Saturday, December 25, 2021

Last Tang Standing

 


หนังสือชื่อ  :  Last Tang Standing

ผู้เขียน  :  Lauren Ho

สำนักพิมพ์  :  Harper Collins Publishers


ตลก สนุก โรแมนติก และได้แง่คิดค่ะ เหมือนดูรายการ Crazy Rich Asians ผสมกับอ่านหนังสือ Bridget Jones Diary รวมๆ กันยังไงยังงั้นเลยค่ะ 

.

หนังสือเป็นไดอารี่ของ Andrea Tang ค่ะ อายุ 33 ปี ดูภายนอกเธอดูเป็นคนเก่ง พร้อมไปหมดทุกอย่าง เป็นทนายความที่กำลังรุ่งในหน้าที่การงาน ทำงานบริษัททนายความชั้นนำของสิงคโปร์ เรียนจบจากอังกฤษ พูดได้หลายภาษา บ้านก็รวย ... แต่คนรวยก็มีทุกข์ของคนรวยเนอะ

ทุกข์ของ Andrea คือเป็นสาวคนสุดท้ายในตระกูล Tang ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ... คือต้องนึกภาพครอบครัวคนจีนนะคะ Andrea เป็นคนจีน-มาเลเซีย แต่มาทำงานที่สิงคโปร์ คนจีนจะมีค่านิยมว่าพออายุถึงวัยแล้ว ผู้หญิงต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ควรแต่งงานกับคนที่เหมาะสม และมีลูกสืบวงศ์ตระกูลค่ะ ดังนั้น Andrea เนี่ยถือว่าช้ามากแล้วค่ะ แถมล่าสุด ลูกพี่ลูกน้องของ Andrea ที่รู้ๆ กันว่าเป็นเลสเบี้ยน จู่ๆ ก็ประกาศแต่งงานค่ะ 

ในหนังสืออธิบายให้คนอ่านเข้าใจวัฒนธรรมคนเอเชีย เรื่องความกตัญญูที่มีต่อพ่อแม่ หรือผู้มีพระคุณของเอเชีย คือฝรั่งคงงงว่าทำไมต้องยอมให้คนอื่นมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว แต่ค่านิยมของคนเอเชียมันสลัดยากจริงๆ ค่ะ ค่านิยม "อวด" ชีวิตดี๊ดี ลูกหลานฉันดีอย่างนั้นอย่างนี้ อวดกันเนี่ย ดูเหมือนฝั่งคนจีนเขาจะแรงกว่าญาติพี่น้องคนไทยเยอะเลยค่ะ

หลังชนฝาแล้ว Andrea ต้องหาผัวให้ได้ค่ะ ไม่งั้นป้า wei wei จะตัดออกจากกองมรดก Andrea ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ และตัวเธอเองก็โหลดแอปหาคู่มาลองเล่นดูค่ะ

ไปๆ มาๆ คนไม่มีแฟนเลย (เคยมีแต่เลิกไปแล้ว) พอดวงจะมี ก็มีผู้ชายมาให้เลือกถึง 3 คนค่ะ 

คนแรกคือ Orson อายุ 23 ปี คนนี้ไม่ได้เรื่องค่ะ (คนอ่านตัดสิน) ถ้าเราอ่าน เราจะรู้สึกว่า ถึงแม้ Andrea จะอายุไม่น้อยแล้ว แต่เธอค่อนข้างไร้เดียงสา คือไว้ใจคนง่าย มองคนไม่ออก หรือไม่ก็คงเพราะความรักความหลงบังตา 

ลืมบอกไป ถ้าเชื่อเรื่องพรหมจรรย์อะไรพวกนี้ ไม่ต้องหยิบเรื่องนี้มาอ่านเลยนะคะ นางเอกของเรามีเซ็กส์เมื่อรู้สึกดีกับคนๆ นั้นค่ะ คือไม่ได้ซีเรียสว่าต้องคบหาดูใจกันสักระยะก่อนอะไรเทือกนั้น

คนที่สองคือ Eric คนนี้ โครตรวยค่ะ รวยมากๆ เป็นคนอินโดนีเซีย เชื้อสายจีน เจอกันที่งานบุ๊กคลับ Eric ประทับใจนางเอก เพราะความสวย ฉลาดของเธอ ... พอเราอ่านไปสักพัก เราจะเห็นความเหมาะสมในภายนอกของทั้งคู่ แต่ขณะเดียวกันก็เห็นความดูเหมือนเคมีจะเข้ากัน ..แต่จริงๆ แล้วไม่เข้ากัน คือ Eric เหมาะกับผู้หญิงหัวอ่อนหน่อยนะคะ แต่ Andrea ไม่ใช่ นางเป็นเวิร์กกิ้งวูแมน เป็นผู้หญิงทำงาน และมีปมเรื่องการรับความช่วยเหลือโดยเฉพาะทางการเงินจากคนอื่น เพราะชีวิตที่ผ่านมา ป้า Wei Wei ออกเงินค่าโรงพยาบาลให้พ่อ หรือพ่อแม่ที่ทำงานหนักส่งเสียเธอเรียน จนเธอรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ และรู้สึกเหมือนติดกับ ไม่มีอิสระในชีวิต เพราะคนเหล่านี้เข้ามาก้าวก่ายชีวิตเธอในขณะที่ Eric ติดนิสัยคนรวย เผด็จการหน่อยๆ อะไรใช้เงินซื้อได้ก็ซื้อเลย ไม่ปรึกษานางเอกก่อน ...​สรุป Eric คือบุคลิกเป็นพระเอกในนิยายไทยหลายๆ เรื่องที่เคยอ่านมาเลยล่ะค่ะ

คนที่สามเป็นเพื่อนร่วมงานค่ะ ชื่อ Suresh เป็นคนสิงคโปร์ เชื้อสายอินเดีย นางเอกมองว่า Suresh เป็นคู่แข่งชิงเลื่อนตำแหน่งเป็นพาร์ทเนอร์ค่ะ แต่เนื่องด้วยสำนักงานกำลังปรับปรุง ดังนั้น Suresh และนางเอกจึงต้องมาใช้ห้องทำงานร่วมกันชั่วคราว ... คนอ่านจะเห็นความเคมีเข้ากันของคู่นี้ค่ะ คือมันเริ่มจากนางเอกเห็น Suresh เป็นศัตรู เลยทำตัวร้ายๆ แต่ร้ายของเธอมันไร้เดียงสาไงคะ ดูตลกๆ มากกว่า ดูไม่มีชั้นเชิง ... จากนั้นทั้งคู่เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น มีงานที่ต้องทำร่วมกัน Suresh เริ่มเล่าความฝันลึกๆ ในชีวิตของเขาให้เธอฟัง ส่วนเธอก็สนับสนุนให้เขาทำตามฝัน คือไม่ได้หัวเราะเยาะ หรือมองว่าไร้สาระเหมือนที่คนอื่นๆ คิด 

ถึงเราจะเห็นเคมีที่เข้ากันของ Andrea และ Suresh แต่ภายนอกนั้นทั้งคู่ไม่เหมาะสมกันหรอกค่ะ คือความรักมันอาจจะเร่ิมต้นด้วยคนสองคน แต่สุดท้ายมันก็มีญาติพี่น้องสังคม ... Suresh เป็นคนอินเดีย ที่พ่อแม่ก็อยากให้แต่งงานกับคนเชื้อสายอินเดียด้วยกัน วรรณะเดียวกันยิ่งดี ส่วน Andrea เป็นคนเชื้อสายจีน ที่ "ควร" หาคู่ครองที่เป็นคนจีนด้วยกัน และอีกประเด็นสำคัญ Suresh มีคู่หมั้นแล้วค่ะ กำลังจะแต่งงานด้วย (แต่คู่หมั้นยังอยู่อังกฤษ) ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง Andrea กับ Suresh ก็เลยออกจะคลุมเครือๆ อย่างนี้ไปเกือบตลอดเรื่องค่ะ

ในหนังสือ ชอบตอนที่นางเอกไปบังเอิญเจอแฟนเก่าเดินควงมากับแฟนใหม่ และเลี่ยงไม่ได้ เลยจำเป็นต้องทักทายกัน นางเอกพยายามกดให้แฟนใหม่ของแฟนเก่าดูต่ำกว่าเธอ (เช่น ถามว่าทำงานอะไร ฯลฯ) จนแฟนเก่าต้องด่านางเอกใส่หน้า ประมาณว่า "คุณเกลียดผม เพราะผมอยู่ในระบบและชอบมัน ในขณะที่คุณมักทำตัวเหนือกว่า เหมือนกับว่าคุณมีที่ที่ดีกว่าให้ไป แต่รู้อะไรไหม คุณก็ยังคงอยู่ในระบบ"

เพราะ Andrea มีความฝันอยากทำงานเป็นทนายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนค่ะ แต่ทนายแบบนั้นรายได้ไม่ดี ตัวเธอเองมีค่าโน่นค่านี่ต้องจ่าย มีสังคม มีแฟชั่นที่ต้องตาม ฯลฯ ทั้งหมดนี้ใช้เงิน ดังนั้นเธอจึงยังคงต้องติดอยู่ในวังวนของการทำงานหนัก

จริงนะ บางครั้งเราอยู่ในระบบ ในสังคมที่เราไม่ชอบ ไม่มีความสุข แต่เราไม่เคยเลยที่จะดิ้นรนที่จะออกไป ยังคงติดอยู่กับการไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ชีวิตคู่ครอง หรือสังคมที่มีอยู่ ... จริงๆ ทางออกมันมีแหละ แต่เราไม่มีความกล้าที่จะเลือกมันต่างหาก

สรุปคือ ค่านิยมแบบเอเชียที่ชอบเปรียบเทียบความสำเร็จของแต่ละคนด้วยสิ่งของ วัตถุเนี่ย เป็นค่านิยมที่น่ากลัวมาก แต่ในอีกด้าน มันคือความกดดันที่ทำให้ลูกหลานเอเชียประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนะคะ

.

อยากเห็นหนังสือเล่มนี้แปลเป็นภาษาไทย น่าจะอ่านเข้าใจกว่านี้ เพราะในเล่มมีศัพท์บางคำที่ดูเหมือนเป็นทับศัพท์ หรือเป็นแสลงของสิงคโปร์ อ่านไม่เข้าใจบางคำค่ะ แต่โดยรวมแล้วไม่มีปัญหา มีศัพท์ทางกฎหมาย มีเรื่องทางกฎหมายที่นางเอกทำงาน อันนี้ก็อ่านไม่เข้าใจเพราะไม่ได้มีพื้นอยู่ในวงการนี้ ...แต่โดยรวมแล้วหนังสือสนุก ขำ คลายเครียดและให้แง่คิดค่ะ แนะนำค่ะ

Monday, December 20, 2021

The Teacher

 


หนังสือชื่อ  :  The Teacher

ผู้แต่ง  :  Katerina Diamond

สำนักพิมพ์  :  Avon


หดหู่ ตัวละครเยอะจัด สนุกแต่ไม่สุด ...นี่คือความรู้สึกหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ

ตอนหยิบมาอ่านตอนแรก อยากได้หนังสือแนวนักสืบ สืบสวน...แต่กลายเป็นผิดหวังค่ะ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เน้นสืบสวนหาหลักฐาน แบบพระเอกในเล่มเป็นตำรวจหาหลักฐานต่างๆ เชื่อมโยงกัน อะไรแบบนี้เลยค่ะ 

หนังสือออกแนวเหมือนเรากำลังดูโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์มากกว่า คือเห็นภาพการกระทำต่างๆ ของคนร้าย เพียงแต่ไม่เห็นหน้าว่าใครเป็นคนทำ แต่เขียนบรรยายการกระทำของคนร้าย ความคิดการกระทำของเหยื่อ

เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่เมือง Exeter ของอังกฤษ ... หนังสือเปิดตัวด้วยการตายของ Jeffrey Stone ครูโรงเรียนมัธยม ที่แขวนคอตาย ลักษณะเหมือนฆ่าตัวตาย แต่คนอ่านอย่างเรารู้ว่าไม่จริง Jeffrey ตายเพราะถูกบังคับให้แขวนตัวเองต่างหาก

โรงเรียนที่ Jeffrey สอนคือโรงเรียนที่ Tom ลูกชายของนายตำรวจ Adrian Miles เรียนอยู่ค่ะ -- Adrian คือพระเอกของเรื่องนี้ เขากำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ ถูกพักงาน เนื่องจากทำหลักฐานสำคัญหาย ทำให้เจ้าพ่อค้ายาคนสำคัญของเมือง Ryan Hart หลุดคดีไปได้

Adrian ถูกเรียกตัวให้กลับมาทำงาน และได้คู่หูใหม่ เป็นผู้หญิง คือ Imogen Grey ดูเหมือน Imogen จะมีปัญหาจากที่ทำงานเก่า เลยถูกย้ายมาอยู่ที่นี่ค่ะ 

เหตุที่ Adrian ถูกเรียกกลับมาทำงานเนื่องจาก เกิดเหตุฆาตกรรมสยองขวัญ ผู้ตายคือ Kevin Hart พ่อของ Ryan และ Ryan ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าพ่อตัวเอง! ... มีแต่ Adrian ที่ไม่เชื่อว่าการตายนี้เป็นฝีมือของ Ryan

ก่อนหน้านี้ก็มีฆาตกรรมสยองขวัญลักษณะเดียวกัน เกิดขึ้นที่ท้องที่อื่นเช่นกัน แต่ตำรวจเมือง Exeter ไม่รู้ มีแต่คนอ่านรู้ เพราะนักเขียนเขียนบรรยายการตายของแต่ละคนเอาไว้ ... ทำให้คนอ่านลุ้นว่า เมื่อไรตำรวจจะรู้ความจริง ว่ายังมีคนตายคนอื่นๆ อีก ... แต่กลายเป็นผิดหวังหน่อยๆ เพราะมันไม่ใช่จากการสืบสวนของตำรวจตัวเอกของเรื่องค่ะ คนที่จับสังเกต และเชื่อมโยงความผิดปกตินี้ได้ กลับเป็นตัวละครตัวประกอบ ที่ถูกเรียกให้มาช่วย เพื่อนของ Grey ที่ปรากฎตัวแค่ฉากเดียว แล้วก็หายไป

หนังสือเขียนสลับจากตัวละครที่ Adrian เป็นตำรวจ กับเหยื่อที่ถูกสังหารทีละคน เรื่องของ Abbey Lucas ตัวละครหญิงอีกคนที่ทำงานอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ที่ตอนนี้กำลังตกหลุมรักเพื่อนร่วมงานคนใหม่ และสลับด้วยเรื่องในอดีตเมื่อห้าปีที่แล้วของ Abbey 

ตัวละครทุกตัว (ยกเว้นเหยื่อ) มีบาดแผลในอดีตค่ะ เป็นผู้ถูกกระทำทารุณ เคยถูกล่วงละเมิด 

นักเขียนพยายามเล่าให้เราคนอ่านรู้สึกเห็นใจ และโน้มน้าวให้เราเห็นด้วยว่าการกระทำของฆาตกรเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ให้ความรู้สึกสะใจที่คนที่เคยทำร้ายคนอื่น ในที่สุดก็ต้องชดใช้เวรกรรม ... แต่คือสำนวนยังไม่ดีนักค่ะ อ่านแล้วไม่รู้สึก "อิน" สุดๆ แบบนั้น  อีกทั้งเล่าสลับตัวละครไปมา ทำให้อารมณ์ไม่ต่อเนื่องค่ะ คือคนอ่านไม่รู้จะสมมุติว่าตัวเองเป็นใครดี และมีหลายๆ ฉากที่อ่านแล้วไม่เข้าใจที่ไปที่มา ไม่เข้าถึงอารมณ์ของตัวละคร ทำให้เกิดคำถามว่าทำไปทำไม? 

ตัวละครบางคนก็ปรากฎในเล่ม แล้วก็หายไปเลย คือไม่ใช้แล้วก็ทิ้ง ว่างั้น 

หนังสือสนุกพอสมควรนะคะ ไม่ได้แย่หรอกค่ะ เพราะถ้าแย่คงอ่านไม่จบ ... แต่คือแนะนำสำหรับคนอ่านว่า ให้หาสมุดจดชื่อตัวละครไว้ด้วยค่ะ เพราะตัวละครชื่อเยอะจัด




Saturday, December 11, 2021

New Waves

 


หนังสือชื่อ  :  New Waves

ผู้แต่ง  :  Kevin Nguyen

สำนักพิมพ์  :  One World


ออกตัวว่าไม่ค่อยได้อ่านนิยายแนวชีวิตคนปกติสักเท่าไรค่ะ ปกติจะอ่านนิยายแนวสืบสวน ฆาตกรรม ดังนั้นหนังสือเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เลยออกจะ "ธรรมดา" ไปเลยค่ะ เมื่อเทียบกับนิยายแนวที่ชอบอ่าน ... แต่ไม่ได้หมายความว่า เล่มนี้ไม่สนุกนะคะ สนุกค่ะ แต่ไม่ชินเท่านั้นเอง

เรื่องเกิดขี้นที่นิวยอร์ค อเมริกาค่ะ เป็นเรื่องของ Lucus ชาวอเมริกัน ที่เป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นเวียดนาม แม่เป็นคนจีน ดังนั้นให้จินตนาการหน้าตาจะออกแนวเอเชียๆ ค่ะ Lucus ทำงานฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ในบริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Nimbus เป็นเอเชียคนเดียวในบริษัทนั้นค่ะ

กับตัวละครอีกคนคือ Margo เป็นผู้หญิงผิวดำ เป็นเพื่อนร่วมงานของ Lucus ทำงานเป็นวิศกรคอมพิวเตอร์ เก่งมาก และเป็นผู้หญิง + ผิวสี คนเดียวในบริษัทค่ะ

มันเป็นเรื่องการเหยียดชาติพันธ์ุน่ะค่ะ ไม่ได้รุนแรงหรอกค่ะ แต่อึดอัด อย่าง Lucus เนี่ย คนอเมริกันจะคาดหวังว่า คนเอเชียต้องเก่ง แต่ Lucus ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ทำงานด้านไอทีไงคะ ซึ่งสำหรับ Lucus ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่อึดอัด (คือเราคนเอเชีย เราไม่ค่อยสนใจเรื่องสีผิวอะไรมากมายนักหรอกค่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่จนต้องรู้สึกเป็นปมด้อย หรือต้องอ่อนไหวกับมันเวลาใครมาแตะ) 

ในขณะที่ Margo ที่คนอเมริกันมักเหมารวมว่า คนผิวดำไม่เก่งเลข แต่ Margo เป็นอัจฉริยะเลยล่ะค่ะ (ตามที่ Lucus บอก) ดังนั้น Margo จะอ่อนไหวเรื่องสีผิวมาก ... จนบางครั้งคนอ่านรู้สึกว่า มันมากเกินไปหน่อย และด้วยเหตุนี้ Margo เลยเข้ากับเพื่อนที่ทำงานไม่ได้ เลยโดนไล่ออกจาก Nimbus ค่ะ

Margo กับ Lucus เป็นเพื่อนออนไลน์กันมาก่อน (โดยไม่เคยเห็นหน้ากัน) ก่อนจะมาเจอกัน เป็นเพื่อนร่วมงานกันที่ Nimbus ดังนั้นจึงดูเหมือน Lucus จะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของ Margo 

วันที่ Margo ถูกไล่ออก เธอได้ขอให้ Lucus ช่วยเธอขโมยข้อมูลรายชื่อ อีเมล์ ของลูกค้าของ Nimbus จำนวนกว่าสองร้อยล้านรายการค่ะ ตอนทำเหมือนเธอไม่ได้มีแผนซับซ้อนอะไร แค่โกรธ และอยากแก้แค้นบริษัท ... หลังจากโดนโน้มน้าว + เมา Lucus ก็ช่วยค่ะ

พอวันรุ่งขึ้น สติกลับมา ทั้งคู่สัญญาว่าจะทำลายรายการของชุดอีเมล์ของตน แล้วก็จะลืมเรื่องนี้เสีย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ... ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายนั้นได้ทำลายข้อมูลจริงหรือไม่ (Lucus ยังเก็บไว้ค่ะ ...แต่ไม่รู้ในส่วนของ Margo)

ต่อมาทั้งคู่ (ทั้ง Lucus และ Margo) ได้งานใหม่ ในบริษัทคู่แข่ง ชื่อบริษัท Phantom ทั้งคู่ทำงานตำแหน่งเดิม ...​ทุกอย่างดูโอเค จนไม่กี่เดือนถัดมา Margo โดนอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต 

แม่ของ Margo ขอให้ Lucus ลบบัญชีเฟสบุ๊กของลูกสาว เนื่องจากทนความเสียใจไม่ได้ Lucus เลยแอบขโมยโน้ตบุ๊กของ Margo มา 

ต่อจากนั้นเรื่องก็ดำเนินไปช้าๆ ค่ะ Lucus ต้องหาพาสเวิร์ดล็อกอินเข้าโน้ตบุ๊กของ Margo พอรู้พาสเวิร์ดแล้ว ก็เกิดป๊อด ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นอะไรมากไปกว่า ลบบัญชีเฟสบุ๊กของ Margo ตามคำขอของแม่ แต่ด้วยเหตุบังเอิญ ทำให้ Lucus พบว่า Margo มีเพื่อนออนไลน์อีกคน ที่เธอติดต่อสม่ำเสมอทุกวันทางอินเตอร์เน็ต เพื่อนคนนั้นคือ Jill แต่ทั้ง Jill และ Margo ไม่รู้จักหน้าค่าตากันเลยค่ะ  

เนื่องจาก Margo เสียชีวิต Lucus เลยติดต่อนัดเจอกับ Jill และทั้งคู่ก็สานสัมพันธ์กัน ... แต่ไม่ใช่สัมพันธ์แบบโรแมนติกนะคะ คือไงล่ะ เหมือนความต้องการเดียวกัน ก็เลยใช้ชีวิตด้วยกัน เหงาเหมือนกัน แต่อ่านแล้วไม่ได้สัมผัสความรัก ความผูกพันอะไรระหว่างกันมากนักค่ะ 

... เรื่องส่วนตัวก็มีเท่านี้แหละค่ะ หนังสือเล่าในส่วนของ Lucus สลับกับช่วงท้ายๆ เล่าในส่วนของ Jill หนังสือเน้นเล่าในส่วนของการทำงานในวงการสตาร์ทอัพมากกว่า เหมือนพล็อตเรื่องเป็นส่วนหลักก็จริง แต่ไม่น่าตื่นเต้น ส่วนเสริมคืองานของ Lucus ในวงการสตาร์ทอัพต่างหากที่น่าสนใจ 

และสลับกับสคริปต์เรื่องเล่าไซ-ไฟ (แนววิทยาศาสตร์) ของ Margo ค่ะ เพราะ Margo ชอบนิยายไซไฟ เธอเลยอัดเสียงไอเดียพล็อตเรื่องแนวนี้เอาไว้ และทั้ง Lucus และ Jill ชอบฟัง เป็นกิจกรรมร่วมกันของทั้งคู่

หนังสือเล่าในมุมของ Lucus ที่เป็นคนนอกผู้ใกล้ชิด แต่ไม่ใช่คนใน ไม่ได้ทำงานไอที หนังสือเล่าเรื่องการแก้ปัญหาในส่วนของผู้ใช้ ปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว ปัญหาด้านจริยธรรม (ให้นึกภาพปัญหาในชีวิตจริง ที่เฟสบุ๊กประสบอยู่น่ะค่ะ แต่ในสเกลที่เล็กกว่า เพราะผู้ใช้ของ Phantom มีน้อยกว่า) 

ในส่วนของ Margo, Margo ที่ Lucus รู้จัก ไม่เหมือน Margo ที่ Jill รู้จัก ตัว Lucus ยึดติดว่าเขาเป็นเพื่อนคนเดียวของ Margo แต่เราไม่รู้เลยค่ะ ว่า Margo จะคิดอย่างไรกับ Lucus คิดว่าเป็นเพื่อนจริงๆ หรือแค่เพื่อนร่วมงาน 

ในขณะที่ Jill (เป็นฝรั่งผิวขาว) กับ Margo (เป็นคนผิวสี) ก็อ่อนไหวกับเรื่องการเหยียดชาติพันธุ์ เหมือนที่อเมริกา เรื่องนี้เป็นปัญหาน่ะค่ะ ในขณะที่ Lucus ไม่ชอบการเหยียดชาติพันธุ์ (แน่ล่ะ ใครจะชอบ) แต่ก็ไม่ได้โฟกัสกับเรื่องนี้ และไม่ได้อ่อนไหวจนใครแตะความเป็นเอเชียของเขาไม่ได้ 

ในฐานะคนเอเชีย อยู่ยุโรป ก็เข้าไม่ถึงความอ่อนไหวเรื่องสีผิวของ Margo นักหรอกค่ะ เหมือนคนผิวขาวที่อเมริกากลัวจะมีคนมองว่าตัวเองเหยียดผิว ในขณะที่คนผิวดำก็อ่อนไหว ใครแตะหรือแม้กระทั่งพูดขำๆ เรื่องผิวสีไม่ได้เลย ส่วนเอเชียอยู่ตรงกลาง ไม่ชอบก็ไม่คบ เราไม่สามารถทะเลาะกับคนทุกคนที่ไม่ชอบเราได้หรอก คนขี้เหยียดยังไงก็เหยียดวันยังค่ำแหละ ไม่ควรเหนื่อยเปลืองแรงกับคนแบบนี้ 


Sunday, December 5, 2021

The Comfort Book

 


หนังสือชื่อ :  The Comfort Book

ผู้แต่ง  :  Matt Haig

สำนักพิมพ์   :  Canon Gate


หลังจากประทับใจในหนังสือ "The Midnight Library" ของผู้แต่งคนนี้ไปก่อนหน้านี้ ก็เลยเลือกที่จะอ่านอีกเล่มของเขาค่ะ

The Comfort Book เล่มนี้ ไม่ใช่นิยายค่ะ เป็นเหมือนสมุดจดคำคม จดแนวคิดของ Matt Haig คนเขียนมากกว่าค่ะ แต่ละบทสั้นๆ หน้า สองหน้า หรือบางบทก็แค่ไม่กี่บรรทัด เนื้อหาแต่ละบทไม่ได้ปะติดปะต่อกัน ...คือเหมือนสมุดจดคำคม แนวคิดที่เขาคิดขึ้นมาได้ในหัวข้อนั้นๆ น่ะค่ะ 

ใจความสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ เอาไว้อ่านให้รู้สึกสบายใจค่ะ เอาไว้อ่านเวลาที่เรารู้สึกแย่กับตัวเอง เวลาที่เรารู้สึกว่าเราไม่มีอะไรดีเลย รู้สึกเศร้ากับตัวเอง 

ตัวผู้เขียนเล่าประสบการณ์ความรู้สึกของการเป็นโรคซึมเศร้าของเขาเอง การพยายามต่อสู้กับความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายตลอดเวลา คือคนเป็นโรคซึมเศร้าน่ะค่ะ คงรู้สึกไม่ชอบตัวเองอย่างมาก จนอยากตาย ... และ Haig ต้องต่อสู้กับความรู้สึกนี้ เขาต้องใช้การปลอบใจตัวเอง เพื่อให้ตัวเองรู้สึก "ยอมรับ" ตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น คือถึงแม้จะยังรู้สึกเศร้าอยู่ ก็ไม่ต้องไปฝืน ยอมรับและตระหนักรู้กับความรู้สึกนี้ รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง และ "อยู่" กับมัน อยู่ด้วยความหวังว่าในที่สุดมันก็จะเปลี่ยนแปลง เวลาจะทำให้ความรู้สึกเปลี่ยน เราไม่มีทางที่จะรู้สึกเศร้าอยู่ได้ตลอดไปหรอก 

ผู้เขียนได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาอย่างมากค่ะ หลายๆ บทความเอ่ยถึงแนวคิดที่เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า คนไทยพุทธอย่างเราอ่านแล้วก็จะรู้สึกคุ้นๆ กับแนวคิดเหล่านั้นค่ะ เพราะเราโตมากับหลักคำสอน และวิธีคิดแบบนั้น

ด้วยความที่ผู้เขียน เขียนเหมือนเป็นบันทึก มันเลยให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว ทำให้เรารู้จักเขามากขึ้นน่ะค่ะ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความจริงใจในการถ่ายทอดเรื่องราวด้วย เนื่องจากหนังสือมันยาวเนอะ อ่านมาสามร้อยกว่าหน้า กว่าจะจบ ทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์กับผู้เขียน และก็ภาวนาว่า ให้เขาเอาชนะความรู้สึกอยากจะฆ่าตัวตายให้ได้ตลอดไป 

ข้อเสียของหนังสือคือ มันเยอะค่ะ ตั้งสามร้อยกว่าหน้า มันจึงน่าเบื่อ เพราะถึงแม้แต่ละบทจะเล็กๆ แต่มันเป็นแนวคิด เป็นความนึกคิดของผู้แต่ง ดังนั้นคนอ่านจึงต้องการเวลาที่จะย่อย ตกผลึกความคิดนั้น แต่พอมันเยอะหลายหน้าเกินไป อ่านไปก็เริ่มเบื่อค่ะ