมืองเชลซี เป็นมรดกที่พ่อแม่ของเธอทิ้งไว้ก่อนตาย พ่อแม่ของ Libby กินยาฆ่าตัวตายพร้อมกับชายปริศนาอีกคนหนึ่ง (รวมทั้งหมดเป็น 3 ศพ)ในขณะที่ตอนนั้น Libby อายุเพียง 10 เดือน ... ดูเหมือนพ่อแม่ของเธอจะเข้าลัทธิอะไรแปลกๆ สักอย่างหนึ่งน่ะค่ะ ทำให้พ่อแม่ของเธอปิดกั้นตัวเอง และไม่เข้าสังคมภายนอกเลย... และจากปากคำของเพื่อนบ้าน ดูเหมือน Libby น่าจะมีพี่ๆ อยู่ ไม่ใช่ลูกคนเดียว  แต่ในขณะที่เจ้าหน้าที่มาพบเธอนั้น ไม่มีใครอยู่บ้านเลยค่ะ ทิ้งไว้แค่เด็กทารก Libby ที่ได้รับการตั้งชื่อในตอนนั้นว่า Serenity ... ปริศนาคือ เจ้าหน้าที่พบเธอถูกทิ้งไว้ในเปล ได้รับการดูแลอย่างดี ในขณะศพของผู้ใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวนั้น กำลังจะเน่า ตายมาหลายวันแล้ว ...ใครดูแลทารก Libby?

.

อีกบทก็เล่าเรื่องในมุมของ Lucy หญิงสาวที่กำลังถังแตก ไร้บ้าน มีลูกสองคน คือ Marco (อายุ 12 ปี) และ Stella (5 ขวบ) กับหมาอีกหนึ่งตัว... ในขณะที่ Lucy พยายามอย่างยิ่งที่จะเอาตัวให้รอดในสถานการณ์อันยากลำบากนี้ในเมืองนีซ ฝรั่งเศส วันหนึ่งเธอก็ไ้ด้รับข้อความเตือนในโทรศัพท์บอกว่า "เด็กทารกอายุ 25 แล้ว" ... ข้อความสั้นๆ แค่นี้ ทำให้ Lucy ดิ้นรนอย่างหนักที่จะกลับไปลอนดอนค่ะ เธอถึงขั้นกลับไปขอความช่วยเหลือจากอดีตสามี (พ่อของ Marco) ชายคนที่เธอขยะแขยงอย่างที่สุด คนที่ซ้อมเธอเกือบตาย จนเธอต้องหนีออกมา ... Lucy มีความสัมพันธ์อะไรกับ Libby? ทำไมจึงต้องกลับมาที่เชลซีให้ได้?

.

อีกบทก็เล่าในมุมของ Henry โดยเล่ารำลึกความหลังสมัยที่เขาอายุ 12 เริ่มตั้งแต่ปี 1980 Henry มาจากตระกูลร่ำรวย ปู่ของเขารวยมาก รวยเสียจนพ่อไม่ต้องทำงานอะไรเลย เรียนก็ไม่จบ เอาแต่เสเพล เที่ยวเล่นไปวันๆ และแม่ที่สวยมากๆ Henry มีน้องสาวหนึ่งคน อายุอ่อนกว่าเขา 1 ปี 

พอปู่ตาย พอก็ได้มรดกทั้งหมด (พ่อเป็นลูกคนเดียว) ในมุมของเด็กเขาไม่รู้หรอกว่า บ้านเขาเริ่มจนลงช้าๆ ... จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่นำเพื่อนมาบ้าน ชื่อ Birdie แม่บอกว่า Birdie เป็นนักไวโอลิน และวงของเธอจะขอมายืมใช้บ้านเพื่อถ่ายทำมิวสิควิดีโอ ... และถึงแม้มิวสิควิดีโอจะถ่ายทำเสร็จแล้ว ออกอากาศไปแล้ว ...แต่ Birdie ก็ยังไม่ย้ายออกค่ะ

แขกในบ้านเริ่มจาก Birdie ต่อมาก็ Justin แฟนของเธอ ก็ย้ายมาอยู่ด้วยค่ะ อยู่กันที่ห้องชั้นบน ... ตอนที่พ่อของ Henry เริ่มป่วยเป็นโรคหัวใจ Birdie ก็แนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ David Thomsen และครอบครัว (มีแม่ Sally และลูกอีกสองคนคือ Phin กับ Clemmercy) ... และหลังจากนั้น ครอบครัวของ Henry ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

David หน้าตาดี คารมก็ดีค่ะ (จริงๆ แล้วเป็นพวกต้มตุ๋น เป็นพวกสิบแปดมงกุฏ) David เข้าครอบงำครอบครัวของ Henry ทีละน้อยๆ พ่อของ Henry อ่อนแอเกินกว่าจะทำอะไรได้ ในขณะที่แม่โดนล้างสมอง เห็นดีเห็นงามกับทุกสิ่งที่ David ทำ

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม คือ ความลับที่ว่า David เป็นชู้กับ Birdie ถูกเปิดเผย ทำให้ Sally ภรรยาของ David ทนไม่ได้และขอแยกตัวออกจากบ้านไป ... เด็กๆ ลูกของพวกเขาอยากย้ายไปอยู่กับแม่นะคะ แต่คือแม่ก็ยังเอาตัวไม่รอดไง ก็เลยไม่สามารถพาลูกไปได้ ต้องปล่อยให้ Phinn และ Clemmercy อยู่กับพ่อและครอบครัว Henry ไปก่อน ... และอีกด้านหนึ่ง เมื่อความลับเปิดเผย ก็ไม่ต้องหลบซ่อนเป็นชู้กันอีกต่อไป Birdie เลยย้ายมานอนกับ David อย่างเปิดเผย ในขณะที่ผู้ใหญ่คนอื่นๆ (พ่อกับแม่ของ Henry) ก็ไม่มีใครว่าอะไร ทุกคนเชื่อฟัง

ดูเหมือน Birdie คือคนที่เปิดด้านปีศาจของ David ให้ชัดขึ้น ตอนนี้พวกเขาเริ่มมีความคิดประหลาดๆ เช่น เราไม่ควรมีสมบัติอะไรเลย ทุกคนต้องใส่เสื้อผ้าสีดำ ที่เย็บขึ้นมาเองเหมือนกัน ไม่ให้ใส่รองเท้า ไม่ให้ออกไปข้างนอก ไม่ให้ตัดผม ฯลฯ 

แม่กับน้องสาวของ Henry โดนล้างสมองอย่างสมบูรณ์ค่ะ ถึงขนาดที่ว่า แม่ตั้งครรภ์ (กับ David) แล้วยังเห็นว่าเป็นเรื่องดี!!! ส่วนพ่อก็ทำอะไรไม่ได้ สูญเสียการพูดไปแล้ว นั่งอยู่กับที่ทั้งวัน 

.

หลังจากนั้นก็มีเรื่องต่างๆ มากมายที่เพิ่มความกดดันให้แก่เด็กๆ ... อ่านแล้วให้นึกถึงฝูงสัตว์ที่จ่าฝูงต้องการเป็นผู้นำฝูง เซ็กส์กับสมาชิกหญิงในฝูงก็เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้นำไงคะ  David ก็เหมือนคนที่ต้องการเป็นจ่าฝูง พยายามครอบงำ และบังคับทุกคน ... แต่ให้โลกข้างนอก David ก็แค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่ง ดังนั้นเพื่อยังรักษาอำนาจของตัวเองในฝูงอยู่ ก็บังคับให้ทุกคนไม่ติดต่อกับโลกภายนอก ขังตัวเองไว้ข้างในบ้าน ... มันเป็นเรื่องของ family abuse ค่ะ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และการเงิน

.

ตอนที่ Libby เกิด ... เด็กๆ ในบ้าน เริ่มคิดที่จะเป็นอิสระ คิดที่จะหนีแล้วค่ะ พวกเขาแปลกใจว่า ทำไมไม่มีใคร ไม่มีผู้ใหญ่ข้างนอกนั้นสักคนเข้ามาช่วยพวกเขาเลย ... พวกเขาคิดแผนที่จะหนีขึ้น แต่แผนดันพลาด !!!  

และนั่นคือเหตุให้เด็กทารก Libby ถูกทิ้งไว้ และที่เหลือต้องหายสาบสูญไป ... จนกระทั่งถึงวันที่เด็กน้อยอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ พวกเขาจึงกลับมาพบกันอีกครั้งที่บ้านหลังนี้

.

คนเขียนเขียนเก่งมากค่ะ ในแง่ของการเล่นกับความอยากรู้ของคนอ่าน ทำให้เราวางไม่ลง เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่ละปมคลายออกอย่างช้าๆ และค่อยๆ เครื่องร้อน เร็วขึ้นๆ ... แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ยังไม่เคลียร์ เพราะหนังสือเขียนเล่าในมุมของ Henry, Lucy และ Libby ทำให้เรารู้แค่ที่ทั้งสามคนรู้ ... แต่เราไม่รู้เรื่องอื่นในภาพรวม เช่น Justin ตอนนี้อยู่ที่ไหน? Finn รู้สึกอย่างไรกับ Henry? ความคิดของ Finn ต่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ... คือในมุมของ Henry นั้น เขาคิดว่า Finn เป็นพวกคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้นแต่เราไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นจริงไหม (Henry เป็นเกย์และชอบ Finn ตั้งแต่แรกพบ) 

หรือที่คาใจคือใครฆ่าพ่อแม่ของ Henry? ... เพราะ Henry วางแผนอย่างดีและรัดกุม และไม่ได้คิดจะฆ่าพ่อแม่ Henry เชื่อว่าพ่อแม่ของเขาโดนฆาตกรรมค่ะ 

แล้วตอนจบก็เป็นจบแบบปลายเปิด ... เอ..หรือคนแต่งอาจจะมีต่อเล่มสองก็เป็นได้ค่ะ

Tuesday, November 16, 2021

The Eyes of Darkness

 


หนังสือชื่อ  :  The Eyes of Darkness

ผู้แต่ง  :  Dean Koontz

สำนักพิมพ์  :  Headline


หยิบมาอ่านเพราะหน้าปก ตรงสติกเกอร์สีเหลืองน่ะค่ะ เขียนประมาณว่า นิยายเล่มนี้ทำนายการระบาดของไวรัส คืออารมณ์นิยายเล่มนี้เล่าเรื่องการระบาดของไวรัสก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ทำนองนั้น ... แต่พอหยิบมาอ่าน จะหมดเล่มแล้ว ยังไม่เห็นไวรัสสักตัวเลยค่ะ ... (แต่จริงๆ มีนะคะ แต่เป็นบทสุดท้ายน่ะค่ะ)

.

Dean Koontz ผู้แต่งเขียนเรื่องนี้นานแล้วค่ะ เมื่อปี 1982 เป็นเรื่องแรกๆ ของเขาเลยค่ะ แล้วมีการปรับปรุงแก้ไขสำนวนใหม่ มาเป็นเล่มนี้ พิมพ์เมื่อปี 2016 ค่ะ (ก่อนไวรัสระบาด)

.

เป็นเรื่องของ Tina Evans คุณแม่ที่สูญเสียลูกชาย Danny วัย 12 ปี ไปในอุบัติเหตุรถบัสตกเขาเมื่อปีที่แล้ว ... ตอนนี้ Tina รู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งแล้วค่ะ และชีวิตเดินหน้าต่อไปได้แล้ว เวลาเยียวยาบาดแผลได้ดีขึ้นแล้ว เธอกำลังจะ move on กับชีวิต เริ่มมีเดตกับทนายความรูปหล่อชื่อ Elliot Styker ค่ะ (Tina แยกกันอยู่และหย่ากับสามีไม่นานก่อนที่ลูกชาย Danny จะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต)

แต่จู่ๆ Tina ก็ฝันร้ายถึง Danny ลูกชาย ฝันติดๆ กันทุกคืนเลยค่ะ รวมถึงมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นที่ห้องของ Danny ด้วยค่ะ จู่ตรงชอล์กบอร์ดในห้อง Danny ก็มีข้อความเขียนว่า "NOT DEAD" ขนาดลบออกแล้ว ยังมีเขียนมาซ้ำอีก รวมถึงปริ้นเตอร์ของเลขาหน้าห้อง จู่ๆ ก็ปริ้นต์ข้อความซ้ำๆ ว่า "NOT DEAD" ออกมาต่อหน้าต่อตา

ตอนแรก Tina คิดว่ามีใครประสงค์ร้าย คนแรกที่พุ่งเป้าคืออดีตสามี แต่พอไปคุยด้วย กลับพบว่าผัวเก่าไม่รู้เรื่องนี้เลย ... Tina คิดไม่ออกเลยว่ามีใครแกล้งเธอแรงขนาดนี้

เพื่อให้จิตใจเธอสงบ และมูฟออนต่อไปได้ Tina จึงมีไอเดียที่จะขอให้แฟนทนาย Elliot ยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษาขอเปิดโลงศพของ Danny ค่ะ เพราะเธอคิดว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ อาจเกิดจากใจเธอไม่สงบ และรู้สึกผิดที่ตอนที่ลูกชายตาย เธอเชื่อคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ตอนนั้นเจ้าหน้าที่บอกว่าร่างของ Danny เละมาก แนะนำว่าแม่อย่างเธอไม่ควรเปิดขอดูศพลูกชายค่ะ ดังนั้น Tina จึงไม่เคยเห็นร่างไร้วิญญาณของลูกเลย ดังนั้นเป็นไปได้ว่าจิตใต้สำนึกของเธอจะปฏิเสธว่าลูกชายได้ตายไปแล้ว

Elliot รับเรื่อง และนำไปขอร้องเพื่อนที่เป็นผู้พิพากษาค่ะ Elliot คิดว่าคำขอของ Tina ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร ผู้พิพากษาน่าจะอนุญาตอย่างไม่มีปัญหา ... แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นค่ะ เพื่อนผู้พิพากษาบอกว่าขอเวลาคิด และจะโทรมาบอก ... แล้วพอ Elliot ออกจากงานเลี้ยง กลับบ้าน เขาก็เจอกับคนบุกรุกหมายที่จะฆ่าปิดปาก!!!

.

ทำไมเรื่องง่ายๆ กะแค่แม่ผู้โศกเศร้าจะขอดูศพลูกชาย จึงกลายเป็นเรื่องฆ่าตัดตอนไปได้? มาถึงตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าในโลงศพจะมีร่างของ Danny อยู่จริงมั้ย ... 

.

ต่อจากนั้นก็กลายเป็นเรื่องของการตามล่าค่ะ Tina กับ Elliot ต้องหนีการตามล่าของคนของรัฐกลุ่มหนึ่ง พร้อมๆ กับต้องหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ... Tina เริ่มรู้สึกว่า หรือจริงๆ แล้ว Danny จะยังมีชีวิตอยู่? 

.

จากลาสเวกัส Tina และ Elliot ตามล่าหาความจริงไปที่ Reno เมืองที่คณะลูกเสือและ Danny ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ... ที่นั่น พวกเขาพบว่า รัฐบาลมีความลับสำคัญซ่อนอยู่!!!

.

นิยายสนุกค่ะ พล็อตเบาๆ (เมื่อเทียบกับเรื่องหลังๆ ของ Dean Koontz) คือมันมีกลิ่นอายโรแมนติกอยู่ ในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง Tina กับ Elliot ... แต่หลายเรื่องเหมือนจะบังเอิญ perfect ไปหมดน่ะค่ะ เช่น มันต้องบังเอิญเหตุเกิดตอนวันหยุดช่วงก่อนปีใหม่ มันต้องบังเอิญที่งานโชว์ของ Tina ประสบความสำเร็จด้วยดีและ Tina อยู่ในช่วงพัก และบังเอิญที่ Elliot อดีตเคยทำงานในหน่วยราชการลับ เลยรู้วิธีหลบหนี วิธีต่อสู้ ... เพราะถ้าให้ Tina ฉายเดี่ยว คงตายตั้งแต่ต้นเรื่องแหละค่ะ คือพล็อตเรื่องไม่ค่อยแน่น ไม่ค่อยพีกอารมณ์ ดูหวานๆ ไปค่ะ แต่เนื้อหาสนุกค่ะ อารมณ์เหมือนบทภาพยนตร์ฮอลลีวูด


Sunday, November 7, 2021

End of Summer

 


หนังสือชื่อ  :  End of Summer

ผู้แต่ง  :  Anders de la Motte

ผู้แปล  :  Neil Smith

สำนักพิมพ์  :  Zaffre


เมื่อหน้าร้อนปี 1983 ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Reftinge ของสวีเดน เด็กน้อย Billy วัย 5 ขวบเดิมตามหากระต่ายป่าแล้วก็หายสาบสูญไป ปลายปีปีเดียวกันนั้นเอง แม่ผู้โศกเศร้าก็ทนความเศร้าไม่ไหว ฆ่าตัวตายในทะเลสาบแถวบ้าน ... ทิ้งลูกชายวัย 16 ลูกสาววัย 14 และสามีผู้โศกเศร้าไว้ข้างหลัง

20 ปีผ่านไป ลูกสาวเปลี่ยนชื่อจาก Vera Nilsson มาเป็น Veronica Lindh และทำงานเป็นนักบำบัดกลุ่มที่กรุงสตอกโฮห์ม เป็นนักบำบัดแบบที่เราเคยเห็นในหนังน่ะค่ะ แบบเอาคนที่มีความทุกข์มานั่งล้อมวงกัน และเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟัง และฟังเรื่องของคนอื่น ซึมซับความทุกข์ของกันและกัน ... 

ชีวิตของวีร่าเองก็มีบาดแผลจากเหตุที่แม่ทิ้งฆ่าตัวตายไปเหมือนกัน คือมันมีคำถามเต็มไปหมด ทำไมแม่ถึงฆ่าตัวตายทั้งที่หมอบอกว่าแม่เริ่มอาการดีขึ้นแล้ว แม่เริ่มทำใจได้แล้วจากการหายไปของน้อง? ทำไมแม่ถึงฆ่าตัวตายเพราะน้องหายไป แล้วทิ้งลูกอีกสองคนไว้ข้างหลัง? อีกสองคนนั้นก็ลูกแม่นะ ก็ต้องการแม่เหมือนน้องที่หายไปนั่นแหละ

ก่อนหน้ามาเป็นนักบำบัดกลุ่ม ชีวิตวีร่าเหลวแหลกมาก่อนค่ะ ติดเหล้า ตอนวัยรุ่นก็เป็นสาวล่าแต้ม แล้วล่าสุดก็ตามราวีแฟนเก่าไม่เลิก จนศาลสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้แฟนเก่าอีก ... ตอนที่หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่อง วีร่าก็ยังทำใจเลิกลาขาดกับแฟนเก่าได้ไม่สนิทนะคะ 

ในคลาสบำบัดของวีร่านั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าร่วมวงด้วยค่ะ เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อ Isak ปมความทุกข์ของเขาคือเมื่อตอนเขาอายุห้าขวบ เพื่อนของเขาหายสาบสูญไปค่ะ และตั้งแต่นั้นมาหมู่บ้านที่เขาอยู่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

มาถึงตรงนี้ ในฐานะคนอ่าน ปมของ Isak ที่เล่ามามันไม่เมคเซ้นต์เลยค่ะ คือมันไม่น่ากลายมาเป็นบาดแผลที่มีผลต่อชีวิต ตอนเกิดเหตุเขาอายุแค่ห้าขวบเอง ยังเด็กมาก ตัวเองไม่ได้โดนลักพาตัว คนที่หายไปก็แค่เพื่อน ไม่ใช่พี่น้อง ...​แต่สำหรับวีร่าแล้ว สิ่งที่ Isak เล่า กลับไปกระตุ้นปมของเธอเอง ที่เธอไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เธอไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าเธอเป็นพี่สาวของ Billy ค่ะ (ข่าว Billy หายตัวไปเป็นข่าวดังระดับประเทศที่ใครๆ ก็จำได้ค่ะ) ...​สิ่งที่ Isak เล่า กระตุ้นให้วีร่าคิดว่า บางที Billy อาจจะยังมีชีวิตอยู่??? ประกอบกับวีร่าไปอ่านเจอบทความที่วาดภาพทำนายว่า ถ้า Billy ยังมีชีวิตและโตขึ้น Billy จะมีหน้าตาอย่างไร ... ภาพ Billy ในอนาคตในข่าวชิ้นนั้น หน้าตาคล้ายกับ Isak มาก!!!

เหล่านี้นี่เองทำให้วีร่าขับรถกลับบ้านค่ะ หลังจากไม่มาเหยียบบ้านกว่าห้าปี ตอนนี้พี่ชายของวีร่า คือ Mattias  เป็นตำรวจและกลับมาทำงานที่หมู่บ้านแล้วค่ะ วีร่ากลับบ้านมาร่วมในงานวันเกิดแม่ (แม่ที่ตายไปแล้วนั่นแหละค่ะ แต่พ่อยังไม่ลืม) และอาศัยช่วงเวลาที่อยู่บ้านนี้ สืบหาความจริงค่ะ ที่บ้าน วีร่าพบว่าพ่อมีอะไรบางอย่างแปลกไป เหมือนมีอะไรที่พ่อกำลังกลัว?

ตอนเกิดเหตุ Billy หายตัวไปนั้น ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งที่ว่าจะลักพาตัว Billy ไปคือ Tommy Rooth พรานป่าในหมู่บ้าน ... แต่ไม่มีหลักฐานอะไรมัดตัวเขาเลยค่ะ Tom กับน้าของ Billy ชื่อ Harald เป็นศัตรูกัน ไม่ชอบขี้หน้ากันอย่างมาก 

น้า Harald เป็นผู้มีอิทธิพลค่ะ เขาเป็นน้องชายของแม่ บ้านฝั่งแม่ของ Billy รวย มีที่ดินเยอะ หลายคนในหมู่บ้านเป็นลูกจ้างของ Harald ... ดังนั้นพอ Harald หมายหัวว่า Tom เป็นคนลักพาตัวหลานไป Tom ก็ไม่มีใครคบ

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ...​ไม่มีใครเจอ Billy อีกเลยค่ะ รวมถึง Tom ด้วย จู่ๆ ก็หายสาบสูญไป ข่าวว่าไปทำงานในเรือ

ในหนังสือเล่าถึงการสืบสวนหาความจริงของวีร่า ความทรงจำที่เธอมีต่อแม่ ความเศร้าของพ่อ ความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นนักระหว่างเธอกับพี่ชาย ... ผู้เขียนบรรยายเรื่องได้ดีค่ะ เห็นภาพ เรื่องดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่เราไม่รู้สึกอึดอัด เรารู้สึกถึงบรรยากาศและความรู้สึกของวีร่าที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ ... และวีร่าก็ไม่ใช่ซุปเปอร์เกิร์ล คือแบบให้สืบอะไรคนเดียว (ถึงมีพี่ชายเป็นตำรวจให้ปรึกษาได้บ้างก็ตาม) แต่เธอสืบไม่ถึงไหน ดูไม่ค่อยคืบหน้านักค่ะ

หมดวันหยุด วีร่ากลับมาสต็อกโฮล์มอีกครั้ง เจอกับ Isak หนนี้ Isak เล่าเรื่องชีวิตของเขาให้เธอฟังค่ะ ทั้งคู่สงสัยว่า บางทีทั้งคู่อาจจะเป็นพี่น้องกัน คือ Isak อาจจะคือ Billy ที่หายตัวไป ...​มาถึงตรงนี้ คนอ่านอย่างเราไม่เชื่อค่ะ คือมันไม่มีหลักฐานเลย คนนอกมองออกว่ามันทะแม่งๆ แต่กับคนในอย่างวีร่า เวลาที่เราอยากได้อย่างใดอย่างหนึ่งมากๆ อย่างในกรณีนี้ วีร่าอยากให้น้องของเธอยังมีชีวิตอยู่ ... เราก็มักจะตาบอด มองไม่เห็นพิรุธที่อยู่ตรงหน้าค่ะ

ทั้งคู่ (วีร่า กับ Isak) ตัดสินใจที่จะกลับไปที่หมู่บ้านอีกครั้ง วีร่าจะพา Isak ไปพบพ่อค่ะ และจะขอเข้าไปห้องของ Billy กับห้องของแม่ด้วย (พ่อล็อคสองห้องนี้ไว้อย่างดี) 

การกลับมาของทั้งคู่ กระตุ้นให้ความลับที่ถูกปิดฝังมานานแล้วให้กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และมีใครบางคนไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้น

... สุดท้ายก็อย่างที่เราคนอ่านเดาได้แหละค่ะ ว่า จริงๆ แล้ว Isak กับวีร่าไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้ Isak รู้ดีอยู่แล้ว แต่ที่เป็นปริศนาให้เราต้องอ่านต่อคือ แล้ว Isak คือใคร? มีเจตนาอะไรถึงมาเข้าหาวีร่า? แล้วตอนนี้ Billy อยู่ไหน? ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว? พ่อของวีร่ากลัวอะไร? Tom Rooth หายไปไหน? ทิ้งเมียและลูกอีกสองคน แล้วก็หายไปเลย น้า Harald ของวีร่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรือไม่?

คำถามทั้งหมดนี้ต้องอ่านมาจนจะจบเล่มค่ะ จึงจะเริ่มกระจ่าง คนเขียนเขียนเก่งมาก บางบทเนี่ยตอนแรกๆ เหมือนวีร่าจะค้นพบอะไรบางอย่าง แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเพียงชิ้นส่วนปริศนา ที่เราคนอ่านก็งงว่ามันสำคัญอย่างไร มากระจ่างก็ตอนจบค่ะ เมื่อจิ๊กซอว์ทุกชิ้นถูกต่อเข้าด้วยกัน

อ่านไปแล้วติดใจอยู่เรื่องหนึ่งคือ ช่วงที่กำลังหา Billy กันนั้น มีการทอดแหลากในบึง (คือตอนนั้นทุกคนคิดว่า Billy อาจจะตายแล้ว เลยพยายามหาศพกัน) แล้วมีการเจอศพของผู้ใหญ่คนหนึ่ง หนังสือตัดแค่นี้ ไม่เล่าว่านั้นคือศพของใคร ตัดจบและไม่เขียนถึงอีกเลย ...มันเลยรู้สึกคาใจน่ะค่ะ

ตำรวจในเรื่องก็สอบสวนภายใต้อิทธิพลของน้า Harald ที่เข้ามาวุ่นวายชี้นำ เพราะปักใจเชื่อว่า Tom คือคนลักพาตัวหลานไป 

แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อความจริงกระจ่าง มันคือโศกนาฎกรรมของครอบครัวนี้จริงๆ ค่ะ น่าสงสารสุดก็คงจะเป็นพ่อของวีร่า สามีที่ภักดี...




 

Thursday, November 4, 2021

The Good Daughter

 


หนังสือชื่อ  :  The Good Daughter

ผู้แต่ง  :  Karin Slaughter

สำนักพิมพ์  :  Harper Collins Publishers Ltd.


เป็นหนังสือเล่มหนามากค่ะ เจ็ดร้อยกว่าหน้า เริ่มเรื่องเฉื่อยๆ แต่พอผ่านกลางเรื่องไปแล้ว กลับวางไม่ลง ต้องอ่านรวดเดียว ไม่เป็นอันทำงานทำการเลยค่ะ แบบว่าอยากรู้จัด


ไม่ใช่หนังสือสืบสวนแบบนักสืบอะไรนะคะ ออกแนวดราม่าภายในครอบครัวมากกว่าค่ะ ... คือเรื่องมันเริ่มจากเมื่อ 28 ปีก่อน ตอนสองศรีพี่น้อง แซม คนพี่อายุ 15 ปี และแครี่ อายุ 13 ปี บ้านของทั้งคู่เพิ่งโดนไฟไหม้มากค่ะ เสียหายหมดเลย ..ที่โดนไฟไหม้เพราะรัสตี้ พ่อของทั้งคู่ทำงานเป็นทนายให้กับอาชญากร และเพิ่งรับว่าความให้แก่นักข่มขืนไป คือที่นั่นเป็นเมืองเล็กๆ น่ะค่ะ คนรู้จักกันทั่วถึง ดังนั้นใครทำดีทำชั่วเขาก็รู้กันหมด แล้วเหยื่อที่ถูกนายคนนี้ข่มขืนก็ทนความกดดันไม่ไหว แขวนคอตาย กลายเป็นข่าวดังไปทั่วเมือง ดังนั้นเรียกได้ว่า ชาวบ้านเกลียดรัสตี้ รองลงจากตัวคนร้ายเลยล่ะค่ะ 

.

พอบ้านโดนไฟไหม้ ทั้งครอบครัวก็เลยต้องย้ายมาอยู่บ้านฟาร์ม เป็นบ้านฟาร์มที่เจ้าของเก่าฆ่าตัวตายแล้วฟาร์มก็เลยทิ้งร้าง คือแบบบ้านไม่มีใครเอาว่างั้น ... 

เรื่องเริ่มขึ้นในวันหนึ่ง ที่รัสตี้คนพ่อไม่อยู่บ้าน อยู่แต่แกมม่า (แม่) และลูกทั้งสอง ...โจรสองคนสวมชุดไอ้โม่งบุกเข้าบ้านค่ะ ต้องการจะมาเอาตัวรัสตี้ แต่รัสตี้ไม่อยู่ไง แล้วโจรเผลอยิงแกมม่าตาย ต่อหน้าต่อตาลูกทั้งสอง ณ ตอนนั้นเอง เด็กๆ จำชื่อโจรหนึ่งในสองได้ โจรเลยใช้ปืนจี้ให้เด็กทั้งสองเดินเท้าเข้าป่าหลังบ้าน ที่ในป่านั้น พวกโจรขุดหลุมรอไว้แล้วค่ะ ตั้งใจเอาไว้ฝังรัสตี้ แต่ตอนนี้จะฝังเด็กๆ แทน ... แซมพี่สาวส่งสัญญาณให้แครี่หนีไป วิ่งให้เร็วที่สุด และไม่ต้องมองมาข้างหลัง ...ตัวแซมนั้นโดนโจรทำร้ายจนมองไม่เห็นค่ะ ไม่สามารถวิ่งหนีได้ เธออยากให้อย่างน้อยน้องสาวปลอดภัย 

.

ตัดมา 28 ปีถัดมา นิยายเริ่มเล่าในมุมของแครี่ เธอยังอยู่ที่เมืองเดิม ทำงานเป็นทนาย เปิดสำนักงานกฏหมาย ใช้อาคารเดียวกับรัสตี้ ... แครี่มีนัดไปโรงเรียนเพื่อไปเอาโทรศัพท์ที่เผลอหยิบสลับกับของคู่นอนคืนเดียวไป บังเอิญว่าคู่นอนเป็นครูที่โรงเรียน คือเรื่องมันควรเป็น one night stand ก็เลยกลายเป็นอิหลักอิเหลื่อต้องมาเจอกันอีกวันรุ่งขึ้น

ความซวยดันเกิดตรงที่เกิดเหตุยิงกันในโรงเรียนขึ้น (อเมริกาอ่ะนะ) ทั้งแครี่และคู่นอนคืนเดียวอยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นพยานเห็นเหตุการณ์ ...เหตุการณ์นั้นมีคนตาย 2 คน คนหนึ่งเป็นครูผู้ชาย อีกคนเป็นเด็กผู้หญิง จับคนยิงได้ในที่เกิดเหตุ เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 18 ปี ชื่อแคลลี่

.

ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องการสืบสวนในมุมของทนายค่ะ เพราะรัสตี้จะเป็นทนายให้กับแคลลี่ (ฆาตกร) ส่วนแครี่นั้นพอเรื่องกลายเป็นข่าวใหญ่ เลยกลายเป็นว่า เบ็น สามี (ที่ตอนนี้ทะเลากัน แยกกันอยู่ แต่ยังไม่หย่ากัน) ก็รู้ว่าแครี่นอกใจ ดราม่าไป

แต่รัสตี้ยังไม่ทันได้คุยกับลูกความ เขาก็โดนแทงค่ะ ... เบ็นเลยส่งอีเมล์บอกให้แซมกลับบ้าน

ก่อนหน้านี้ หนังสือไม่ได้เล่าถึงแซมเลยค่ะ ว่าหลังจากถูกยิงที่หัว และโดนฝังทั้งเป็นแล้ว เธอรอดชีวิตหรือเปล่า ต้องทนอ่านไปร้อยกว่าหน้า จึงถึงคิวแซม ...แซมทำได้ดีค่ะ เธอเป็นทนายความกฎหมายลิขสิทธิ์ รวย เก่ง แต่ได้รับผลกระทบทางร่างกายจากเหตุการณ์นั้นนิดหน่อย เช่น เดินไม่คล่อง ตามองไม่ค่อยดี 

.

ความสัมพันธ์ระหว่างแซม กับแครี่และพ่อรัสตี้ ไม่ดีค่ะ แซมไม่คุยกับเขาทั้งคู่มาเป็นสิบๆ ปี คือไม่ได้เกลียดกันนะคะ ยังรักกัน แต่เข้ากันไม่ได้มากกว่า แซมชอบคิดว่า แครี่คือลูกสาวที่ดีของพ่อ เพราะดำเนินตามรอยพ่อทุกอย่าง ส่วนเธอนั้นเหมือนแม่ ในขณะที่แครี่คิดว่าพ่อรักแซม เลยปล่อยให้แซมเป็นอย่างที่อยากเป็น ... แต่พอแซมรู้ว่าพ่อโดนแทง ก็เลยคิดว่า แวะมาเยี่ยมสักหน่อย ... แต่กลายเป็นว่ารัสตี้ ขอให้แซมช่วยว่าความคดีของแคลลี่ที่จะเกิดขึ้นนัดแรกในวันรุ่งขึ้นให้หน่อย (แครี่ทำไม่ได้เพราะเธอเป็นพยานค่ะ ทนายที่เหลือของเมืองก็ขี้เหล้า แคลลี่คงตายเร็วขึ้นถ้าให้เขาทำ)

พอแซมสัมภาษณ์แคลลี่ ก็เลยได้รู้ว่า แคลลี่เป็นเด็กหัวอ่อน อ่อนแบบชักจูงให้ทำอะไรก็ได้ ใครพูดอะไรก็เชื่อหมด ใส่อะไรไปในหัวก็ทำตาม ก็เชื่อ ...คือน่าจะมีปัญหาด้านสติปัญญา ทำให้เรื่องมันดูทะแม่งๆ ค่ะ รวมถึงกระสุนที่ยิงเข้าครูผู้ชายทั้งสามนัดแม่นๆ และอีกหนึ่งนัดเข้าเด็กผู้หญิง แต่ทำไมมีสองนัดที่ยิงพลาด คือมันเหมือนไม่ได้ยิงสุ่มมั่วๆ แถมหลังเกิดเหตุ ปืนที่ใช้ก่อเหตุก็หายไปอีก ไม่รู้ใครเอาไป?

.

ถ้าดูจากปกหนังสือ เขียนว่า "กว่า 28 ปีที่เธอซ่อนความลับไว้" แต่อ่านมาจนถึงกลางเล่มยังไม่เห็นว่าอะไรคือความลับเมื่อ 28 ปีก่อนเลย คือหนังสือเล่าแต่เหตุการณ์ในปัจจุบัน ส่วนเรื่องย้อนอดีตเล่ามาสองบท ในมุมของแซม และมุมของแครี่ ก็ดูชัดเจนดีว่าเกิดอะไรขึ้น 

.

แต่อ่านไปเรื่อยๆ ถึงได้รู้สึกว่า แครี่มีอะไรในใจค่ะ ซึ่งส่งผลต่อชีวิตคู่ของเธอกับเบ็น ... แครี่ไม่ได้เสียใจที่เธอวิ่งหนีไปโดยไม่หันมาช่วยพี่สาว แต่เธอเสียใจที่วิ่งไม่เร็วพอต่างหาก...

.

หลังกลางเล่มไปแล้ว จึงได้เฉลยว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นเมื่อ 28 ปีก่อน แครี่โดนหนึ่งในคนร้ายข่มขืนค่ะ คิดสิคะว่าเธออายุแค่ 13 ปี คนร้ายไม่ได้ยัดแค่อวัยวะ แต่ยัดกำปั้น ยัดมีด เข้าในอวัยวะของเธอ ทารุณสำหรับเด็กน้อยมากๆๆ ...แต่เรื่องทั้งหมดคือความลับ รัสตี้ไม่อยากให้แครี่ผ่านกระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ เพราะไม่ต่างจากเธอโดนข่มขืนอีกรอบ ยิ่งแครี่เป็นลูกของทนายความที่เพิ่งว่าความให้นักข่มขืนไป คิดดูสิคะ ทั้งเมืองคงสมน้ำหน้า แทนที่จะเห็นใจ ... เรื่องนี้จึงเป็นความลับในใจของแครี่ และเธอโทษว่าเพราะสิ่งที่เธอโดนทำให้มดลูกเธอเสียหาย และแท้งถึงสี่ครั้ง

.

พอมาปลายเล่มก็เริ่มขมวดปม และเริ่มวางไม่ลงค่ะ ต้องอ่านให้จบ เรื่องในอดีตเมื่อ 28 ปีที่แล้ว ที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ยิงในปัจจุบัน กลับมีความเชื่อมโยงบางอย่าง ...รัสตี้ ที่ตอนอ่านแรกๆ นึกภาพเป็นทนายเจ้าเล่ห์ เอาชีวิตลูกเมียมาเสี่ยง ... พอตอนจบกลับต้องเปลี่ยนความคิด รัสตี้กลายเป็นทนายผู้มีอุดมการณ์และคอยอยู่ข้างคนด้อยโอกาสในสังคม รัสตี้ผู้เชื่อในการให้โอกาสคนครั้งที่สอง ผู้มีหัวใจให้อภัยที่ยิ่งใหญ่

.

หนังสือสนุกค่ะ แต่พร่ำเพ้อมากเกินไป บางทีก็รู้สึกว่ามีแต่น้ำ แต่ละบทก็ยาวเป็นสิบๆ หน้า บางทีอ่านไปก็ลืมไปเลยว่าจุดพีกของบทนี้คืออะไร เพราะบรรยายมากเกินไป ... แต่ข้อดีก็คือ ทำให้เราคนอ่านรู้สึกผูกพันกับตัวละครมากขึ้น เข้าใจถึงความคิดของแต่ละคน (หนังสือบางบทเขียนในมุมของแครี่ และบางบทเขียนในมุมของแซมค่ะ)

.


Monday, October 18, 2021

The Midnight Library


 
หนังสือชื่อ  :  The Midnight Library

ผู้แต่ง  :  Matt Haig

สำนักพิมพ์  :  Canongate Books


เป็นหนังสืออันโด่งดัง มีคนรีวิวว่าดีมากมายค่ะ ทั้งที่รีวิวภาษาไทย และภาษาอังกฤษ (ที่เห็น มีแปลเป็นภาษาไทย และภาษาดัตช์ด้วยค่ะ) พอดีให้แอป BorrowBox ของห้องสมุดมีเล่มนี้ให้ยืม เลยกดยืมมาอ่านอย่างไวเลยค่ะ

ถึงแม้ตอนนี้เพิ่งอ่านจบไป แต่ยังไม่อยากกดคืนหนังสือค่ะ ตั้งใจว่าจะเอามาอ่านอีกรอบ เพราะมันดีจริงๆ ค่ะ

หนังสือเล่มนี้เป็นนิยาย ทำให้เรื่องมันย่อยง่าย ไม่ใช่หนังสือปรัชญาเต็มไปด้วยคำกลวงๆ มากมายที่คนอ่านบางทีก็นึกภาพตามไม่ออก เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ชีวิตแบบในหนังสือมาก่อน ... แต่เรื่องนี้เป็นนิยาย นำเสนอผ่านประสบการณ์ชีวิตของตัวละครเอกคือ Nora Seed ค่ะ

Nora Seed มีชีวิตที่เธอคิดว่าเฮงซวยค่ะ เธอคิดว่าชีวิตที่ผ่านมาเธอตัดสินใจหลายๆ อย่างในชีวิตผิดพลาด ทำให้ผลกระทบคือชีวิตเธอซวยซ้ำซวยซ้อนเรื่อยๆ มา ไม่ว่าจะเป็น พ่อตาย เธอทนความกดดันของการเป็นนักกีฬาว่ายน้ำไม่ไหว เลยเลิกว่ายน้ำ ทั้งๆ ที่เป็นดาวรุ่งมุ่งโอลิมปิก ยกเลิกการเรียนต่อด้านจิตวิทยา หรือเธอยกเลิกการแต่งงานกับคู่หมั้นในนาทีสุดท้าย หรือเธอยกเลิกการร่วมวงดนตรีกับพี่ชาย ทำให้วงต้องยุบไป พี่ชายก็โกรธ เลิกคุยกับเธอไปเลยค่ะ และล่าสุดก็แมวตายค่ะ ... คือเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง เป็นน้องสาวที่แย่ คู่หมั้นที่ไม่ดี ลูกจ้างที่ไม่รับผิดชอบ แล้วล่าสุดยังเป็นทาสแมวที่ห่วยอีก 

เมื่อชีวิตมันเฮงซวยถึงขีดสุด ชีวิตเหมือนไม่เคยประสบความสำเร็จในอะไรเลย และเหมือนไม่มีใครต้องการเธอเลย เธอไม่จำเป็นสำหรับใครเลย Nora Seed จึงตัดสินใจกินยาฆ่าตัวตายค่ะ ...​และระหว่างที่ชีวิตของเธออยู่ระหว่างความเป็นความตายนั้น จิตวิญญาณของเธอก็เข้าสู่สถานที่ที่เรียกว่า "ห้องสมุดเที่ยงคืน" โดยในห้องสมุดนั้นมีบรรณารักษ์ Mrs. Elm ดูแลอยู่ค่ะ

ทั้งหมดนี้คือชีวิตหลังความตายค่ะ Nora มีความเสียใจมากมายเหลือเกินเมื่อตอนเธอมีชีวิตอยู่ เสียใจที่ทำให้คนอื่นผิดหวัง เสียใจที่เลิกทำสิ่งที่หลายคนคิดว่าดี แล้วสิ่งที่เธอเลือกทำเอง เธอก็ทนความกดดันไม่ไหว และยกเลิก ฯลฯ ... และที่ห้องสมุดเที่ยงคืนนี้ Nora จะได้มีโอกาสกลับไป "ลอง" ใช้ชีวิตในแบบที่เธอไม่ได้เลือกในตอนแรกค่ะ 

ในแต่ละวันของคนเรา มีเรื่องมากมายที่ต้องตัดสินใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น วันนี้จะใส่ชุดอะไร จะกินอะไร ฯลฯ และทุกครั้งของการตัดสินใจ ก็มีความเป็นไปได้เกิดขึ้น ความเป็นไปได้ว่า "ถ้าเราตัดสินใจอีกอย่างหนึ่ง ชีวิตจะเปลี่ยนไปเช่นไร?" เหมือน butterfly effect น่ะค่ะ 

ที่ห้องสมุดเที่ยงคืน Nora ได้มีโอกาสเลือกที่จะกลับไปใช้ชีวิตในสิ่งที่เธอเคยไม่เลือกมาก่อน เช่น เลือกที่จะฝึกว่ายน้ำต่อจนได้เหรียญโอลิมปิก และประสบความสำเร็จในชีวิต หรือเลือกที่จะย้ายไปอยู่กับเพื่อนรักที่ออสเตรเลีย หรือเลือกที่จะแต่งงานกับคู่หมั้นและเปิดผับด้วยกัน หรือเรื่องเล็กๆ เช่น เลือกไม่ปล่อยแมวออกจากบ้าน เพื่อที่ไม่ให้มันไปถูกรถชนตาย ฯลฯ 

และทุกๆ ทางเลือกชีวิตที่ Nora เลือก เธอก็ได้เรียนรู้ว่า แต่ละทางเลือกมีข้อดีข้อเสียของมัน เธอไม่สามารถห้ามความตายไม่ให้เกิดขึ้นได้ ... แม้ในชีวิตที่เธอประสบความสำเร็จในชีวิต (ในสายตาคนอื่น) มันก็มีราคาของมัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นกว่าเธอจะมาถึงจุดนั้น การประสบความสำเร็จในชีวิต (ในสายตาคนอื่น) ไม่เท่ากับการมีความสุขในชีวิตหรอกค่ะ ... เธอได้เรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง เรียนรู้ว่า จริงๆ แล้ว เธอยังอยากจะมีชีวิตอยู่ และยอมรับตัวเองในอย่างที่ตัวเองเป็น มีความสุขกับตัวเองโดยไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร 
..........
หนังสือดีมากเลยค่ะ พล็อตเรื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ดีคือเรื่องเล่าระหว่างทางต่างหาก การค่อยๆ ค้นพบความสุขภายในของ Nora ... การค่อยๆ เติบโตขึ้นทางความคิดของ Nora พร้อมๆ กับคนอ่านค่ะ 
.
มีประโยคเด็ดๆ กินใจมากมายจากหนังสือเล่มนี้ค่ะ จนต้องกลับมาอ่านซ้ำอีกรอบ เพื่อซึมซับเรื่องราวให้ดีขึ้น เช่น 
"The only way to learn is to live"
"It seems impossible to live without hurting people."
"You might need to stop worrying about other people's approval, Nora."
"Never underestimate the big importance of small things."
...
อ่านเล่มนี้ แล้วอยากหาหนังสือชื่อ Walden ของ Henry David Thoreau มาอ่านเลยค่ะ เพราะเขาเป็นนักปรัชญาคนโปรดของ Nora และหนังสือเล่มนี้ยกข้อเขียนของ Walden มาบ่อยมาก


Monday, September 27, 2021

Trust Me


 

หนังสือชื่อ :  Trust Me

ผู้แต่ง :  T.M. Logan

สำนักพิมพ์ :  Zaffre


เป็นการอ่านครั้งแรกของนักเขียนคนนี้ค่ะ ยืมหนังสือเล่มนี้เป็นอีบุ๊กมาจากแอป BorrowBox ของห้องสมุด

.

เป็นหนังสือแนวสืบสวนอย่างที่ชอบอ่าน เรื่องมันเริ่มจากตัวเอกของเรื่องคือ Ellen ขณะกำลังนั่งรถไฟเดินทางกลับลอนดอน มีแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งมาขอนั่งที่นั่งว่างข้างๆ ด้วย หลังจากการแนะนำตัวกันนิดหน่อย คุณแม่ยังสาว (อายุสักยี่สิบต้นๆ) บอกว่าเธอชื่อ Kathryn ส่วนเด็กน้อยอายุ 3 เดือนที่มากับเธอนั้นชื่อ Mia --- ระหว่างนั้นก็มีสายเข้าที่โทรศัพท์ของ Kathryn อย่างต่อเนื่องค่ะ จนเธอต้องขอให้ Ellen ช่วยดูแล Mia สักแป่บ เธอต้องขอตัวรับสายสำคัญนี้ ซึ่ง Ellen ก็ตกลงช่วย 

.... แต่ ...แต่ Kathryn ไม่กลับมา! เธอลงรถไฟในสถานีถัดไป แล้วก็หายไปเลย ... ทิ้งทารกน้อย Mia ไว้กับ Ellen พร้อมกระดาษโน๊ตแผ่นหนึ่ง (Ellen ค้นเจอ หลังจากแน่ใจแล้วว่า Kathryn ไม่กลับมาแน่) กระดาษแผ่นนั้นเขียนว่า "ช่วยปกป้อง Mia ด้วย อย่าไว้ใจใคร อย่าไว้ใจตำรวจ"

.

นั่นแหละค่ะ จุดเร่ิมต้นของเรื่องทั้งหมด ... ทั้งเรื่องไม่รู้จะไว้ใจใครได้เลย แล้วก็ไม่รู้อะไรเลย อ่านมาจนเกินครึ่งเล่ม ยังไม่รู้เลยค่ะ ว่าจะไว้ใจใครได้ รู้แค่ว่าเรื่องนี้มีแค่ Ellen กับ Mia เท่านั้นที่เป็นคนดี ... แต่ไม่รู้เลยว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กน้อย Mia (ตรงนี้เราเดาถูกว่า Kathryn ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของ Mia แต่อาจจะเป็นญาติหรืออะไร เพราะอ่านแล้วรู้สึกว่าเธอหวังดีกับ Mia ด้วยใจจริง) แล้วก็ไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไร ทำไมมีผู้ชายอย่างน้อย 2 คน จึงต้องตามหวังจะเอาชีวิตกับเด็กอายุสามเดือน

.

คนเขียนเขียนเก่งมากค่ะ ในการทำให้เรื่องมันดูมีเหตุผล ผูกปมต่างๆ เข้ากันด้วยดี เพราะเราคนอ่านตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อว่าทำไม Ellen จึงต้องยอมเสี่ยงชีวิตปกป้อง Mia ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย ถึงแม้จะมีคำอธิบายในตอนต้นเรื่องว่า Ellen อยากมีลูก และพยายามจะตั้งครรภ์ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์หลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งชีวิตสมรสพัง ผัวขอหย่า หย่าเสร็จผัวแต่งงานใหม่ และเมียใหม่ก็ท้องเลย ... แต่เหตุผลเพียงแค่รักเด็ก อยากมีลูก ไม่เพียงพอถึงขนาดเสี่ยงชีวิตขนาดนี้ไงค่ะ ... จนกระทั่งใกล้จบ ก็เฉลยถึงปมในใจของ Ellen ในเหตุการณ์สมัยทำงานที่ลิเบีย ... เราถึงเข้าใจว่า อืม...สมเหตุสมผล

.

ส่วนผู้ชาย ที่ดูเหมือนจะเป็นคนร้าย 2 คน คือ Dominic กับ Leo ทั้งคู่เหมือนจะไม่รู้จักกัน แต่กลับตาม Mia และ Ellen โดยอ่านไปก็ไม่เข้าใจว่าแรงจูงใจคืออะไร จะว่าเป็นพ่อของ Mia ก็ไม่น่าจะใช่ อ่านแล้วไม่รู้สึกถึงความผูกพันขนาดนั้น และไม่รู้สึกด้วยว่าหวังร้ายอยากฆ่า Mia ให้ตาย แต่ที่ตามเด็กน้อย เหมือนพวกเขาต้องการอะไรสักอย่างมากกว่า ... มันทำให้ต้องอ่านต่อไปเรื่อยๆ จนใกล้จบจึงเฉลยน่ะค่ะ 

.

เนี่ยแหละค่ะ ... ความรู้สึกของการอ่านหนังสือเล่มนี้ เต็มไปด้วยความสงสัย ทำไม ทำไม และก็ไม่สามารถไว้ใจตัวละครคนไหนได้เลยค่ะ สมชื่อเรื่องจริงๆ ... จนมาเฉลยในตอนสุดท้าย

หนังสืออ่านสนุกค่ะ เรื่องดำเนินรวดเร็ว คือถึงแม้ผู้เขียนจะกั๊กไม่ยอมบอกปริศนาต่างๆ แต่เนื่องจากเรื่องดำเนินไปภายในเวลา 4-5 วัน เลยทำให้ไม่รู้สึกว่าช้า 

---------

.

[สปอยด์]

.

ก่อนหน้านั้น มีฆาตกรรมต่อเนื่อง 3 รายเกิดขึ้น เหยื่อ 2 คนแรกเป็นโสเภณี และถูกสังหารเสียชีวิต ในขณะที่เหยื่อรายที่สาม ชื่อ Zoe ไม่เสียชีวิต แต่สมองตาย Zoe ไม่ใช่โสเภณีแต่เธอทำงานสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือหญิงค้ากามให้สามารถเลิกทำงานแบบนี้ และกลับมามีชีวิตปกติ ... ตำรวจสัญนิษฐานว่า เหยื่อทั้งสามรายถูกกระทำโดยฆาตกรคนเดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถตามจับคนร้ายได้ เพราะคนร้ายไม่ได้ทิ้งหลักฐานใดๆ ทางนิติเวชให้สืบต่อได้เลย จนสื่อมวลชนตั้งฉายาฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ว่า "The Ghost" 

.

Zoe บ้านรวย พอเธอสมองตาย แต่ตัวไม่ตาย ดังนั้นพ่อแม่เลยย้ายเธอมารักษาตัวที่บ้าน และต่อมาก็ค้นพบว่าเธอตั้งครรภ์ ... ซึ่งเด็กน้อยก็คือ Mia นั้นเอง ไม่มีใครรู้ว่า พ่อของเด็กคือใคร (Dominic คือสามีเก่าของ Zoe แต่เลิกกันแล้ว Mia ไม่ใช่ลูกของ Dominic แน่ๆ) ... มีความเป็นไปได้ว่า Mia คือลูกของ Zoe กับ The Ghost ... ดังนั้น ตำรวจจึงอยากได้ดีเอ็นเอของ Mia เพื่อสืบกลับไปว่า The Ghost คือใครกันแน่ 

.

นั่นแหละคือที่มาของเรื่องทั้งหมด เพราะ The Ghost ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้ เลยต้องหาทางกำจัด Mia ให้ได้



Friday, March 12, 2021

THE GIRL ON THE TRAIN

 


หนังสือชื่อ  :  The Girl on the Train

ผู้แต่ง  :  Paula Hawkins

สำนักพิมพ์  :  Transworld Publishers


// หลังจากที่ได้แว่นตาใหม่ ปัญหาเรื่องอ่านหนังสือตัวเล็กไม่ได้ก็หมดไป คราวนี้เลยอ่านใหญ่เลยค่ะ กลับมามีความสุขกับการอ่านเหมือนเดิม :)

หนังสือเล่มนี้สนุกนะคะ หนังสือมีตัวเอกเป็นผู้หญิง 3 คน คือ ราเชล (Rachel) แอนนา (Anna) และเมแกน (Megan) ในหนังสือจะแบ่งเป็นบทๆ ตามชื่อตัวเอก แต่ละบทบอกเล่าความคิดของตัวเองคนนั้นๆ ในฐานะคนอ่าน ซึ่งเหมือนคนมองภาพรวมทั้งหมด ทำให้เราเร่ิมปะติดปะต่อภาพเหตุการณ์ต่างๆ อย่างช้าๆ ...และเริ่มเดาได้ว่าใครคือฆาตกร แต่ความสนุกของหนังสืออยู่ที่ ตัวเอกจะตัวจะรู้ตัวเมื่อไรว่าคนใกล้ตัวพวกเธอนั่นแหละที่อันตรายที่สุด

การดำเนินเรื่องคล้ายไดอารี่ของตัวละครแต่ละคนค่ะ เรื่องมันเริ่มจากราเชล เธอเป็นหญิงมีปัญหาชีวิต สามีขอหย่า ตัวเธอเองก็ติดเหล้า ติดเหล้าจนสามีมีชู้ ชู้ตั้งครรภ์ สามีขอหย่า และที่เจ็บคือให้เธอออกจากบ้านที่เคยซื้อร่วมกัน แล้วก็เอาเมียใหม่เข้าบ้านมาอยู่แทนที่เธอ ... ชู้ของสามีราเชล ก็ไม่ใช่ใครค่ะ นังแอนนานั่นเอง 

ส่วนเมแกนอยู่บ้านใกล้ๆ กันกับบ้านของแอนนา และราเชลค่ะ เธอแต่งงานแล้วอยู่กับสามี 

ราเชลหลังจากหย่ากับสามีก็ยังคงต้องนั่งรถไฟไปทำงานที่ลอนดอนทุกวัน โดยรถไฟจะผ่านบ้านเดิมที่เธอเคยอยู่อย่างมีความสุขกับอดีตสามีค่ะ ... เนื่องจากยังเจ็บอยู่ ยังทำใจรับไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงพยายามไม่มองบ้านเก่าของเธอ แต่ดึงความสนใจไปมองบ้านของเมแกนแทนค่ะ ดังนั้นทุกวันเช้า-เย็น เธอจึงเห็นความเป็นไปในบ้านเมแกน แต่แบบผ่านๆ นะคะ ราเชลไม่รู้จักเมแกนและสามีมาก่อน ราเชลเลยจินตนาการเอาตามสิ่งที่เธอเห็น ตั้งชื่อเมแกนกับสามีขึ้นมา จินตนาการว่าทั้งคู่เป็นครอบครัวที่มีความสุข รักกันมาก

.

อยู่มาวันหนึ่ง ระหว่างนั่งรถไฟผ่านบ้านของเมแกน ราเชลเห็นว่า เมแกนกำลังจูบอย่างลึกซึ้งกับผู้ชายคนหนึ่ง ...ซึ่งไม่ใช่สามีของเมแกน! นั่นทำให้ราเชลช็อกและรู้สึกเหมือนเมแกนทรยศเธอ คือแบบอารมณ์เธอสร้างจินตนาการครอบครัวอบอุ่น รักกันที่เธอฝัน แล้วกลับพบว่าความจริงคู่รักที่เธอคิดว่ารักกันนั้น ไม่ใช่เลย

.

และราเชลก็ยิ่งช็อกต่อมา เมื่อพบว่า เมแกนหายไป! และผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งคือ สามีของเมแกนค่ะ ... ด้วยที่ว่าราเชลแอบดูครอบครัวนี้มานาน จนเธอเกิดความผูกพัน เธอจึงอยากช่วยสก็อต (Scott) สามีของเมแกนค่ะ เรื่องมันพันพัวยุ่งเหยิงเนื่องจากวันที่เมแกนหายไปนั้น ราเชลผู้ซึ่งยังทำใจเลิกกับสามีไม่ได้ ตามมาตอแยครอบครัวของอดีตสามี แอนนาสติแตก กลัวราเชลจะทำร้ายลูกน้อย ... จึงรีบโทรบอกทอม (Tom) สามีแอนนา และอดีตสามีราเชล แล้วยังไงก็ไม่ทราบ ราเชลพบว่า ตัวเองมีแผลเหมือนถูกตีด้วยของมีคมที่หัว ราเชลจำอะไรในช่วงนั้นไม่ได้เลยค่ะ เพราะเมา แล้วคืนนั้นก็เป็นคืนที่มีคนพบเห็นเมแกนเป็นครั้งสุดท้ายด้วย ... เลยกลายเป็นว่า ราเชลก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยด้วยค่ะ

เรื่องมันก็เลยวนๆ อยู่กับสามสาว ในบทของเมแกนนั้น จะเล่าย้อนหลังกว่าอีกสองคนค่ะ เมแกนนี่เริ่มต้นรู้สึกว่า เธอนี่เพศยา มั่วไปหมด แต่พอเรื่องดำเนินไปสักพัก เราจะเข้าใจว่า เธอมีบาดแผลในชีวิตที่ทำให้เธอรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต 

ส่วนแอนนาเนี่ย อีนังเมียน้อยค่ะ อ่านเล่มนี้แล้วเลยเข้าใจว่า มันมีจริงๆ นะ ผู้หญิงที่มีความสุขกับการเป็นเมียน้อย เพราะตอนเป็นเมียน้อยจะได้รับความสนใจจากผู้ชาย ชู้จะมองเธอเหมือนเป็นของสูงที่คว้ามาเป็นเจ้าของไม่ได้ ได้แต่ชื่นชมอย่างลับๆ การได้รับความเอาอกเอาใจ ความรู้สึกว่าตนเองสำคัญ มีเสน่ห์ ...แอนนาเลยชอบตอนแอบเป็นเมียน้อย เป็นชู้กับสามีของราเชลค่ะ และไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยที่แย่งทอมมาจากราเชลได้ 

ส่วนราเชล เธอเหมือนหมาที่จงรักภักดีต่อทอมน่ะค่ะ คือไม่ว่าทอมจะตำหนิเธออย่างไร ทำเลวกับเธอแค่ไหน เธอก็ยังรัก ยังตัดใจไม่ได้ คอยตาม คอยคร่ำครวญ ขอโทษทั้งๆ ที่ไม่ผิด ความเคารพในตัวเองต่ำค่ะ

ตัวละครทุกคนในเรื่อง ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลวสุดๆ ค่ะ เทาๆ เหมือนชีวิตคนเราทั่วไปแหละค่ะ ส่วนเราคนอ่านก็เหมือนพระเจ้า คือนั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น 

-----

ถือเป็นนิยายที่สนุกค่ะ ความสนุกไม่ได้อยู่ที่การรู้ว่าใครคือฆาตกร (เพราะคนอ่านพอจะเดาออกได้เมื่อผ่านถึงเกือบท้ายๆ เล่ม) แต่ความลุ้นคือ เรื่องดำเนินไปอย่างช้าๆ ผ่านความคิดของผู้หญิงสามคน และเราก็ลุ้นว่า ทั้งคู่ที่ยังมีชีวิตอยู่ (ราเชล กับแอนนา) จะปะติดปะต่อข้อมูลของตัวเองได้เมื่อไร และรู้ตัวเมื่อไรว่าฆาตกรที่ฆ่าเมแกนนั้น อยู่ไม่ไกลจากพวกเธอเลย

Wednesday, March 3, 2021

Cold Case

 


หนังสือชื่อ :  Cold Case

ผู้แต่ง :  Faye Kellerman

สำนักพิมพ์ :  HarperCollinsPublisher


เป็นครั้งแรกที่อ่านผลงานของนักเขียนคนนี้ค่ะ หยิบมาอ่านเพราะเห็นว่าพล็อตเรื่องน่าสนใจดี ... ก่อนหน้านี้ห่างหายจากการอ่านนิยายไปนานหลายเดือนเลยค่ะ เนื่องจากประสบปัญหาว่าอ่านหนังสือไม่ทน อ่านแล้วปวดหัว พาลให้ไม่อยากอ่าน เพิ่งมาทราบสาเหตุว่าเป็นเพราะสายตายาวค่ะ ...พอได้ใส่แว่น ปัญหาก็หายไป หยิบหนังสือมาอ่านได้อย่างสบายใจ :)

หนังสือเล่มนี้เก่าแล้วนะคะ พิมพ์ออกมาในปี 2009 ดังนั้นเทคนิคต่างๆ ในการสืบสวนเลยดูจะล้าสมัยไปถ้าเทียบกับปัจจุบันค่ะ 

เรื่องเริ่มมาจาก เจ้าของบริษัทไอทีที่ร่ำรวยคนหนึ่งชื่อ Genoa Greeves เมื่อ 25 ปีก่อน สมัยที่เธอยังเรียนหนังสือ ด้วยนิสัยช่างเก็บตัว ไม่เข้าสังคม เชยๆ ทำให้เธอเข้ากับคนยาก ใครๆ ก็มองว่าเธอเป็นผู้หญิงแปลกและไม่มีใครอยากคบค่ะ นิสัยที่สมัยนี้เรียกว่า "เนิร์ด" แต่ตอนนั้นพฤติกรรมแบบนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมไงคะ ทำให้เธอประสบปัญหา และทำให้เธอขาดความมั่นใจในตัวเอง ... แต่นอกจากพ่อแม่แล้ว มีคุณครูคนหนึ่งที่เข้าใจ และเอ่ยชมความเก่งของเธอค่ะ ครูคนนั้นคือ ด็อกเตอร์ Ben Little ค่ะ ซึ่งคำชมของครูในวันนั้นได้เพิ่มความมั่นใจในตัวเองของเธอ และเป็นแรงผลักดันให้เธอประสบความสำเร็จกลายเป็นเจ้าของบริษัทไอทีที่ร่ำรวยคนหนึ่ง 

แต่เป็นที่น่าเศร้าว่า Dr. Ben เสียชีวิตจากการโดนฆาตกรรมไปแล้วเมื่อ 15 ปีก่อนค่ะ และเป็นการเสียชีวิตที่หาตัวคนร้ายไม่ได้ด้วย .... 15 ปีต่อมา มีคดีฆาตกรรมที่มีรูปแบบคล้ายกับคดีที่เกิดขึ้นกับ Dr. Ben ค่ะ ผู้เสียชีวิตคือ Primo Ekerling ถูกคนร้ายยิง แล้วเอาศพยัดไว้ที่ท้ายรถของ Primo เอง แล้วคนร้ายก็ขับรถไปจอดทิ้งไว้ จนมีผู้มาพบศพค่ะ

คดีของ Primo จับผู้ต้องสงสัยได้ เป็นเด็กวัยรุ่นสองคนค่ะ แต่ทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ก่อเหตุฆาตกรรม เพียงแต่เห็นรถจอดทิ้งไว้ โดยมีพวงกุญแจคาอยู่ ก็เลยขโมยรถขับเล่นค่ะ โดยไม่รู้ว่าท้ายรถนั้นมีศพนอนอยู่

Primo Ekerling กับ Ben Little นอกจากเหตุที่ว่าทั้งคู่ตายในรูปแบบเดียวกันแล้ว นอกนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยค่ะ Primo ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์เพลง ส่วน Ben เป็นครู และคดีทั้งสองก็เกิดห่างกัน 15 ปีด้วย ... แต่ Genoa รู้สึกถึงความเชื่อมโยงกันของการถูกฆาตกรรม และเนื่องจากตอนนี้เธอรวยมากๆ แล้ว เธอก็เลยไปเจรจาขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรื้อคดีของ Ben มาทำใหม่ค่ะ คือถ้าสืบคดีสำเร็จ ตำรวจก็จะได้งบประมาณก้อนโตจากเธอไปฟรีๆ 

งานนี้เลยกลายเป็นความรับผิดชอบของตำรวจ Peter Decker กับเพื่อนร่วมทีม ให้สืบคดีนี้ค่ะ ... คดีนี้นอกจากจะยากที่เกิดเหตุเมื่อนาน 15 ปีมาแล้ว คดียังเพิ่มความซับซ้อนขึ้นอีกเมื่อ หนึ่งในตำรวจที่เคยทำคดีของ Dr. Ben เมื่อ 15 ปีก่อน ดันมาฆ่าตัวตายก่อนที่ Decker จะเข้าพบเพื่อสอบถาม (Decker เป็นคนพบศพ เพราะนัดกับตำรวจผู้ตายว่าจะมาคุยกันเรื่องคดี) เหมือนฆ่าตัวตายหนีผิดยังไงยังงั้นเลยค่ะ

ข้อได้เปรียบของคดีฆาตกรรมที่เป็น cold case ก็คือ บางกรณีความผิด พฤติกรรม หรือสิ่งที่เคยปกปิดไว้หลังการฆาตกรรม พอเวลาผ่านไปก็ปิดไว้ไม่ได้อีกต่อไปค่ะ ... อย่างเช่น ภรรยาที่แสนดีของ Dr. Ben ก็มารู้ในภายหลัง ตอนรื้อคดีว่า จริงๆ แล้วเธอติดการพนันอย่างหนัก และมีชู้ด้วย

สืบไปสืบมา จนเกินครึ่งเล่มไปแล้ว ยังเดาไม่ได้เลยค่ะว่าใครเป็นคนฆาตกรรม Dr. Ben แต่พอเดาได้ลางๆ ว่าใครฆาตกรรม Primo ... แต่จู่ๆ ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญก็หายตัวไปซะงั้น!

----

พล็อตเรื่องสนุกค่ะ สำนวนของผู้แต่งก็ดี เริ่มต้นก็สนุก แต่จบแบบรวบรัดเกินไป บางอย่างก็ยังหาคำตอบไม่ได้ และผู้เขียนก็ไม่ได้เฉลยไว้ เช่น รอยเลือดของผู้หญิงที่เจอให้อพาร์ตเม้นท์ของผู้ต้องสงสัยคือเลือดของใคร? ส่วนตัวผิดหวังนิดหน่อยที่ Genoa Greeves ผู้ให้ทุน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรก็คดีนี้เลย ตำรวจไม่แม้แต่จะถามว่าเธอรู้จักกับผู้ต้องสงสัยหรือไม่? ... คือมันจบแบบไม่เคลียร์ รวบรัด เหมือนคนแต่งเขียนตอนต้นดี แล้วเว้นไว้ แล้วกลับมาเขียนต่อตอนจบน่ะค่ะ ทั้งเล่มมันเลยไม่ไปในโทนเดียวกัน