Sunday, December 31, 2023

Toffee

 


หนังสือชื่อ  :  Toffee

ผู้แต่ง  :  Sarah Crossan 

สำนักพิมพ์  :  Bloomsbury Publishing Plc


Allison เด็กหญิง อายุประมาณ 15-16 ปี ต้องหนีออกจากบ้านเนื่องจากโดนทำร้ายร่างกายโดยพ่อแท้ๆ ของเธอเอง 

Allison เสียแม่ไปตั้งแต่เกิด และเป็นเหตุให้พ่อโทษเธอว่าเธอเป็นสาเหตุให้แม่เสียชีวิต ชื่อ Allison คือชื่อที่แม่ตั้งให้ 

พ่อเลี้ยง Allison ให้ดูแลตัวเอง ทำไรเอง ทำอาหารให้ตัวพ่อและตัวเองกินเอง ดูแลบ้าน ล้างจานไรเอง ตั้งแต่เด็กๆ เลย และถ้า Allison ทำได้ไม่ดี ก็จะโดนทำร้ายร่างกาย หรือทำร้ายจิตใจ -- Allison เรียนรู้ที่จะอยู่กับพ่อประสาทแดกแบบนี้มาตั้งแต่เกิดค่ะ ทำให้กิริยาท่าทาง การพูดจาของเธอดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ

หลังจากแม่ตาย พ่อก็พาผู้หญิงเข้าบ้านหลายคนอยู่ แต่ไม่มีใครอยู่ได้นาน ยกเว้นคนสุดท้ายคือ Kelly-Anne เข้ามาอยู่บ้านตอน Allison อายุประมาณ 13 ปี -- ทั้งคู่เข้ากันได้ดี Kelly-Anne เป็นแม่เลี้ยงที่ดี และใส่ใจ แต่ที่ซวยคือ พ่อของ Allison ไม่ได้สันดานดีขึ้นเลย ยังคงทำร้ายจิตใจทั้งคู่ และสุดท้ายคือทำร้ายร่างกาย Kelly-Anne ทำให้ Kelly-Anne ตัดสินใจทิ้งพ่อ หนีออกจากบ้านไป -- Allison รู้ แต่ไม่สามารถห้าม Kelly-Anne ได้ และตัวเธอเองก็หนีไม่ได้ด้วย ก็เป็นเด็กอ่ะนะ เป็นลูกด้วย

พอ Kelly-Anne หนีไป พฤติกรรมของพ่อยิ่งเลวร้าย จนสุดท้ายทำร้ายร่างกาย Allison อย่างร้ายแรง จน Allison ทนไม่ไหว และหนีไปอีกคน โดย Allison ตั้งใจจะหนีไปหา Kelly-Anne ค่ะ 

ระหว่างเดินทาง (ใช้บัตรเครดิตพ่อในการจ่ายค่ารถ) Allison แอบเข้าบ้านร้างหลังหนึ่ง เพื่อแอบหลับค้างคืน แต่กลายเป็นว่าบ้านหลังนั้นไม่ใช่บ้านร้าง แต่มีหญิงชรา Marla อาศัยอยู่ -- Marla เริ่มมีอาการของอัลไซเมอร์ และเข้าใจผิดว่า Allison คือ Toffee เพื่อนในวัยเด็กของเธอ

กระเป๋าเป้ของ Allison โดนขโมย โทรศัพท์หาย ทำให้ติดต่อกับ Kelly-Anne ไม่ได้ -- Allison ไม่มีที่ไป เลยทำเนียนอาศัยอยู่กับ Marla 

Marla หลงๆ ลืมๆ ค่ะ คราวดีก็จำได้ว่า Allison เป็นคนแปลกหน้าบุกรุกเข้าบ้าน ...แต่คือบอกคนดูแลที่แวะมาหา เขาก็ไม่เชื่อค่ะ คือคนดูแลไม่ถือจริงจังกับคนพูดของคนเป็นอัลไซเมอร์อยู่แล้วไง

มันคือเรื่องมิตรภาพของคนสองคน คนหนึ่งอยากลืม อยากลืมสิ่งเลวร้ายที่พ่อทำกับเธอ อยากหายไปจากโลกนี้ หนีไปจากตัวตนของการเป็น Allison ส่วนอีกคนอยากจำ แต่จำไม่ได้ และถูกคนรอบข้างลืม 

เป็นนิยาย feel good แต่โลกไม่สวย เขียนในมุมมองของ Allison รายเรียงคล้ายกลอน ทำให้เราต้องปะติดปะต่อเรื่องเอาเอง เพราะเป็นกลอนของ Allison เล่าเรื่องสลับกันไประหว่างภาคปัจจุบันที่แอบอยู่บ้าน Marla กับภาคอดีตตอนอาศัยอยู่กับพ่อ

Wednesday, December 6, 2023

Really good, actually

 


หนังสือชื่อ  :  really good, actually

ผู้แต่ง  :  Monica Heisey

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


Maggie ในวัย 28 ปี กำลังอยู่ในช่วงหย่ากับสามี Jon, ที่น่าเศร้าคือ Maggie กับ Jon เป็นเพื่อนกัน เป็นแฟนกันมาตั้งแต่สมัยปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย เรียนจบก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน เป็นแฟนกัน 6 ปี จนตัดสินใจแต่งงานกัน ... แต่แต่งงานกันได้แค่ 608 วัน ชีวิตแต่งงานก็ล่มลง กลายเป็นว่าชีวิตคู่ในฐานะสามีภรรยา สั้นกว่าตอนเป็นแฟนกันเสียอีก

คนสองคนถึงคราวจะเลิกกัน มันไม่มีเรื่องไหนเด่นเป็นเรื่องที่ถึงขั้นต้องเลิกหรอกค่ะ มันคือสิ่งละอันพันละน้อยสะสม ไม่พอใจสะสมกันเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ (ในกรณีนี้) Maggie เป็นคนบอก Jon ว่าเราเลิกกันเถอะ ซึ่ง Jon ก็ไม่คัดค้านอะไร ขนของกับแมวออกจากบ้านโดยดี และไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย ทิ้ง Maggie ไว้กับความเสียใจ 

หนังสือเล่าในมุมของ Maggie เท่านั้นค่ะ เหมือนเป็นไดอารี่ความคิดของ Maggie ... และเนื่องจากหนังสือเล่าเพียงด้านของ Maggie เท่านั้น เราจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคู่นี้ 

Maggie รู้สึกแย่ เพราะเธอเป็นคนแรกในกลุ่มที่แต่งงานก่อนคนอื่น แต่งกับแฟน ซึ่งใครๆ ก็ว่าเหมาะสมกันดี ทุกอย่างดีไปหมด แต่จู่ๆ มารู้ตัวอีกที เธอก็กลายเป็นผู้หญิงที่ต้องหย่าตั้งแต่อายุยังน้อยเสียแล้ว

ถึงแม้จะเสียใจ เสียศูนย์ แต่ Maggie ก็ยังคิดว่าตัวเองโอเคอยู่ ถึงแม้เพื่อนจะแนะนำหนังสือให้อ่าน หรือแนะนำนักจิตบำบัดดีๆ ให้ แต่ Maggie มองว่าสำหรับเธอแล้วไม่จำเป็น เธอโอเค (สมชื่อหนังสือค่ะ really good, actually) ถึงขั้นคิดว่าคนที่ต้องพบนักจิตบำบัดคืออดีตสามี ใจดีถึงขนาดนัดนักจิตบำบัดเพื่อคุยเรื่องบำบัดชีวิตคู่ระหว่างเธอกับสามี (อารมณ์เพื่อการจากกันด้วยดีน่ะค่ะ) และ Maggie มองว่า Jon คือคนที่มีปัญหาในชีวิตคู่ ควรได้รับการปรับทัศนคติ  

อ่านๆ ไปเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกว่า Maggie เป็นผู้หญิงที่อยู่ด้วยยากอ่ะ คือแบบสนุก เป็นมิตร แบบคบผิวเผินน่ะน่ารักดี แต่เธอคนข้างเจ้าอารมณ์ ปากไม่มีหูรูด และคิดแต่เรื่องของตัวเอง...คือถ้าเทียบการหย่าของเธอกับเพื่อนรอบตัว เธอไม่ได้ดูประหลาดอะไรเลยอ่ะ พ่อแม่ของเธอก็หย่ากัน เพื่อนสนิทของเธอก็โสดกันทุกคน ถ้าเธอจะกลับมาโสดอีกครั้ง มันก็ไม่ใช่เรื่องรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเลย ถ้าเพื่อนสนิททุกคนมีครอบครัว มีลูกนี่สิ ก็ว่าไปอย่าง ... แต่นั่นแหละ Maggie มองเรื่องของตัวเองสำคัญ

เพราะ Maggie เสียใจ (ถึงแสร้งว่าโอเคก็เถอะ) นิสัยของ Maggie ที่อยู่ด้วยยากอยู่แล้ว ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เธอพยามมูฟออน ด้วยการนัดเดตคนโน่นคนนี้ โหลดแอปเดต ทำกิจกรรมต่างๆ ช้อปป้ิงแหลก ฯลฯ 

เป็นหนังสือที่แต่งได้ดีเลยล่ะค่ะ ถึงแม้เราอ่านแล้วเราจะไม่ชอบนิสัยบางอย่างของ Maggie แต่ก็สะท้อนว่านิสัยบางอย่างของเธอ เราก็เป็น ... หนังสือเล่าการผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากทางอารมณ์ของ Maggie อย่างช้าๆ เธอพยายามฟื้นต้วเอง พยายามกลับมารักตัวเองอีกครั้ง กลับมานับถือตัวเองอีกครั้ง และก้าวเดินในชีวิตต่อไป 

สนุกนะคะ มุกตลกบางอย่างก็ขำดี แต่มุกที่ Maggie ยิงใส่คนอื่น ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นในนิยายถึงขำ บางมุกเราก็ไม่เข้าใจ บางมุกเข้าใจแต่ไม่รู้สึกขำ ...หนังสือเล่าแบบ slice of life นะคะ ไม่ได้มีพีก เหมือนชีวิตจริงของคนธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงยากลำบาก ช่วงกำลังเสียใจ และพยายามก้าวผ่านช่วงเวลานั้นให้ได้ ...


Monday, December 4, 2023

The Bone Hacker

 


หนังสือชื่อ  :  The Bone Hacker

ผู้แต่ง  :  Kathy Reichs

สำนักพิมพ์  :  Simon & Schuster UK Ltd, 2013


 ตัวเอกของเรื่องคือ Dr. Temperance Brennan เป็น anthropologie judiciaire คือเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกระดูกของมนุษย์ เธอจะทำงานร่วมกับหมอนิติเวช เวลาเจอศพที่เสียชีวิตไปนานแล้ว จนยากที่จะหาสาเหตุการเสียชีวิตจากเนื้อเยื่อได้ ศพอาจจะเหลือแต่กระดูก หรือกำลังเน่า เธอก็จะมีหน้าที่หาความกระจ่างในการเสียชีวิตของเหยื่อจากโครงกระดูกค่ะ

Brennan ทำงานที่มอนทรีออล แคนาดา และมีคดีชายวัยรุ่นจากหมู่เกาะเติกส์แอนด์เคคอสถูกยิงตายที่พื้นที่รับผิดชอบของเธอน่ะค่ะ Brennan เลยโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกาะนั้น แต่กลายเป็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกาะนั้นให้ความสนใจกับคดีนี้อย่างมาก ถึงขั้นบินมาแคนาดาเพื่อติดตามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ...เป็นที่น่าแปลกใจมากค่ะ เพราะผู้ตายไม่ได้เป็นที่รู้จักอะไร เป็นแค่เด็กวัยรุ่นมีปัญหาเท่านั้น 

สุดท้ายก็มาเฉลยว่า นักสืบ Musgrove จากเกาะเติกส์แอนด์เคคอสมีเจตนาต้องการให้ Brennan ช่วยในการสืบคดีนักท่องเที่ยวหายตัว และเสียชีวิตที่เกาะ ซึ่งน่าสงสัยว่าเกิดจากฝีมือฆาตกรต่อเนื่องค่ะ

นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่เกาะแล้วหายไปคือ

- Robert Galloway หายไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เจอศพแล้ว

- Ryder Palke หายตัวไปเมื่อ 4 ปีก่อน 

- Quentin Bonner หายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน

และเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีคนเจอศพเป็นโครงกระดูกสองศพที่เกาะน่ะค่ะ แต่บังเอิญว่าที่เกาะไม่มีนักมานุษยวิทยาแบบ Dr. Brennan เลย ดังนั้นจึงยากที่จะบอกได้ว่าสองโครงกระดูกที่เจอนั้นคือนักท่องเที่ยวที่หายไปหรือไม่ และพวกเขาตายด้วยสาเหตุใด -- พอดีประจวบเหมาะที่ Brennan โทรมาแจ้งเรื่องคนในเกาะเสียชีวิตที่มอนทรีออลพอดี นักสืบ Musgrove จึงถือโอกาสนี้มาชวน Brennan ให้ช่วยสืบคดีนี้ด้วยตัวเอง ซึ่ง Brennan ก็ตกลง

ปรากฎว่า โครงกระดูกสองศพที่เจอ เป็นของนักท่องเที่ยวที่หายไปจริงๆ ที่แปลกคือมือด้านซ้ายของทั้งสองศพถูกตัดหายไป (ฆาตกรเก็บไป?) 

ระหว่างนั้น ที่เกาะก็มีอีกคดี มีคนพบเรือนักท่องเที่ยวลอยกลางทะเล ผู้โดยสารในเรือทั้ง 4 คนเสียชีวิต การเสียชีวิตเกิดจากการขาดน้ำ หลงทางกลางทะเลจนขาดน้ำตายน่ะค่ะ ...ที่แปลกคือทำไมไม่มีใครในเรือส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ? อุปกรณ์ในการนำทางก็ดูไม่มีปัญหา ทำไมจึงหลงทางได้?

นอกจากนี้ที่เกาะก็ยังมีอีกคดี เจ้าหน้าที่พิเศษ FBI มาหายตัวไปที่เกาะ ...FBI มาทำอะไรที่เกาะนี้? รูปแบบการหายตัวไปของเจ้าหน้าที่ก็ดันไปกลายกับการหายตัวไปของนักท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ...ฤาฆาตกรจะเริ่มลงมืออีกครั้ง?

 และในระหว่างที่กำลังไขคดีกันอยู่นั้น นักสืบ Musgrove ก็มาโดนฆาตกรรมเสียชีวิต ทิ้งให้ Brennan ต้องสืบสวนกับนักสืบคนใหม่ หาสาเหตุการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยว และการเสียชีวิตของ Musgrove ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงกัน?

---

สนุกพอประมาณค่ะ หนังสือใช้ตัวย่อของหน่วยงานต่างๆ เยอะเกินไป คดีก็เยอะ บางคดีก็ไม่เกี่ยวกับการสืบสวนในหนังสือเลย เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำงานเท่านั้น ในอีกด้านมันก็ดูเรียล ในแง่ที่ชีวิตจริงของผู้ทำงานเกี่ยวกับกฎหมาย มักต้องติดต่อพัวพันกับหน่วยงานทางด้านกฎหมายอื่นๆ หลายหน่วยงาน ...แต่พอเป็นหนังสือเขียนให้คนอ่านที่ไม่มีพื้นด้านนี้มาก่อนเลย อ่านแล้วจะงง 

ตอนจบก็สรุปรวบรัดเกินไป คือกำลังสนุก เฉลยแล้วกลายเป็นว่าทุกอย่างพัวพันกันหมดเลย เขียนมา 34 บท เฉลยทุกอย่างบทที่ 35 บทเดียวงี้ มันดูรวบรัดและดูง่ายเกินไป ดูบังเอิญเกินไปที่ทุกอย่างพัวพันกันไปเสียหมด