Sunday, December 31, 2023

Toffee

 


หนังสือชื่อ  :  Toffee

ผู้แต่ง  :  Sarah Crossan 

สำนักพิมพ์  :  Bloomsbury Publishing Plc


Allison เด็กหญิง อายุประมาณ 15-16 ปี ต้องหนีออกจากบ้านเนื่องจากโดนทำร้ายร่างกายโดยพ่อแท้ๆ ของเธอเอง 

Allison เสียแม่ไปตั้งแต่เกิด และเป็นเหตุให้พ่อโทษเธอว่าเธอเป็นสาเหตุให้แม่เสียชีวิต ชื่อ Allison คือชื่อที่แม่ตั้งให้ 

พ่อเลี้ยง Allison ให้ดูแลตัวเอง ทำไรเอง ทำอาหารให้ตัวพ่อและตัวเองกินเอง ดูแลบ้าน ล้างจานไรเอง ตั้งแต่เด็กๆ เลย และถ้า Allison ทำได้ไม่ดี ก็จะโดนทำร้ายร่างกาย หรือทำร้ายจิตใจ -- Allison เรียนรู้ที่จะอยู่กับพ่อประสาทแดกแบบนี้มาตั้งแต่เกิดค่ะ ทำให้กิริยาท่าทาง การพูดจาของเธอดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ

หลังจากแม่ตาย พ่อก็พาผู้หญิงเข้าบ้านหลายคนอยู่ แต่ไม่มีใครอยู่ได้นาน ยกเว้นคนสุดท้ายคือ Kelly-Anne เข้ามาอยู่บ้านตอน Allison อายุประมาณ 13 ปี -- ทั้งคู่เข้ากันได้ดี Kelly-Anne เป็นแม่เลี้ยงที่ดี และใส่ใจ แต่ที่ซวยคือ พ่อของ Allison ไม่ได้สันดานดีขึ้นเลย ยังคงทำร้ายจิตใจทั้งคู่ และสุดท้ายคือทำร้ายร่างกาย Kelly-Anne ทำให้ Kelly-Anne ตัดสินใจทิ้งพ่อ หนีออกจากบ้านไป -- Allison รู้ แต่ไม่สามารถห้าม Kelly-Anne ได้ และตัวเธอเองก็หนีไม่ได้ด้วย ก็เป็นเด็กอ่ะนะ เป็นลูกด้วย

พอ Kelly-Anne หนีไป พฤติกรรมของพ่อยิ่งเลวร้าย จนสุดท้ายทำร้ายร่างกาย Allison อย่างร้ายแรง จน Allison ทนไม่ไหว และหนีไปอีกคน โดย Allison ตั้งใจจะหนีไปหา Kelly-Anne ค่ะ 

ระหว่างเดินทาง (ใช้บัตรเครดิตพ่อในการจ่ายค่ารถ) Allison แอบเข้าบ้านร้างหลังหนึ่ง เพื่อแอบหลับค้างคืน แต่กลายเป็นว่าบ้านหลังนั้นไม่ใช่บ้านร้าง แต่มีหญิงชรา Marla อาศัยอยู่ -- Marla เริ่มมีอาการของอัลไซเมอร์ และเข้าใจผิดว่า Allison คือ Toffee เพื่อนในวัยเด็กของเธอ

กระเป๋าเป้ของ Allison โดนขโมย โทรศัพท์หาย ทำให้ติดต่อกับ Kelly-Anne ไม่ได้ -- Allison ไม่มีที่ไป เลยทำเนียนอาศัยอยู่กับ Marla 

Marla หลงๆ ลืมๆ ค่ะ คราวดีก็จำได้ว่า Allison เป็นคนแปลกหน้าบุกรุกเข้าบ้าน ...แต่คือบอกคนดูแลที่แวะมาหา เขาก็ไม่เชื่อค่ะ คือคนดูแลไม่ถือจริงจังกับคนพูดของคนเป็นอัลไซเมอร์อยู่แล้วไง

มันคือเรื่องมิตรภาพของคนสองคน คนหนึ่งอยากลืม อยากลืมสิ่งเลวร้ายที่พ่อทำกับเธอ อยากหายไปจากโลกนี้ หนีไปจากตัวตนของการเป็น Allison ส่วนอีกคนอยากจำ แต่จำไม่ได้ และถูกคนรอบข้างลืม 

เป็นนิยาย feel good แต่โลกไม่สวย เขียนในมุมมองของ Allison รายเรียงคล้ายกลอน ทำให้เราต้องปะติดปะต่อเรื่องเอาเอง เพราะเป็นกลอนของ Allison เล่าเรื่องสลับกันไประหว่างภาคปัจจุบันที่แอบอยู่บ้าน Marla กับภาคอดีตตอนอาศัยอยู่กับพ่อ

Wednesday, December 6, 2023

Really good, actually

 


หนังสือชื่อ  :  really good, actually

ผู้แต่ง  :  Monica Heisey

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


Maggie ในวัย 28 ปี กำลังอยู่ในช่วงหย่ากับสามี Jon, ที่น่าเศร้าคือ Maggie กับ Jon เป็นเพื่อนกัน เป็นแฟนกันมาตั้งแต่สมัยปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย เรียนจบก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน เป็นแฟนกัน 6 ปี จนตัดสินใจแต่งงานกัน ... แต่แต่งงานกันได้แค่ 608 วัน ชีวิตแต่งงานก็ล่มลง กลายเป็นว่าชีวิตคู่ในฐานะสามีภรรยา สั้นกว่าตอนเป็นแฟนกันเสียอีก

คนสองคนถึงคราวจะเลิกกัน มันไม่มีเรื่องไหนเด่นเป็นเรื่องที่ถึงขั้นต้องเลิกหรอกค่ะ มันคือสิ่งละอันพันละน้อยสะสม ไม่พอใจสะสมกันเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ (ในกรณีนี้) Maggie เป็นคนบอก Jon ว่าเราเลิกกันเถอะ ซึ่ง Jon ก็ไม่คัดค้านอะไร ขนของกับแมวออกจากบ้านโดยดี และไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย ทิ้ง Maggie ไว้กับความเสียใจ 

หนังสือเล่าในมุมของ Maggie เท่านั้นค่ะ เหมือนเป็นไดอารี่ความคิดของ Maggie ... และเนื่องจากหนังสือเล่าเพียงด้านของ Maggie เท่านั้น เราจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคู่นี้ 

Maggie รู้สึกแย่ เพราะเธอเป็นคนแรกในกลุ่มที่แต่งงานก่อนคนอื่น แต่งกับแฟน ซึ่งใครๆ ก็ว่าเหมาะสมกันดี ทุกอย่างดีไปหมด แต่จู่ๆ มารู้ตัวอีกที เธอก็กลายเป็นผู้หญิงที่ต้องหย่าตั้งแต่อายุยังน้อยเสียแล้ว

ถึงแม้จะเสียใจ เสียศูนย์ แต่ Maggie ก็ยังคิดว่าตัวเองโอเคอยู่ ถึงแม้เพื่อนจะแนะนำหนังสือให้อ่าน หรือแนะนำนักจิตบำบัดดีๆ ให้ แต่ Maggie มองว่าสำหรับเธอแล้วไม่จำเป็น เธอโอเค (สมชื่อหนังสือค่ะ really good, actually) ถึงขั้นคิดว่าคนที่ต้องพบนักจิตบำบัดคืออดีตสามี ใจดีถึงขนาดนัดนักจิตบำบัดเพื่อคุยเรื่องบำบัดชีวิตคู่ระหว่างเธอกับสามี (อารมณ์เพื่อการจากกันด้วยดีน่ะค่ะ) และ Maggie มองว่า Jon คือคนที่มีปัญหาในชีวิตคู่ ควรได้รับการปรับทัศนคติ  

อ่านๆ ไปเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกว่า Maggie เป็นผู้หญิงที่อยู่ด้วยยากอ่ะ คือแบบสนุก เป็นมิตร แบบคบผิวเผินน่ะน่ารักดี แต่เธอคนข้างเจ้าอารมณ์ ปากไม่มีหูรูด และคิดแต่เรื่องของตัวเอง...คือถ้าเทียบการหย่าของเธอกับเพื่อนรอบตัว เธอไม่ได้ดูประหลาดอะไรเลยอ่ะ พ่อแม่ของเธอก็หย่ากัน เพื่อนสนิทของเธอก็โสดกันทุกคน ถ้าเธอจะกลับมาโสดอีกครั้ง มันก็ไม่ใช่เรื่องรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเลย ถ้าเพื่อนสนิททุกคนมีครอบครัว มีลูกนี่สิ ก็ว่าไปอย่าง ... แต่นั่นแหละ Maggie มองเรื่องของตัวเองสำคัญ

เพราะ Maggie เสียใจ (ถึงแสร้งว่าโอเคก็เถอะ) นิสัยของ Maggie ที่อยู่ด้วยยากอยู่แล้ว ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เธอพยามมูฟออน ด้วยการนัดเดตคนโน่นคนนี้ โหลดแอปเดต ทำกิจกรรมต่างๆ ช้อปป้ิงแหลก ฯลฯ 

เป็นหนังสือที่แต่งได้ดีเลยล่ะค่ะ ถึงแม้เราอ่านแล้วเราจะไม่ชอบนิสัยบางอย่างของ Maggie แต่ก็สะท้อนว่านิสัยบางอย่างของเธอ เราก็เป็น ... หนังสือเล่าการผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากทางอารมณ์ของ Maggie อย่างช้าๆ เธอพยายามฟื้นต้วเอง พยายามกลับมารักตัวเองอีกครั้ง กลับมานับถือตัวเองอีกครั้ง และก้าวเดินในชีวิตต่อไป 

สนุกนะคะ มุกตลกบางอย่างก็ขำดี แต่มุกที่ Maggie ยิงใส่คนอื่น ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นในนิยายถึงขำ บางมุกเราก็ไม่เข้าใจ บางมุกเข้าใจแต่ไม่รู้สึกขำ ...หนังสือเล่าแบบ slice of life นะคะ ไม่ได้มีพีก เหมือนชีวิตจริงของคนธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงยากลำบาก ช่วงกำลังเสียใจ และพยายามก้าวผ่านช่วงเวลานั้นให้ได้ ...


Monday, December 4, 2023

The Bone Hacker

 


หนังสือชื่อ  :  The Bone Hacker

ผู้แต่ง  :  Kathy Reichs

สำนักพิมพ์  :  Simon & Schuster UK Ltd, 2013


 ตัวเอกของเรื่องคือ Dr. Temperance Brennan เป็น anthropologie judiciaire คือเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกระดูกของมนุษย์ เธอจะทำงานร่วมกับหมอนิติเวช เวลาเจอศพที่เสียชีวิตไปนานแล้ว จนยากที่จะหาสาเหตุการเสียชีวิตจากเนื้อเยื่อได้ ศพอาจจะเหลือแต่กระดูก หรือกำลังเน่า เธอก็จะมีหน้าที่หาความกระจ่างในการเสียชีวิตของเหยื่อจากโครงกระดูกค่ะ

Brennan ทำงานที่มอนทรีออล แคนาดา และมีคดีชายวัยรุ่นจากหมู่เกาะเติกส์แอนด์เคคอสถูกยิงตายที่พื้นที่รับผิดชอบของเธอน่ะค่ะ Brennan เลยโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกาะนั้น แต่กลายเป็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกาะนั้นให้ความสนใจกับคดีนี้อย่างมาก ถึงขั้นบินมาแคนาดาเพื่อติดตามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ...เป็นที่น่าแปลกใจมากค่ะ เพราะผู้ตายไม่ได้เป็นที่รู้จักอะไร เป็นแค่เด็กวัยรุ่นมีปัญหาเท่านั้น 

สุดท้ายก็มาเฉลยว่า นักสืบ Musgrove จากเกาะเติกส์แอนด์เคคอสมีเจตนาต้องการให้ Brennan ช่วยในการสืบคดีนักท่องเที่ยวหายตัว และเสียชีวิตที่เกาะ ซึ่งน่าสงสัยว่าเกิดจากฝีมือฆาตกรต่อเนื่องค่ะ

นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่เกาะแล้วหายไปคือ

- Robert Galloway หายไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เจอศพแล้ว

- Ryder Palke หายตัวไปเมื่อ 4 ปีก่อน 

- Quentin Bonner หายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน

และเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีคนเจอศพเป็นโครงกระดูกสองศพที่เกาะน่ะค่ะ แต่บังเอิญว่าที่เกาะไม่มีนักมานุษยวิทยาแบบ Dr. Brennan เลย ดังนั้นจึงยากที่จะบอกได้ว่าสองโครงกระดูกที่เจอนั้นคือนักท่องเที่ยวที่หายไปหรือไม่ และพวกเขาตายด้วยสาเหตุใด -- พอดีประจวบเหมาะที่ Brennan โทรมาแจ้งเรื่องคนในเกาะเสียชีวิตที่มอนทรีออลพอดี นักสืบ Musgrove จึงถือโอกาสนี้มาชวน Brennan ให้ช่วยสืบคดีนี้ด้วยตัวเอง ซึ่ง Brennan ก็ตกลง

ปรากฎว่า โครงกระดูกสองศพที่เจอ เป็นของนักท่องเที่ยวที่หายไปจริงๆ ที่แปลกคือมือด้านซ้ายของทั้งสองศพถูกตัดหายไป (ฆาตกรเก็บไป?) 

ระหว่างนั้น ที่เกาะก็มีอีกคดี มีคนพบเรือนักท่องเที่ยวลอยกลางทะเล ผู้โดยสารในเรือทั้ง 4 คนเสียชีวิต การเสียชีวิตเกิดจากการขาดน้ำ หลงทางกลางทะเลจนขาดน้ำตายน่ะค่ะ ...ที่แปลกคือทำไมไม่มีใครในเรือส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ? อุปกรณ์ในการนำทางก็ดูไม่มีปัญหา ทำไมจึงหลงทางได้?

นอกจากนี้ที่เกาะก็ยังมีอีกคดี เจ้าหน้าที่พิเศษ FBI มาหายตัวไปที่เกาะ ...FBI มาทำอะไรที่เกาะนี้? รูปแบบการหายตัวไปของเจ้าหน้าที่ก็ดันไปกลายกับการหายตัวไปของนักท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ...ฤาฆาตกรจะเริ่มลงมืออีกครั้ง?

 และในระหว่างที่กำลังไขคดีกันอยู่นั้น นักสืบ Musgrove ก็มาโดนฆาตกรรมเสียชีวิต ทิ้งให้ Brennan ต้องสืบสวนกับนักสืบคนใหม่ หาสาเหตุการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยว และการเสียชีวิตของ Musgrove ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงกัน?

---

สนุกพอประมาณค่ะ หนังสือใช้ตัวย่อของหน่วยงานต่างๆ เยอะเกินไป คดีก็เยอะ บางคดีก็ไม่เกี่ยวกับการสืบสวนในหนังสือเลย เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำงานเท่านั้น ในอีกด้านมันก็ดูเรียล ในแง่ที่ชีวิตจริงของผู้ทำงานเกี่ยวกับกฎหมาย มักต้องติดต่อพัวพันกับหน่วยงานทางด้านกฎหมายอื่นๆ หลายหน่วยงาน ...แต่พอเป็นหนังสือเขียนให้คนอ่านที่ไม่มีพื้นด้านนี้มาก่อนเลย อ่านแล้วจะงง 

ตอนจบก็สรุปรวบรัดเกินไป คือกำลังสนุก เฉลยแล้วกลายเป็นว่าทุกอย่างพัวพันกันหมดเลย เขียนมา 34 บท เฉลยทุกอย่างบทที่ 35 บทเดียวงี้ มันดูรวบรัดและดูง่ายเกินไป ดูบังเอิญเกินไปที่ทุกอย่างพัวพันกันไปเสียหมด

Saturday, November 18, 2023

The Last Thing He Told Me

 


หนังสือชื่อ  :  The Last Thing He Told Me

ผู้แต่ง  :  Laura Dave

สำนักพิมพ์  :  Simon & Schuster


Hannah แต่งงานกับ Owen มาสองปีแล้วค่ะ Owen เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว มีลูกสาววัยรุ่นชื่อ Bailey -- ชีวิตแต่งงานมีความสุขดี Hannah ทำงานเป็นช่างไม้เพื่อศิลปะ (woonturner) ในขณะที่ Owen ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทสตาร์ทอัพกำลังรุ่งแห่งหนึ่ง ปัญหาเดียวที่ Hannah มีคือ เคมีไม่เข้ากับลูกเลี้ยงคือ Bailey ค่ะ

แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแวะมาหาที่ที่ทำงานของ Hannah พร้อมยื่นกระดาษโน๊ตลายมือของ Owen กระดาษแผ่นนั้นเขียนแค่ข้อความสั้นๆ ว่า "Protect her" -- แล้ว Owen ก็หายไป หายไปเลย ไม่กลับบ้าน ติดต่อไม่ได้ หายยยย

เนื่องจากบริษัทที่ Owen ทำงานด้วยนั้น กลายเป็นข่าวระดับประเทศจากการฉ้อโกงเงินนักลงทุน เจ้าของบริษัทโดนจับ และนักลงทุนต่างโกรธแค้น ในขณะที่ Owen ทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายโปรแกรมเมอร์ ดังนั้นหลายคนจึงคิดว่าที่ Owen หายตัวไปน่าจะเป็นเพราะกลัวโดนตำรวจจับในข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าของบริษัทฉ้อโกงประชาชน

แต่กลายเป็นว่า สาเหตุที่ Owen หายไปนั้นมาจากเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นมาก มากกว่าเพราะกลัวตกเป็นผู้ตกสงสัยมาก ... ยิ่ง Hannah พยายามตามหาว่า Owen อยู่ไหน ก็ยิ่งพบว่า เธอแทบไม่รู้อดีตของ Owen เลย เรื่องที่ Owen เคยเล่า ...กลายเป็นเรื่องแต่ง แม้แต่ชื่อ Owen ก็ไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ ... แต่เรื่องจริงคือ Owen พาลูกสาว Bailey หนีอะไรบางอย่าง ตั้งแต่ Bailey ยังเล็กมาก ดังนั้น Bailey จึงช็อคมากค่ะ เมื่อเธอพบว่า จริงๆ แล้ว เธออาจจะไม่ได้ชื่อ Bailey ด้วยซ้ำ หรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับแม่ของเธอที่พ่อเล่าให้ฟังนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้

Bailey และแม่เลี้ยงเลยต้องสงบศึกกันชั่วคราว เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับอดีตของเธอและพ่อของเธอที่เมือง Austin ที่ๆ คาดว่าพ่อเคยเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองนี้

เล่มนี้อาจสนุกใช้ได้ค่ะ เหตุผลที่ Owen ต้องหนีก็สมเหตุสมผล ...เหตุผลที่ Hannah พยายามปกป้อง Bailey อย่างดี ทั้งๆที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ และ Bailey ก็นิสัยแย่กับเธอ ก็สมเหตุสมผล สมกับพื้นหลังทางครอบครัวที่ Hannah เติบโตมา ... Hannah จัดว่าเป็นแม่เลี้ยงตัวอย่างมากค่ะ เป็นคนใจเย็นสมกับเป็นช่างไม้ ใจเย็นกับ Bailey มาก และปล่อยให้ Bailey เติบโตในทิศทางที่เธอเลือกเอง ถือว่าเป็นความรักที่สมเหตุสมผลอีกแบบ และในที่สุด Bailey ก็รับรู้ถึงความรักที่ Hannah มอบให้  

Monday, October 30, 2023

โกหก "น่า" ตาย

 


หนังสือชื่อ  :  โกหก "น่า" ตาย

ผู้เขียน  :  ฮิงาชิโนะ เคโงะ

ผู้แปล  :  เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ

สำนักพิมพ์  :  ไดฟุกุ บริษัท บุ๊ค ไทม์ จำกัด


เป็นเรื่องสั้นค่ะ มีทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน เป็นการสืบสวนคดีของนายตำรวจคางะ เคียวอิจิโร่ -- ถึงแม้ผู้แต่งจะคนเดียวกันกับหนังสือสืบสวนชุดกาลิเลโอ แต่ให้ความรู้สึกคนละอารมณ์กัน กาลิเลโอจะออกแนวแฟนตาซีกว่า แต่เล่มนี้จะคล้ายกับคดีฆาตกรรมในชีวิตจริงมากกว่าค่ะ

เรื่องที่ 1 - โกหกอีกแค่ครั้งเดียว

อดีตนักเต้นบัลเล่ต์ถูกพบตกตึกจากห้องพักบนชั้นเจ็ดเสียชีวิต รูปการเหมือนการฆ่าตัวตาย แต่กลายกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ...เรื่องทั้งหมดมีที่มาจากการโกหกครั้งแรกแค่ครั้งเดียว และเพื่อปกปิดการโกหกในครั้งนั้น ก็เลยจำต้องโกหกให้มากขึ้นไปอีกๆ ...จนสุดท้ายจบด้วยโศกนาฏกรรม

เรื่องที่ 2 - ไฟเย็น

พ่อผู้กลับบ้านหลังเลิกงาน เมื่อถึงบ้าน กลับพบว่าภรรยาเสียชีวิต และลูกชายอายุหนึ่งขวบหายตัวไป -- ดูเหมือนมีคนบุกรุกขโมยของ สังหารผู้หญิงเจ้าของบ้าน และลักพาตัวเด็กน้อยไป ... แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ครอบครัวที่ดูเหมือนอบอุ่น กลับมีเบื้องหลังที่เย็นชา

เรื่องที่ 3 - ฝันที่สอง

คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเลิกงานกลับบ้าน เพื่อพบว่าบ้านโดนรื้อค้น และพบศพแฟนคนใหม่เสียชีวิตอยู่ในห้อง -- เรื่องนี้รู้สึกว่าแรงจูงใจของฆาตกรไม่มากพอค่ะ มันจะพีกกว่านี้ ถ้ามีเรื่องของการพยายามล่วงละเมิดเข้ามาด้วย เพราะพบศพผู้ตายในห้องของลูกสาว คือถ้าจะมานอนรอแฟน ก็ทำไมไม่รอที่ห้องแฟนล่ะ มารอที่ห้องเด็กทำไม

เรื่องที่ 4 - การคำนวณรวน

ภรรยาผู้โศกเศร้ากับการจากไปของสามีด้วยอุบัติเหตุอย่างกระทันหัน ในขณะเดียวกันสถาปนิกผู้เคยออกแบบบ้านให้พวกเขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับในวันเดียวกัน สองคดีนี้เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันค่ะ การเลือกคนผิดและพันธะสมรสที่สลัดหลุดไม่ง่าย -- เราชอบเรื่องนี้ที่สุดในเล่มค่ะ หักมุมดี

เรื่องที่ 5 - คำเตือนของเพื่อน

เรื่องนี้ไม่มีคนตาย แค่ "เกือบ" ...เมื่อ ฮางิวาระ ทามตสึ เพื่อนของคุณตำรวจคางะประสบอุบัติเหตุ ขับรถหลับในชนกำแพงข้างทางด่วน คางะซึ่งรู้จักเพื่อนของตนดี ไม่เชื่อว่าเพื่อนของเขาจะขับรถหลับใน และด้วยสังหรณ์ของตำรวจ เขาสังเกตเห็นความผิดปกติของคนใกล้ชิดของทามตสึ พฤติกรรมที่ผิดวิสัย จึงนำไปสู่การหาหลักฐาน และบอกสิ่งที่เขาระแวงให้แก่เพื่อนทราบ .... เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า จิตคนยากแท้หยั่งถึงเนอะ 

คิสเดอะเกิร์ล Kiss the girls

 


หนังสือชื่อ  :  คิสเดอะเกิร์ล (Kiss the girls)

ผู้เขียน  :  James Patterson

ผู้แปล  :  สุวิทย์ ขาวปลอด

สำนักพิมพ์  :  วรรณวิภา


สนุกค่ะ อ่านเสียงานเสียการ อ่านวางไม่ลง เพราะอยากรู้ว่าฆาตกรคือใครกันแน่ 

อ่านงานแปลของคุณสุวิทย์ ขาวปลอดมาตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ สำนวนแปลที่คุ้นเคย สุวิทย์เหมาะกับการแปลนิยายแอคชั่นมากค่ะ สำนวนการเขียนทำให้คนอ่านอยากเราจินตนาการภาพในหัว เหมือนกำลังดูหนังแอคชั่นมันส์ๆ เรื่องหนึ่งเลยค่ะ

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในซีรี่ย์สืบสวนคลี่คลายคดีของ ดร.อเล็กซ์ ครอส จิตแพทย์ที่เป็นนักสืบ -- คดีนี้เป็นเรื่องส่วนตัว เมื่อหลานสาวของ ดร.ครอส หายตัวไปในขณะกำลังเรียนที่มหาวิทยาลัยดุ๊ก ดังนั้น ดร.ครอส กับคู่หูเลยต้องเดินทางจากวอชิงตัน ดีซี ไปฟลอริดา เพื่อถามหาความคืบหน้าของคดีค่ะ

พอไปถึง กลายเป็นว่า เรื่องมันใหญ่กว่าที่คิด คือดูเหมือนไม่ใช่แค่ นาโอมิ หลานสาวของ ดร.ครอส เท่านั้นที่หายตัวไป แต่ในพื้นที่นั้น มีเด็กสาวหายตัวไปหลายคน และต่อมามีการพบศพสภาพถูกทารุณของเด็กสาวที่ถูกลักพาตัวไปบางคนในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ทำให้รู้สึกเหมือนว่า ตำรวจกำลังเผชิญกับฆาตกรต่อเนื่องทำสะสมลักพาตัวสาวๆ ไปเก็บเป็นฮาเร็มส่วนตัว

ฆาตกรส่งข้อความถึงตำรวจ และเรียกตัวเองว่า "คาสสาโนวา"

หนึ่งในเหยื่อที่ฆาตกรสตอร์คเกอร์ตามติด และหมายหัวจะลักพาตัวคือ ดร.เคต เป็นแพทย์ฝึกหัด -- เธอถูกลักพาตัวในที่สุด ถูกทรมาน แต่แข็งแกร่งจนหนีออกมาได้ในสภาพยับเยิน แต่ก็สู้จนกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง และร่วมกับ ดร.ครอส ช่วยกันหาตัวคนร้าย

ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของประเทศ ที่นอร์ธแคโรไลนา ก็มีฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตกำลังอาละวาด มันฆ่าทรมานเด็กผู้หญิง และทิ้งศพไว้ โดยตัดอวัยวะบางส่วนของเหยื่อออกไปเพื่อเก็บเป็นที่ระลึก ฆาตกรรายนี้ส่งจดหมายบรรยายการกระทำของมัน และบังคับให้หนังสือพิมพ์ลงจดหมายที่มันเขียน โดยขู่ว่าไม่อย่างนั้นจะมีเหยื่อรายต่อไป มันเรียกตัวมันเองว่า "เจนเติ้ลแมนคอลเลอร์"

ที่ลุ้นคือ ดร.ครอส จะไขปริศนาได้อย่างไรว่า ฆาตกรทั้งคู่เชื่อมโยงกันได้อย่างไร มันกลายมาเป็นคู่หูกันได้อย่างไร และใครคือฆาตกรทั้งสองรายนี้ -- ใบ้ว่า จากคำให้การของ ดร.เคต เธอคิดว่า ฆาตกรที่จับเธอไปนั้น ร่างกายแข็งแรงมาก แข็งแกร่งกว่าเธอที่ได้คาราเต้สายดำเสียอีก และดูเหมือนจะมีความรู้ทางการแพทย์ เพราะเธอโดนฉีดยาหลายขนาน ทำให้เห็นภาพหลอน ทำให้อ่อนแอ ซึ่งยาพวกนี้ คนฉีดจะต้องมีความรู้ทางการแพทย์จึงจะสามารถฉีดให้ในปริมาณที่เหมาะสมได้ ไม่งั้นจะเป็นการฆ่าเหยื่อไปเสีย



Saturday, October 28, 2023

ฆาตกรบ้านพักคนตาย

 


หนังสือชื่อ  :  ฆาตกรบ้านพักคนตาย

ผู้เขียน  :  อิมามุระ มาชาฮิโระ

ผู้แปล  :  Kantie JK Takahashi

สำนักพิมพ์  :  ไดฟุกุ ครีเอเตอร์


เป็นนิยายที่ให้อารมณ์เหมือนอ่านโคนันฉบับนิยายค่ะ เป็นนิยายสืบสวนแฟนตาซี เรื่องเกี่ยวกับซอมบี้ + ฆาตกรรมในห้องปิดตาย

เรื่องเล่าในมุมของ ฮามุระ ยูซุรุ ที่เป็นสมาชิกชมรมคนรักเรื่องลึกลับ ที่ได้ตามลูกพี่ และเคนซากิ ฮิรุโกะ ไปเข้าค่ายพักร้อนร่วมกับสมาชิกในชมรมวิจัยภาพยนตร์ 

เบ็ดเสร็จคือมีนักศึกษามาร่วมค่ายพักร้อนครั้งนี้สิบคน มีรุ่นพี่สามคน (หนึ่งในรุ่นพี่เป็นเจ้าของบ้านพักต่างอากาศแห่งนี้) และก็มีคุณคันโนะ ที่เป็นคนดูแลสถานที่อีกคน รวมตัวละครทั้งหมด 14 คนค่ะ

ทั้งหมดพักอยู่ในบ้านพักตากอากาศติดทะเลสาบ ไม่ไกลจากที่พัก มีการจัดงานคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ และก็เกิดเหตุขึ้น มีคนเอาเชื้อซอมบี้มาปล่อย ทำให้ทุกคนในงานคอนเสิร์ตกลายเป็นซอมบี้ อาละวาดไปทั่ว 

ซีนแรกคือ ทุกคนต้องหนีซอมบี้ ก็ตายไปส่วนหนึ่ง -- เหลือรอดมาสิบคน 

ทุกคนจึงต้องขังตัวอยู่แต่ในบ้านพักบนชั้นสองและชั้นสาม ในขณะที่ชั้นหนึ่งมีฝูงซอมบี้เฝ้าอยู่ -- อินเตอรเ์น็ตโดนตัด โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ไม่มีสัญญาณ แม้กระทั่งโทรศัพท์บ้านก็โดนตัด ทำให้ทุกคนในบ้านไม่สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากภายนอกได้ แต่น้ำประปา ไฟฟ้ายังคงใช้ได้ตามปกติ คนในบ้านยังสามารถรับรู้ข่าวสารโลกภายนอกได้จากทางโทรทัศน์ 

ขณะที่กำลังระทึกขวัญกับการเอาตัวให้รอดจากฝูงซอมบี้อยู่นั้น ก็เกิดการฆาตกรรมขึ้น เห็นได้ชัดว่า ฆาตกรคือใครสักคนในบ้านหลังนั้น 

ฮามุระ กับเคนซากิ ก็เลยต้องช่วยกันสืบสวนหาคนร้าย ซึ่งดูเหมือนเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับจดหมายขู่ และเหตุการณ์เลวร้ายบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว 

---

คืออยากจะบ่นว่า ตัวละครเยอะเกินไป แถมเป็นชื่อภาษาญี่ปุ่นด้วย จำยาก คนญี่ปุ่นก็สุภาพ บางครั้งก็เรียกด้วยชื่อ บางครั้งก็เรียกด้วยนามสกุล ทำให้สับสนว่าคือใคร 

เนื่องด้วยตัวละครเยอะจัด ทำให้ยากที่จะคุมให้ทุกคนมีบทบาทเท่ากันในซีนๆ หนึ่ง เช่น ตอนที่ทั้งคณะยกกองกันไปถ่ายทำภาพยนตร์สั้นในตึกร้าง นางเอก-เคนซากิ ฮิรุโกะก็ไปกับเขาด้วย แต่ในบทนั้นไม่กล่าวถึงเธอเลย ไม่เล่าด้วยว่าเธอทำหน้าที่ช่วยอะไรในกอง หรือแม้กระทั่งตอนที่พระเอกเถียงกันกับสมาชิกในกลุ่มเรื่องบันทึกที่เจอในตึกร้าง นางเอกก็หายไปจากฉากโดยสมบูรณ์ ไม่มีเขียนถึงเลย 

แรงจูงใจในการฆาตกรรมก็บิดเบี้ยวเกินไป คือแก้แค้นในรุ่นพี่ ...แต่คือรุ่นพี่ไง ถึงรักผูกพันก็เถอะ แต่ก็เป็นแค่รุ่นพี่นะ แก้แค้นถึงขั้นฆาตกรรมต่อเนื่อง มันดูจะสุดโด่งเกินไป ส่วนตัวแล้วมองว่าแรงจูงใจไม่เข้มพอ ที่มาของนางเอกเคนซากิ ฮิรุโกะก็คลุมเครือ รู้แค่ว่าเป็นลูกคนรวย แต่มีความซวยแบบโคนัน คือชะตาดึงดูดเหตุฆาตกรรม ไปไหนก็ต้องมีใครตาย แต่หนังสือไม่ได้อธิบายว่าทำไมจึงเป็นแบบนั้น บุคลิกของนางเอกก็ไม่โดดเด่นชัดเจน 

สรุปคืออ่านได้สนุกๆ ค่ะ อารมณ์เหมือนอ่านโคนันภาคนิยายน่ะค่ะ

Friday, October 27, 2023

กาลิเลโอไขคดีสืบวิญญาณ

 


หนังสือชื่อ  :  กาลิเลโอไขคดีสืบวิญญาณ

ผู้แต่ง  :  ฮิงาชิโนะ เคโงะ

ผู้แปล  :  วงศ์สิริ สังขวาสี มิยาจิ

สำนักพิมพ์  :  ไดฟุกุ-ครีเอเตอร์


สนุกค่ะ เป็นเรื่องสั้น ในเล่มมีทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน เป็นการสืบหาความจริงของอาจารย์ยุกาว่า มานาบุ (หรือฉายากาลิเลโอ) กับเพื่อนคุณตำรวจคุซานางิ ชุนเป ที่หาคดีมาให้อาจารย์กาลิเลโอของเราต้องไขปริศนา ในเล่มนี้จะเป็นคดีที่ดูเผินเหมือนมีเรื่องลึกลับ มีผีเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เมื่อนักฟิสิกส์อย่างกาลิเลโอเข้าร่วมไขปริศนา ทุกอย่างก็มีคำอธิบายที่เชื่อถือได้

คดีที่ 1 - ฝันเห็น

เรื่องเริ่มจากตำรวจจับสตอล์คเกอร์ที่บุกรุกเข้าห้องนอนของเด็กผู้หญิงอายุ 17 ปีได้ ที่เหลือเชื่อคือสตอล์คเกอร์คนนั้นเชื่อว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ ชื่อนี้ นามสกุลนี้ เป็นเนื้อคู่ของเขา และเขาพูดและเขียนเรื่องนี้มาตลอดมากกว่า 18 ปี คือแบบก่อนที่เด็กผู้หญิงคนนี้จะเกิดเสียอีกค่ะ -- ชื่อและนามสกุลของเด็กผู้หญิงไม่ใช่ชื่อโหล่ๆ นะคะ คือเรียกว่าไม่มีคนญี่ปุ่นตั้งชื่อแบบนี้ซ้ำแน่ๆ ...ดังนั้นปริศนาคือ เจ้าสตอล์คเกอร์โรคจิตนี้รู้จักชื่อน้องผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร ก่อนที่เธอจะเกิดเสียอีก โดยที่เขาไม่รู้จักพ่อ-แม่ของเด็กผู้หญิงคนนี้เลย

คดีที่ 2 - เห็นวิญญาณ

เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งเห็นแฟนตัวเองมาปรากฎที่บ้าน ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอถูกพบเสียชีวิตในห้องของตนเอง -- ดูเผินๆ เหมือนวิญญาณมาหาเนอะ แต่จริงๆ แล้วมีความซับซ้อนกว่านั้นค่ะ

คดีที่ 3 - เฮี้ยน

คุณตำรวจคุซานางิ ชุนเปได้รับการขอร้องจากภรรยาให้ช่วยตามหาสามีที่หายไปค่ะ เธอคาดว่าสามีจะแวะไปเยี่ยมคุณป้าที่เคารพนับถือกัน แต่พอจะไปถามคุณป้า ก็พบว่าคุณป้าเสียชีวิตไปแล้ว และบ้านนั้นก็มีคนที่อ้างว่าเป็นหลานคุณป้า กับเพื่อนมาอาศัยอยู่แทน ซึ่งถามอะไรก็ไม่รู้ไม่เห็น แถมพวกเขายังทำตัวแปลกๆ น่าสงสัยอีกด้วย -- ทำให้ภรรยาที่ร้อนใจปักใจเชื่อว่าสามีของตนเองจะถูกขังอยู่ในบ้านหลังนั้นค่ะ 

คดีที่ 4 - รัดคอ

เจ้าของโรงงานที่กำลังประสบวิกฤติเศรษฐกิจบอกกับเพื่อนร่วมงานและภรรยาว่า มีนัดรับเงินจากคนรู้จักที่จะเอาเงินมาใช้หนี้ ... แต่กลับพบเป็นศพ ถูกฆ่ารัดคอ ...ดูเหมือนถูกฆาตกรรมค่ะ แต่กลายเป็นมีเงื่อนงำบางอย่างที่แปลก ลูกผู้ตายมีลางสังหรณ์แปลกๆ และบอกตำรวจว่าเห็นพ่อกับลูกไฟในคืนก่อนเสียชีวิต รวมถึงมูลเหตุที่ก่อนตาย ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมไว้เป็นมูลค่ามหาศาลอีก ทำให้ตำรวจต้องทำคดีนี้อย่างรอบคอบ

คดีที่ 5 - หยั่งรู้

ส่วนตัว เราชอบคดีนี้ที่สุดในเล่มค่ะ -- เมื่อชายคนหนึ่งมีชู้ และชู้พยายามกดดันให้เลิกกับเมียและมาหาเธอ โดยขู่ว่าเธอจะฆ่าตัวตายให้ดูต่อหน้า ... ซึ่งเธอก็ทำจริง และก็ตายจริงด้วย ที่น่าแปลกใจคือ สามวันก่อนหน้าวันตายของเธอ เด็กหญิงเพื่อนบ้านได้เห็นเธอผูกคอและเล่าให้แม่ฟัง ... ความจริงคืออะไร เด็กหญิงมีญาณหยั่งรู้ หรือว่านี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตายแต่เป็นเพียงการขู่ แต่พลาด แล้วพลาดได้อย่างไร



Monday, October 23, 2023

เริ่มให้ได้ แล้วมันจะง่ายกว่าที่คิด

 


หนังสือชื่อ  :  เริ่มให้ได้แล้วมันจะง่ายกว่าที่คิด

ผู้แต่ง  :  โทโยคาซึ สึรุตะ

ผู้แปล  :  ณิชยา รักเกียรติงาม

สำนักพิมพ์  :  อมรินทร์ฮาวทู อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง


ซื้อมาดองไว้หลายเดือนเลยค่ะ กว่าจะได้ "เริ่ม" หยิบมาอ่าน แต่อ่านแล้วดีค่ะ มีหลายครั้งหลายหัวข้อที่อ่านไปก็เผลอพยักหน้าเห็นด้วยกับผู้เขียน

เป็นหนังสือ How-to เหมาะสำหรับคนที่มีไอเดียหลายอย่างบรรเจิดมากมาย แต่ไม่มีอันไหนได้ลงมือทำเป็นจริงเป็นจังสักที ดีแต่คิด แต่ไม่ได้ทำ ... ในหนังสือบอกว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรา "คิดว่ามันยุ่งยาก"​ ค่ะ พอคิดว่ามันยุ่งยาก หลายเรื่อง ก็เลยพลอยไม่อยากเริ่ม ไม่อยากหางานเพิ่มให้ตัวเองน่ะค่ะ 

ในหนังสือบอกว่า คนเราคิดเยอะเกินไปค่ะ ว่ากันว่าแต่ละวันคนเรามีเรื่องต่างๆ ให้คิดถึงตั้งหลายหมื่นเรื่องต่อวัน (ประเภทคิดเรื่อยๆ คิดโน่นคิดนี่น่ะค่ะ) และส่วนใหญ่ที่คิดก็เป็นความคิดซ้ำๆ เดิมๆ ที่เคยคิดแบบนั้นมาก่อนหน้านี้ (เช่น วันนี้จะกินอะไรดี ไปไหนดี ออกกำลังกายดีไหม ฯลฯ) และส่วนใหญ่ก็เป็นความคิดในเชิงลบด้วยค่ะ แทบทั้งหมดเป็นความคิดในความกังวลต่ออนาคต หรือไม่ก็ความเจ็บปวดในอดีต ...​ดังนั้นเนี่ย ถ้าอยากเริ่มทำอะไรสักอย่างขึ้นมา ก็ "อย่าคิดเยอะ" ค่ะ ไม่ต้องคิดว่ามันจะออกมาดีไหม (ถ้ายังไม่เริ่มทำ) หรือคิดว่าต้องวางแผนดีๆ ต้องทำให้ออกมาสวยตั้งแต่แรกเลย ... ไม่ต้องคิดเลยค่ะ ลุยไปก่อน อย่างอื่นเดี๋ยวจะตามมาเอง

หนังสือบอกว่า ถ้าเรามีไอเดียที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนที่เป็นความหลงใหลของเรา หรือเป็น passion ของเรา เราจะเริ่มมันง่ายมากขึ้น คือเพราะเราชอบ เราหลงใหลในสิ่งนั้น ดังนั้นเราจะกระโจนทำมันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นถ้าเราหา passion ของเราเจอ การเริ่มต้นทำในสิ่งที่เราหลงใหลก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ

หนังสือเขียนถึงการพยายามปรับตัวอยู่ร่วมกับคนที่เราไม่ชอบ เพราะบางครั้งเราไม่อยากเริ่มทำอะไร ก็เพราะคิดว่า การติดต่อกับผู้คน (หรือกับคนบางคน) เป็นเรื่องยุ่งยาก 

บางครั้งเรารู้สึกไม่มีความสุข หรือไม่พร้อมที่จะเริ่มทำสิ่งใดๆ ก็เพราะเรามัวแต่ตำหนิตัวเองอยู่ค่ะ บางคนเคร่งครัดกับตัวเองมากเกินไป จนไม่อยากเริ่มทำอะไร เพราะถ้าทำผิดพลาดขึ้นมาก็จะโทษตัวเอง รู้สึกแย่กับตัวเอง ดังนั้นจึงไม่กล้าเริ่มทำอะไร ...ทางแก้คือ ปล่อยวางเลยบ้าง รักตัวเองบ้าง ยอมรับข้อเสียของตัวเอง และปฏิบัติกับตัวเองเหมือนเป็นคนสำคัญ ซึ่งหลายคนมักละเลยตรงนี้ไปค่ะ 


Tuesday, October 17, 2023

How To Kill Your Family

 


หนังสือชื่อ  :  How to kill your family

ผู้เขียน  :  Bella Mackie

สำนักพิมพ์  :  The Borough Press


ตอนแรกดูจากชื่อหนังสือ ก็นึกว่าเป็นคำอุปมาอุปมัยค่ะ แต่พออ่าน พล็อตเรื่องมันคือตรงๆ เลยค่ะ จะฆ่าคนในครอบครัวอย่างไร จริงๆ

ตัวเอกของเรื่องคือ Grace อายุ 28 ปี หนังสือเล่มนี้เขียนบรรยายความคิด ความทรงจำของ Grace ค่ะ หนังสือเริ่มด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ Grace กำลังติดคุกในข้อหาฆาตกรรม ซึ่งที่นางเอกของเราเจ็บใจก็เพราะเป็นการฆาตกรรมที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ฆาตกรรมที่เธอก่อนั้น เธอรอดมาได้ทุกครั้ง ...จากนั้นเธอก็แอบเขียนบันทึกความทรงจำสิ่งที่เธอเคยทำก่อนจะมาติดคุก ณ ตอนนี้ ดังนั้นในหนังสือจึงจะบรรยายภาคปัจจุบัน ชีวิตประจำวันที่เธออยู่ในคุก กับเหตุการณ์ในอดีตตอนที่เธอวางแผนฆาตกรรมสมาชิกในครอบครัวค่ะ

Grace เป็นผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่นค่ะ โตมากับแม่ที่สวยแต่อ่อนแอ แม่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูเธอ และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อเธออายุแค่ 12 ปี ส่วนพ่อนั้น Grace ไม่เคยเจอ และมารู้ภายหลังว่าพ่อคือผู้ชายแก่รวย (มากๆ) แต่เลว ที่หลอกสาวสวยๆ ไร้เดียงสาขึ้นเตียงด้วย แล้วพอผู้หญิงท้อง ก็ทิ้งไม่รับผิดชอบ ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ส่งเสียอะไรสักอย่าง เพราะพ่อมีเมียและลูกตามกฎหมายอยู่แล้วน่ะค่ะ ครอบครัวของพ่อก็รู้ แต่ทุกคนเฉยเมย ห่วงหน้าตาชื่อเสียงตัวเอง และทำไม่รู้ไม่เห็น ไม่แม้แต่จะช่วยเหลือเมื่อตอนที่แม่ของ Grace เป็นมะเร็งและเสียชีวิต ทิ้งให้ Grace เป็นเด็กกำพร้า

ในหนังสือ Grace เล่าวิธีการ "กำจัด" สมาชิกในครอบครัวทีละคนๆ (อย่างฉลาด และสร้างสรรค์)

จะอ่านและรู้สึกสะใจถ้าเรา "อิน" กับความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่ Grace ได้รับ แต่ถ้าไม่อิน เราจะอ่านไม่สนุกค่ะ หนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะกับคนที่มีค่านิยมเรื่องความกตัญญูแบบสุดโต่งค่ะ -- แต่สำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ใหญ่ในครอบครัว หนังสือเล่มนี้เหมาะจะอ่านเพื่อระบายความสะใจค่ะ (สารภาพในใจเลย เวลาที่รู้สึกอึดอัดจากสิ่งที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวกระทำ วูบหนึ่งของใจบาปๆ คิดด้วยซ้ำว่า ถ้าไม่มีเขา ชีวิตเราคงจะดีกว่านี้) 

พล็อตเรื่องสนุก และหักมุมไปมา เขียนในแนวตลกร้าย เสียดสี ประชดประชันน่ะค่ะ ดังนั้นอ่านด้วยความบันเทิงค่ะ เป็นนิยายตลกร้ายแบบอังกฤษค่ะ ไม่ใช่นิยายฆาตกรรมสืบสวนหนักๆ ถึงแม้ว่าตัวเอกในเรื่องฆาตกรรมคนในครอบครัวตัวเองก็เถอะ

Sunday, October 8, 2023

แปดขุนเขา

 


หนังสือชื่อ  :  แปดขุนเขา

ผู้แต่ง  :  Paolo Cognetti

ผู้แปล :  นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ

สำนักพิมพ์  :  อ่านอิตาลี


เคยอ่านหนังสือเล่มไหนที่ถึงแม้จะอ่านจบไปแล้ว แต่จิตใจยังมูฟออนไปจากเรื่องราวในหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ไหมคะ.... สำหรับเราแล้ว "แปดขุนเขา" คือหนังสือเล่มนั้นค่ะ

ถ้าพูดถึงเนื้อเรื่อง แปดขุนเขาเป็นเรื่องความผูกพันธ์ของเพื่อนสองคนที่รู้จักกันมาทั้งชีวิต คือเป็นเรื่องธรรมดาทั่วๆ ไป เป็นชีวิตปกติของคนธรรมดาจริงๆ เนื้อหาเป็นลักษณะของการบรรยาย ดังนั้นตัวอักษรจึงติดกันเป็นพืด ไม่ค่อยมีบทสนทนาของตัวละครค่ะ เพราะเขียนเล่าจากความทรงจำของตัวเอกของเรื่อง .... แต่เพราะความธรรมดานี้เองทำให้สัมผัสถึงเนื้อเรื่อง ทำให้รู้สึกเชื่อมโยงเนื้อเรื่องในหนังสือเข้ากับชีวิตส่วนตัวของเราคนอ่าน

ตัวเอกของเรื่อง ผู้ถ่ายทอดความคิดคือ "ปิเอโตร" เขาเล่าถึงความทรงจำที่เขามีต่อพ่อและแม่ เขาเติบโตมาในครอบครัวที่รักการปีนเขา แต่แต่ละคนก็มีระดับความสูงที่ตนเองพอใจ ระดับความสูงที่แม่รู้สึกสบายใจที่จะปีนอยู่ที่ระดับหนึ่งพันฟุต ตรงนั้นมีทุ่งหญ้า มีลำธาร ต้นไม้ แม่ชอบที่จะนั่งปิกนิค อ่านหนังสือ ...ในขณะที่พ่อกลับตรงกันข้าม พ่อเป็นพวกวิ่งตามความฝัน มีเป้าหมาย และวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อให้ถึงจุดหมาย โดยไม่สนใจใยดีดอกไม้ข้างทาง พ่อมักจะปีนเขาให้ถึงจุดยอดในเวลาที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อถึงยอดเขา แทนที่พ่อจะดีใจ พ่อกลับเบื่อ และกลับบ้าน รอคอยวันที่จะปีนยอดเขาใหม่อีกครั้ง

แม่กับพ่อของปิเอโตรเช่าบ้านที่หมู่บ้านกรานาในทุกหน้าร้อน พ่อกับปิเอโตรก็ปีนเขาไป ส่วนแม่ก็ชิลกับชีวิต กับธรรมชาติ

ที่หมู่บ้านกรานา ปิเอโตรได้เป็นเพื่อนกับ "บรูโน" บรูโนเป็นเด็กเลี้ยงวัว อาศัยอยู่กับแม่ ลุง และป้า แม่ของปิเอโตรเป็นผู้หญิงใจดี เป็นนักสังคมสงเคราะห์ เธอช่วยพูดให้บรูโนได้เรียนต่อแบบเรียนทางไกล ...สำหรับบรูโนแล้ว พ่อกับแม่ของปิเอโตรเหมือนพ่อและแม่ในฝันของเขา ส่วนปิเอโตรก็เป็นเหมือนทั้งเพื่อนและน้องชาย

ชีวิตดำเนินไปเรื่อยๆ ปิเอโตรทะเลาะกับพ่อ และปฏิเสธที่จะปีนเขา ไม่ชอบปีนเขา ชอบปีนหน้าผามากกว่า พ่อก็เลยต้องปีนเขาลำพัง 

ชีวิตดำเนินไปเรื่อยๆ ปิเอโตรท่องโลกไปเรื่อยๆ ทำสารคดี ยังคงหมางเมินกับพ่อ ติดต่อกับครอบครัวด้วยวิธีเขียนจดหมายหาแม่...จนพ่อเสียชีวิต พินัยกรรมพ่อยกบ้านบนหน้าผาหลังหนึ่งที่หมู่บ้านกรานาให้แก่ปิเอโตร ซึ่งเรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่เขามาก เพราะไม่รู้มาก่อนว่าพ่อแอบซื้อบ้านที่หมู่บ้านนั้น ...ด้วยความอยากรู้ เขาก็เลยกลับไปดูบ้าน

บรูโนตอนนี้ทำงานเป็นช่างก่อสร้าง และยังคงอยู่ที่หมู่บ้านกรานา ไม่ไปไหนเลย ...มิตรภาพแบบหลุดๆ หายๆ ของทั้งคู่ก็ต่อกันติดไม่ยาก ทั้งคู่ช่วยสร้างบ้านบนหน้าผา...ดูเหมือนบรูโนจะใกล้ชิดกับพ่อของปิเอโตรมากกว่าลูกชายแท้ๆ เพราะทั้งคู่ปีนเขาด้วยกันเสมอๆ

แปดขุนเขาคือเรื่องเล่าที่ปิเอโตรได้ยินเมื่อตอนไปถ่ายทำสารคดีที่เนปาลค่ะ ชายลูกหาบชาวธิเบตเล่าให้ฟังว่า มีแปดขุนเขา และแปดมหาสมุทรล้อมรอบเขาพระสุเมรุที่เป็นเขาที่สูงที่สุด และมีคนอยู่สองประเภท ประเภทหนึ่งท่องไปทั่วทั้งแปดขุนเขา ในขณะที่อีกประเภท มุ่งมั่นแต่ที่จะพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดคือเขาพระสุเมรุเท่านั้น คำถามคือใครได้เรียนรู้มากกว่ากัน ระหว่างคนที่ท่องไปทั่วแปดขุนเขา หรือคนที่พิชิตเขาพระสุเมรุ

ถ้าเปรียบไปแล้ว ชีวิตบรูโนก็เหมือนคนที่อยู่บนเขาพระสุเมรุ เขาไม่เคยไปไหนนอกจากกรานาเลย ในขณะที่ชีวิตของปิเอโตรคือคนที่ท่องไปทั้งแปดขุนเขา 

ชีวิตดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่ได้สวยหรู สำหรับบรูโน มีช่วงที่งดงามคือเขาพบรัก กู้เงินมาทำฟาร์มเลี้ยงวัว มีลูกสาว ....แต่จากนั้นฤดูหนาวก็เข้ามา ฟาร์มกิจการไม่ดี ภรรยาของบรูโนจากลงจากภูเขามางานทำในเมือง อีกอย่างลูกต้องเข้าโรงเรียน แต่บรูโนไม่ยอม ทั้งคู่เลยเลิกกัน ฟาร์มประกาศล้มละลาย บรูโนสูญเสียทุกอย่าง แต่ก็ไม่ยอมลงจากภูเขา และพักอยู่ที่บ้านบนหน้าผาหลังที่ทั้งบรูโนและปิเอโตรช่วยกันสร้าง

ส่วนปิเอโตรทำงานอาสาสมัครที่เนปาล เหมือนเขายึดภูเขาหิมาลัยเป็นบ้าน และยังไม่มีครอบครัว เหมือนชีวิตที่ไม่ต้องการผูกพันหรือมีพันธะกับอะไร...เมื่อได้ยินข่าวมรสุมชีวิตของบรูโน ก็กลับมาช่วยกล่อมบรูโน แต่ไม่สำเร็จ บรูโนยังคงยืนยันที่จะอยู่ที่บ้านหน้าผาบนภูเขาต่อไป

ต่อมาหิมะถล่ม บรูโนหายไป แม้กู้ภัยจะตามหาแต่ไม่เจอร่าง แต่ก็คาดว่าจะเสียชีวิต

....ในชีวิตคนเรา บางคนมีภูเขาที่เราไม่สามารถกลับไปได้อีก คนที่ท่องไปทั่วทั้งแปดขุนเขา เหมือนอย่างปิเอโตรหรือพ่อของปิเอโตร (หรือเราเอง) ก็คือคนที่สูญเสียเพื่อนบนภูเขาแห่งแรกที่สูงที่สุด เราจึงได้แต่ท่องไปบนแปดขุนเขา

Wednesday, October 4, 2023

Waiting

 


หนังสือชื่อ  :  Waiting

ผู้เขียน  :  Blake Pierce

สำนักพิมพ์  :  Blakepierceauthor.com


สนุกมากค่ะ อ่านเสียงานเสียการ ตอนแรกตั้งใจว่าจะค่อยๆ อ่าน อ่านวันละ 2-3 บท ทำไปทำมา ติดใจ วางไม่ลง อ่านจบภายใน 2-3 วันซะงั้น

จริงๆ เล่มนี้เป็นเล่มที่สอง ของซีรี่ย์นักจิตวิทยา Riley Sweency ค่ะ แต่ถึงเริ่มอ่านจากเล่มที่สองก็ไม่งงนะคะ แต่มีบางช่วงที่นางเอกคิดถึงความหลัง ก็จะสปอยด์เนื้อเรื่องในเล่มที่หนึ่ง ทำให้ถ้ากลับไปอ่านเล่มหนึ่งทีหลัง มันจะเสียอรรถรสน่ะค่ะ

Riley เป็นนักจิตวิทยาจบใหม่ค่ะ ในเล่มที่หนึ่งมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยที่เธอเรียน ทำให้เธอฉายแสงความสามารถพิเศษในการ "รู้ใจ" ฆาตการต่อเนื่อง ให้แก่ตำรวจ FBI  Jake Crivaro ประทับใจ ดังนั้นพอเธอเรียนจบ Crivaro ก็ใช้เส้น ส่งเธอเขาอบรมเป็นนักศึกษาฝึกงานที่สำนักงานใหญ่ของ FBI ที่วอชิงตัน ดี.ซี.

ปัญหาคือ Crivaro ใช้เส้น และงัดข้อกับเพื่อนร่วมงานเพื่อให้เธอมีที่นั่งในชั้นเรียน FBI ใช้ซะจนเขาชักเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาอวยเธอเกินจริงหรือไม่ ดังนั้นในเล่มนี้ Crivaro ก็จะอารมณ์ผีเข้าผีออกกับ Riley ค่ะ 

ก่อนเธอจะเริ่มอบรม ดันมีฆาตกรรมต่อเนื่องเกิดขึ้น ศพที่พบเป็นผู้หญิงถูกแต่งตัว แต่งหน้าด้วยชุดตัวตลก (Clown) Crivaro พา Riley ลงลุยที่ก่อเหตุ ในขณะที่นักศึกษาฝึกงานคนอื่นๆ นั่งเรียน Riley กลับต้องนั่งรถตำรวจตามไปดูที่เกิดเหตุ สอบสวนผู้ต้องสงสัย ฯลฯ

Riley ได้โชว์ความอัจฉริยะของเธอค่ะ ความสามารถในการ "รู้ใจ" ฆาตกร รู้ว่าฆาตกรเฝ้ามองเหยื่อจากตรงไหน เหยื่อถูกลักพาตัวไปเมื่อไร และมีเซ้นต์รู้ว่ากลอนที่ส่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เป็นกลอนที่เขียนโดยฆาตกร

ในขณะที่ Riley ต้องพิสูจน์ตัวเองในการเป็นนักศึกษาฝึกงานของ FBI ชีวิตส่วนตัวของเธอก็กำลังเริ่มต้น เธอกำลังตั้งท้องอ่อนๆ (แต่ Riley ไม่บอกใคร ไม่มีใครรู้ยกเว้นพ่อของเด็ก) Ryan แฟนของเธอก็กำลังเริ่มงานใหม่เป็นทนาย และขอ Riley แต่งงาน ส่วน Riley พอมีเรื่องคดีเข้ามา ทำให้เธอไม่มีสมาธิกับเรื่องโรแมนติก 

หนังสือดำเนินเรื่องเร็ว ใช้ภาษาที่กระจ่าง อธิบายเห็นภาพตาม อ่านแล้วจินตนาการเหมือนกำลังดูซีรี่ย์นักสืบดีๆ เรื่องหนึ่งเลยค่ะ  เรื่องดราม่าส่วนตัวก็ไม่เยอะมาก มีพอให้รู้จัก Riley มากขึ้น ไม่ได้เยอะจนเนื้อเรื่องหลักเรื่องการสืบสวนหาคนร้ายเสียไป ...จะมีขัดใจก็ตรง ตามหาเบาะแสฆาตกรมาเกือบจบเล่ม พอบทจะรู้ว่าฆาตกรเป็นใคร ก็รู้ง่ายๆ เลย ซะงั้น

บันทึกชื่อ Blake Pierce ให้เป็นนักเขียนในดวงใจอีกคนเรียบร้อยค่ะ คิดว่าคงจะหาหนังสือของเขาเล่มต่อไปมาอ่านอีกแน่ๆ ค่ะ

Friday, September 22, 2023

Such A Fun Age

 


หนังสือชื่อ  :  Such a fun age

ผู้แต่ง  :  Kiley Reid

สำนักพิมพ์  : Boomsbury Publishing


เป็นหนังสือที่เขียนได้สมจริง เหมือนชีวิตของเราทั่วไปเลยค่ะ ตัวละครในหนังสือคือคนปกติ มีดีมีเลว บางอย่างที่ทำไปก็ด้วยเจตนาดี หรืออาจด้วยความเห็นแก่ตัว (แต่ไม่อาจยอมรับกับตัวเองได้) อ่านแล้วบางช่วงบางตอนก็สะท้อนถึงความคิดของตัวเองด้วยซ้ำไปค่ะ

เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 2015 - 2016 ตอนนั้น ฮิลลารี คลินตันกำลังลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ค่ะ เรื่องราวเกิดขึ้นที่ฟิลาเดลเฟีย 

ตัวเอกของเรื่องคือ Emira เป็นผู้หญิงผิวดำ (เรื่องสีผิวเป็นส่วนประกอบสำคัญของนิยายเรื่องนี้ค่ะ) Emira อายุ 25 เรียนจบแล้ว แต่ยังหาพลังชีวิตไม่เจอว่าจะทำงานอะไร สาขาที่เธอเรียนจบมา พอมาทำงานจริงๆ เธอก็ไม่ชอบ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงรับงานพาร์ทไทม์ทำเรื่อยๆ เพื่อหาเงินค่าใช้จ่ายไปก่อนค่ะ 

งานพาร์ทไทม์อันหนึ่งที่เป็นรายได้หลักของเธอตอนนี้คือ การเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้แก่ Briar หนูน้อยอายุ 3 ขวบ ลูกของ Alix Chamberlain นักเขียน นักกิจกรรมที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง

ความสัมพันธ์ระหว่าง Emira กับ Alix นั้น แทบเป็นคนแปลกหน้าต่อกันด้วยซ้ำไปค่ะ Emira แทบไม่ได้พูดคุยอะไรกับ Alix บ่อยหนัก ส่วนเหตุผลที่ Alix ต้องรับพี่เลี้ยงมาช่วยเพราะ Briar มีน้องสาวตัวเล็กอีกคนที่แม่ต้องดู แถม Briar เป็นเด็กช่างพูด แม่เลยรับศึกไม่ไหว ประกอบกับ Alix เองก็ต้องทำงานด้วย เลยจำต้องจ้างพี่เลี้ยงมาช่วย

...จนกระทั่งคืนหนึ่ง Emira ถูก Alix โทรตามด่วน ขณะกำลังอยู่ในปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนสนิท Alix ขอให้ Emira พา Briar ออกไปเดินเล่นในซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้าน เพราะบ้าน Alix เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น และต้องเรียกตำรวจ เธอจึงไม่อยากให้เด็กน้อยต้องมารับรู้เรื่องนี้ เลยโทรขอให้พี่เลี้ยงช่วยเป็นการเฉพาะ

Emira พา Briar ไปเดินเล่นในซุปเปอร์ฯ แต่กลายเป็นว่า โดน รปภ. ของห้างเข้าใจผิดว่าเธอกำลังลักพาตัวเด็ก (นึกภาพผู้หญิงผิวดำ แต่งตัวเปรี้ยวจี้ด กำลังอุ้มเด็กเล็กผิวขาว ในเวลาเกือบเที่ยงคืนดูสิคะ รปภ. ก็เป็นห่วงสิ) -- ก็เลยเกิดการต่อล้อต่อเถียงกันขึ้น จบด้วยการที่ Emira โทรเรียกพ่อของ Briar ให้มารับตัวลูกตัวเองกลับ -- เหตุการณ์ทั้งหมดถูก Kelley บันทึกถ่ายวิดีโอไว้ -- Kelley มาจีบ Emira และบอกว่าเขาบันทึกวิดีโอเรื่องทั้งหมดไว้ ถ้าเธอต้องการฟ้องร้องห้าง ก็ใช้เป็นหลักฐานได้ แต่ Emira ปฏิเสธและขอให้ Kelley ลบวิดีโอทิ้ง

หลังจากเหตุการณ์นี้ Alix ก็ให้ความสนใจกับ Emira มากขึ้น ใส่ใจ ห่วงใย ชวนคุย (Alix ไม่ได้เห็นวิดีโอนะคะ แต่อารมณ์อาจจะรู้สึกผิดที่ทำให้ Emira ต้องเจอเรื่องแย่ๆ)

รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Kelley กับ Emira ก็พัฒนาขึ้น จนเป็นแฟนกัน

ทฤษฎีโลกกลมใช้ได้กับนิยายเรื่องนี้ เมื่อต่อมาพบว่า Kelley กับ Alix เคยเป็นแฟนกันมาก่อน! สมัยมัธยมค่ะ แล้วเลิกกันไม่ดี ไม่ดีมากๆ Alix โทษว่า Kelley ทำให้ชีวิตไฮสคูลของเธอเลวร้าย กลายเป็นช่วงเวลาไม่น่าจดจำ ในขณะที่ Kelley โทษว่า Alix ทำให้เพื่อนของเขาโดนจับ ติดประวัติ และพลาดทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย

ดังนั้น Emira เลยกลายมาอยู่ตรงกลางระหว่างสองแฟนเก่า ทั้งคู่พยายามให้ Emira ตีตัวออกห่างจากอีกคนด้วยเรื่องการเหยียดผิว Alix บอกว่า Kelley ออกเดตแต่กับคนผิวดำ คบแต่กับคนผิวดำ (อารมณ์เหมือนคนขาว ต้องการทำตัวเป็นนักบุญ) ในขณะที่ Kelley ก็บอกว่า Alix จ้างแต่แม่บ้านผิวดำ ให้แม่บ้านใส่ยูนิฟอร์ม (อารมณ์เหมือนเจ้านายคนขาว ปฏิบัติต่อทาสผิวดำ) 

ทั้งหมดเป็นเรื่องความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ค่ะ อาจไม่ใช่เรื่องที่เกิดกับสีผิว แต่เป็นเรื่องอื่นๆ เนื่องจากทัศนคติที่ไม่ตรงกัน นิสัยไม่เหมือนกัน 

Alix มีนิสัยคุณนาย เจ้ายศเจ้าอย่าง เจ้าระเบียบ ทะเยอทะยาน และห่วงกับภาพลักษณ์ ในขณะที่ Emira ก็ไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่รู้ตัวเองชอบอะไร เรื่อยๆ แต่เป็นคนใจดี -- Alix ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ก็ไม่สามารถบอกเต็มปากได้ว่าเธอมีเจตนาดี เราว่า Alix เหมือนนักการเมืองน่ะค่ะ คือเธอทำสิ่งที่เห็นว่าเธอจะได้ประโยชน์ และคนที่เธอแคร์ก็ได้รับประโยชน์ (แต่เธอไม่เคยถามว่าเขาต้องการสิ่งนั้นหรือเปล่า) .... เรื่องเศร้าคือสิ่งแย่ๆ ที่เธอเคยได้รับตอนเป็นเด็ก เช่น การละเลยจากพ่อแม่ของเธอ แต่พอเธอมีลูกของตัวเอง เธอก็ทำส่ิงเดียวกันนี้กับ Briar เห็นได้ชัดว่าเธอละเลย Briar เพราะ Briar รับมือยาก ต่างกับลูกสาวคนเล็กอีกคน

นี่ไม่ใช่นิยายรักนะคะ ดังนั้นตอนจบของความสัมพันธ์นี้ ก็จบแบบชีวิตจริงเลยค่ะ 

Wednesday, September 6, 2023

Perfect Remains

 


หนังสือชื่อ  :  Perfect Remains

ผู้แต่ง  :  Helen Fields

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


ถ้ากำลังมองหาอ่านหนังสือแนวสืบสวนไขคดี ที่ไขคดีจริงๆ ไม่มีดราม่าเรื่องส่วนตัวของนักสืบมากนัก เล่มนี้เหมาะเลยค่ะ ...เป็นหนังสือเล่มแรกในชุดของนักสืบ Callanach เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เอดินบะระ ของสก็อตแลนด์ ค่ะ

เดิมทีเนี่ย นักสืบ Callanach ทำงานกับตำรวจสากลที่ฝรั่งเศส แต่มีเรื่องอื้อฉาวบางอย่างเกิดขึ้น (ในหนังสือจะค่อยๆ เฉลยว่าเรื่องอื้อฉาวที่ว่านี้คืออะไร) ทำให้เขาต้องย้ายมาที่สถานีตำรวจที่สก็อตแลนด์แทน เหตุที่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็เนื่องจากเขาเป็นลูกครึ่งสก็อตติช-ฝรั่งเศสค่ะ 

ดังนั้นในเล่ม นอกจากนักสืบ Callanach จะต้องไขคดีแล้ว ก็ยังต้องปรับตัว และพิสูจน์ตัวเองกับเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงานใหม่ด้วยค่ะ 

คดีนี้เป็นคดีลักพาตัว เริ่มจากทนายสาวโสด อนาคตไกล Elaine Buxton ถูกลักพาตัว -- ต่อมาก็มีคนพบศพ ที่คาดว่าเป็น Elaine ถูกเผาเหลือแต่ตอตะโก DNA อะไรเสียหายหมด มีแค่ฟัน กับอาวุธไม้เบสบอลที่ทำให้เชื่อว่า ศพที่ถูกเผานั้นเป็นศพของ Elaine 

....แต่ทว่า ความเป็นจริงแล้ว Elaine ยังไม่ตาย! ฆาตกรต้องให้ฆาตกรรมอำพรางให้ตำรวจเชื่อว่า Elaine ได้ตายไปแล้ว เพื่อให้ตำรวจเลิกตามหาเธอ และเธอจะได้กลายเป็นของเขาคนเดียว!

ได้ตัว Elaine แล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่ฆาตกรก็ยังไม่พอใจ ยังไปจับตัวเหยื่อคนอื่นอีก และทำแบบเดียวกัน

เรื่องนี้ เราคนอ่านไม่มีอะไรต้องสืบค่ะว่าใครคือฆาตกร คนเขียนเล่าตั้งแต่ต้นเลย ที่ลุ้นคือ ตำรวจจะจับทางได้เมื่อไร จะรู้เมื่อไรว่าจริงๆ แล้วเหยื่อที่แท้จริงยังไม่ตาย 

ฆาตกรออกแนวโรคจิต ต้องการเป็นคนสำคัญ ออกแนวโดดเดี่ยว ไม่มีใครรัก เลยอยากเป็นคนสำคัญของใครสักคน (ทำไมไม่เลี้ยงหมาฟ่ะ มาจับคนมาขังทำไมเนี่ย) และต้องเป็นคนที่ฉลาดด้วย ฆาตกรชอบคนฉลาด อยากนั่งถกปรัชญาเรื่องต่างๆ ด้วยกัน แต่คือแบบจีบสาวไม่เป็น เลยต้องลักพาตัว!

สนุกแบบไม่ต้องคิดมากค่ะ อ่านได้เบาๆ 

Sunday, August 20, 2023

The Devil and the Dark Water

 


หนังสือชื่อ  :  The devil and the dark water

ผู้แต่ง  :  Stuart Turton

สำนักพิมพ์  :  Raven Books, Bloomsbury Publishing Plc


เคยอ่าน "The seven deaths of Evelyn Hardcastle" ของผู้แต่งคนนี้มาก่อนค่ะ ติดใจ จึงหยิบเล่มนี้มาอ่าน -- ผลคือ สนุกค่ะ อ่านเสียงานเสียการ อ่านวางไม่ลงเลยทีเดียว

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องย้อนอดีตสมัยฮอลันดารุ่งเรือง เป็นยุคทองของเนเธอร์แลนด์ มีบริษัท VOC ที่ค้าขายทางเรือเดินสมุทร โดยเส้นทางเดินสมุทรที่อันตรายที่สุด คือเส้นทางเดินเรือระหว่างปัตตาเวีย (ปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย) - เนเธอร์แลนด์ มีเรือหลายลำไปไม่ถึงจุดหมายในเส้นทางนี้

พระเอกของเรื่องคือ Arent เป็นทหารรับจ้าง ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้แก่ Sammy Pipps 

Sammy เนี่ย จริงๆ ทำงานเป็นนักสืบ เก่งมาก สืบคดียากๆ ได้หลายคดี เป็นที่ชื่นชม เมื่อสองปีก่อน Sammy ได้รับว่าจ้างให้มารับ Folly ที่ปัตตาเวีย (ซึ่ง Arent ก็ตามมาปัตตาเวียด้วยในฐานะบอดี้การ์ด) -- แต่จู่ๆ Sammy ก็โดนจับ โดยตัว Sammy เองก็ไม่รู้ว่าโทษอะไร คนที่สั่งจับเขา ก็คือ Jan Haan ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตาเวีย แล้ว Jan ก็ยัด Sammy เข้าคุกพาขึ้นเรือ Saardam กลับเนเธอร์แลนด์ด้วยกัน โดยบอกว่า Sammy มีโทษประหารรอเขาอยู่ที่ฮอลแลนด์

ผู้ว่า Jan มีภรรยาชื่อ Sara มีลูกสาวชื่อ Lia และมีเมียน้อยชื่อ Creesjie โดยสารมาด้วยกันทั้งครอบครัวในเรือลำนี้ -- อันนี้ตอนแรกก็จะงงๆ หน่อยค่ะ ที่เมียท่านผู้ว่ากับเมียน้อยกลับเป็นเพื่อนสนิทกัน ไม่มีหึงหวง ...ทั้งนี้ก็เพราะ Sara ไม่ได้รักผู้ว่าเลย ผู้ว่า Jan มีนิสัยใช้ความรุนแรงในครอบครัว เคยซ้อม Sara ปางตายมาสามครั้งแล้ว ดังนั้นใดๆ ที่ทำให้ผู้ว่าหันเหไม่สนใจเธอ ไม่ว่าจะมีเมียน้อยหรืออะไร ถือเป็นเรื่องดีทั้งนั้น 

ต้องปรับอารมณ์ตอนอ่านว่าเป็นนิยายพีเรียด สมัยที่สังคมชายเป็นใหญ่ และผู้หญิงมีหน้าที่เป็นแค่ของประดับของผู้ชายเท่านั้น ดังนั้นต่อให้ Sara และ Lia ฉลาดแค่ไหน ก็ไม่สามารถเสนอหน้าแสดงความคิดเห็นหรือมีบทบาทเท่าผู้ชายได้

การเดินทางไปฮอลแลนด์ครั้งนี้ เริ่มต้นไม่ค่อยดีนัก เพราะระหว่างที่เรือกำลังโหลดของขึ้นอยู่นั้น มีชายขี้เรื้อนปรากฎตัวขึ้นบนเรือ สาปแช่งคนในเรือ และจู่ๆ ก็โดนไฟเผาทั้งเป็น! ... ปริศนาว่าชายคนนั้นขึ้นมาบนเรือได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เขาขาไม่ดี รวมถึงเขาสาปแช่งคนบนเรือได้อย่างไร ในเมื่อลิ้นของชายคนนั้นถูกตัด! ... แต่ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นลางไม่ดีขนาดนี้ แต่ผู้ว่าฯ ก็ไม่ฟังคำทัดทานของใคร ยืนยันที่จะเดินทางตามเดิม

เมื่อเรือแล่นออกจากท่า ปริศนาเรื่องในอดีตก็เริ่มปรากฎขึ้นอย่างช้าๆ ในยุคสมัยที่มีการล่าแม่มด และมีอาชีพตามหาแม่มด ดูเหมือนปีศาจ old Tom ที่เชื่อว่าฆ่าพ่อของ Arent ได้กลับมาอยู่บนเรือ และทิ้งสัญลักษณ์ปีศาจไว้ ให้ผู้คนหวาดระแวง 

หนังสือเล่นกับความโลภของคน ทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองอยากมีอยากได้มากๆ ..คำถามที่ปีศาจ old Tom ถามคือ "คุณจะเอาอะไรมาแลกล่ะ" ทุกความต้องการมีราคาที่ต้องจ่าย ...ในยุคสมัยนั้น ผู้คนเป็นคนดี ไปโบสถ์ ถือศีลเสมอ เพราะกลัวตายไปจะตกนรกค่ะ ผู้คนยังมีความเชื่อในพระเจ้า ในศาสนาอย่างเหนียวแน่น คือพยายามเป็นคนดีย์ เพราะกลัวตกนรก ไม่ได้ "เลือก" ทำดีเพราะเชื่อในความดี 

อ่านเริ่มแรกจะงงๆ ค่ะ เพราะทุกอย่างเต็มไปด้วยปริศนา แต่พอก่อนจะถึงกลางเล่ม จะเริ่มวางไม่ลงแระ เพราะปริศนามันเริ่มคลายเกลียวทีละเปลาะๆ เป็นนักเขียนที่เขียนนิยายอย่างมีชั้นเชิงมากค่ะ 

หนังสือเขียนเหมือนจะเป็นเรื่องแฟนตาซี มีปีศาจ มีแม่มด ซึ่งก็เป็นเพราะคนในยุคสมัยนั้นเชื่อเรื่องพวกนี้ค่ะ แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่นิยายแฟนตาซีนะคะ เป็นนิยายทริลเลอร์ ที่ทักปมมีคำตอบที่อธิบายได้ค่ะ ไม่มีเรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด 

Monday, July 31, 2023

The Shards

 


หนังสือชื่อ  :  The Shards

ผู้แต่ง  :  Bret Easton Ellis

สำนักพิมพ์  :  Swift Press 2023


อ่านจบแล้ว นิยามได้คำเดียวว่า เป็นเล่มที่ "จิต" ค่ะ ... เล่มหนามาก หลายหน้ามาก เขียนแบบบรรยายน้ำท่วมทุ่ง เผินๆ ดูเหมือนบรรยายแบบไร้ประโยชน์ แต่จริงๆ แล้วคือเนื้อเรื่องมันค่อยๆ เข้มขึ้นอย่างช้าๆ (ช้ามาก) แต่กว่าเราจะรู้ตัว เราก็ตกลงไปในหลุมเสียแล้ว

เป็นนิยายทิลเลอร์ค่ะ ผู้เขียนเขียนเหมือนกำลังเล่าประสบการณ์ของตัวเอง สมัยที่ยังอายุ 17 กำลังเรียนมัธยมใหนโรงเรียนเอกชนปีสุดท้าย (ตอนนี้ผู้เขียนอายุ 56 แล้ว)

ในปี 1981 Bret หรือตัวผู้เขียนอายุ 17 ปี เป็นลูกคนรวย อยู่ย่านฮอลลิวูด มีเพื่อนที่สนิทในกลุ่มคือ Susan Reynolds ซึ่งเป็นแฟนกับ Thom Wright และ Dibbie เป็นแฟนกับตัวผู้เขียนเอง -- สรุปคือมี 4 คน สองคู่

Thom กับ Susan เป็นคิงกับควีนของโรงเรียนค่ะ สวย หล่อ เก่งทั้งคู่ เรียกว่าเป็นคู่ที่เพอร์เฟคเหมือนเจ้าหญิงเจ้าชาย Susan เรียนเก่งเป็นหัวหน้าห้อง ในขณะที่ Thom หล่อและเป็นนักกีฬา ส่วน Debbie เป็นลูกของ Terry ผู้กำกับชื่อดังในฮอลลีวูด ในขณะที่ตัว Bret ภาพจำของคนทั่วไป คือเด็กน่ารักที่เป็นเพื่อนสนิทกับคนดัง 

Bret เป็นเกย์ ในปี 1981 ที่การเป็นเกย์ยังไม่ได้รับการยอมรับ ดังนั้น Bret จึงไม่ได้พูดออกมาดังๆ ไม่มีใครรู้ มีแฟนคือ Debbie เป็นผู้หญิง แต่ขณะเดียวกันก็เล่นหูเล่นตากับพ่อของ Debbie! -- ความลับของ Bret นี้มี Susan ที่ระแคะระคายค่ะ แต่ Bret ไม่ยอมรับ ดังนั้น Susan จึงบอกได้แค่ว่า "ความลับของเธอจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับฉัน" -- อารมณ์ขิงว่าฉันรู้จักเธอนะ แต่ฉันจะไม่แฉเธอ

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งการมาถึงของนักเรียนใหม่ คือ Robert Mallory 

Robert เป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดี นิสัยเป็นมิตร สนิทกับเพื่อนๆ ในกลุ่มอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับ Bret แล้วเขารู้สึกว่า Robert มีบางอย่างปิดบังอยู่ และดูจะไม่ใช่เรื่องดี

ตัวละครในเรื่องทุกคนเทาๆ หมดเลยค่ะ ไม่มีใครดีกว่าใคร สะท้อนเห็นถึงวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตขับเคลื่อนด้วยแรงปรารถนา ไม่มีใครมีศีลธรรม ทุกคนเป็นเด็กที่พ่อแม่รวยโครต แต่ไม่มีเวลาให้ลูก คือพ่อแม่ของเด็กพวกนี้ก็ยุ่งแต่เรื่องของตัวเอง ไม่สนใจลูก จึงไม่แปลกที่ลูกเองก็ยุ่งอยู่แต่ความต้องการของตัวเอง โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของคนอื่น หรือศีลธรรมอะไร -- ตัวอย่างเช่น Bret ที่เป็นแฟนกับ Debbie แล้วยังไปมีอะไรกับพ่อของ Debbie อีก คือไม่ได้คิดแม้แต่น้อยว่า Debbie จะรู้สึกอย่างไรถ้ารู้เข้า -- หรืออย่าง Susan ที่เป็นแฟนกับ Thom แล้วยังไปมีอะไรกับ Robert เพื่อนในกลุ่มเดียวกัน แล้วก็เลิกกับ Thom ไปหา Robert หลังจากที่ทุกอย่างถูกเปิดเผยขึ้น (คือถ้าไม่มีการแฉ นัง Susan กับ Robert คงจะยังตีสองหน้าต่อไป) 

ในระหว่างนั้น มีเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องเกิดขึ้นในย่านนั้น ฆาตกรเรียกตัวเองว่า the Trawler มีเด็กวัยรุ่นผู้หญิงถูกลักพาตัวไป และต่อมาเจอเป็นศพในสภาพน่าสยดสยอง -- ก่อนเกิดเหตุลักพาตัว มีรายงานว่า เหยื่อมักบ่นเรื่องมีโทรศัพท์แปลกๆ โทรหา แล้วไม่พูด สัตว์เลี้ยงในบ้านหายไป หรือเฟอร์นิเจอร์ในห้องของเหยื่อมีการเคลื่อนย้าย แต่ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร รวมถึงมีรายงานการบุกรุกในย่านที่อยู่อาศัยของเหยื่อ

ไม่มีใครสนใจเรื่องฆาตกรต่อเนื่องนี้ค่ะ ยกเว้น Bret เพราะ Bret สงสัยว่า Robert จะมีส่วนเกี่ยวข้อง และ Bret ยิ่งเชื่อเช่นนี้สนิทใจ เมื่อเพื่อนและคู่ขาลับๆ ของเขา คือ Matt Kellner หายตัวไป และต่อมาพบเสียชีวิต

การตายของ Matt ตำรวจเชื่อว่าเป็นเพราะเสพยาเกินขนาด แต่ Bret ไม่เชื่อเช่นนั้น ยิ่งมารู้ว่าคนสุดท้ายที่ Matt มีนัดเจอคือ Robert ยิ่งทำให้ Bret ปักใจเชื่อว่า Robert มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือ Robert นั่นแหละคือ the Trawler -- แต่ไม่ว่า Bret จะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ก็ไม่มีใครเชื่อค่ะ เพราะวิธีการเล่าของ Bret นั้นในสายตาผู้ใหญ่มันไม่น่าเชื่อถือ 

คือทุกคนในเรื่องเป็นพวกคิดถึงตัวเองก่อนทั้งนั้นค่ะ ดังนั้นเลยไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละครคนไหนเป็นพิเศษ หนังสือเล่าในมุมความทรงจำของ Bret ทำให้เรารู้สึกว่า Bret เป็นพวกใช้ชีวิตขับเคลื่อนไปตามอารมณ์ และถึงแม้เรื่องเล่าย้อนหลัง เราก็ไม่ได้เห็นความรู้สึกผิดแม้เศษเสี้ยวของการกระทำในอดีตของเขาเลย 

ถ้าหวังจะอ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อหาว่าใครคือฆาตกรต่อเนื่อง the Trawler แล้วคุณจะผิดหวังค่ะ เพราะสุดท้าย the Trawler ก็ยังอาละวาดต่อไป และจับไม่ได้ว่าใครทำ -- แต่ถ้าอยากอ่านเรื่องจิตๆ ความคิดจิตๆ ล่ะก็ เรื่องนี้เหมาะเลยค่ะ 


Sunday, July 2, 2023

Beautiful World, Where Are You

 


หนังสือชื่อ  :  Beautiful world, where are you

ผู้แต่ง  :  Sally Rooney

สำนักพิมพ์  :  Faber & Faber Limited


ไม่ใช่แนวอ่ะค่ะ คือเป็นหนังสือที่อ่านได้เรื่อยๆ ไม่มีพีก ไม่คุ้นกับวิธีการนำเสนอเรื่องของผู้แต่ง รวมถึงหัวข้อที่ตัวละครเขียนถึงกันหรือพูดคุยกันนั้น ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในความสนใจส่วนตัวของเรา แต่ที่ทำให้ยังอ่านได้อยู่จนจบ ก็เพราะสำนวนการเขียนค่ะ สำนวนดี บรรยายเรื่องต่างๆ ได้ดี อ่านสมูท 

จิตใจคนเรายากแท้ยั่งถึงค่ะ หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของสองเพื่อนรัก คือ Eileen และ Alice 

Eileen เป็นผู้หญิงสวย ทำงานเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในกรุงดับลิน มีพี่สาวที่กำลังจะแต่งงาน มีเพื่อนสมัยเด็กชื่อ Simon ซึ่งเป็นคนที่ Eileen แอบชอบ แต่ไม่กล้าพัฒนาความสัมพันธ์ให้มากไปกว่าเป็นเพื่อนกัน เพราะกลัวว่าถ้ากลายเป็นแฟนกันแล้ว เกิดเลิกกัน จะมองหน้ากันไม่ติด แล้วกลายเป็นเสียเพื่อนไป 

Alice เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง กำลังอยู่ในช่วงพักเบรคหลังจากป่วยทางจิตจนต้องเข้าโรงพยาบาล โดยไปพักผ่อนที่ Ballina แล้วได้เจอกับ Felix ทางแอปทินเดอร์

สรุปก็คือเป็นเรื่องของคนสองคู่ (Eileen กับ Simon และ Alice กับ Felix) ผู้เขียนเขียนแบบบรรยาย เหมือนการบรรยายละครให้คนตาบอดฟัง เราคนอ่านจะไม่รู้ว่าตัวละครคิดอะไรอยู่ รับรู้แค่การกระทำ ส่วนความคิดของตัวละครจะบรรยายจากอีเมล์ที่ Eileen และ Alice เขียนถึงกัน 

เนื่องจากผู้เขียนเขียนแบบบรรยายความจริงโดยไม่ตัดสิน คล้ายๆ กับการสังเกตพฤติกรรมคนในการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นเราคนอ่านจะงงๆ กับการกระทำบางอย่างของตัวละคร (เพราะเราไม่ทราบแรงจูงใจของการทำเช่นนั้น) หรืออาจจะเพราะพื้นฐานทางสังคมของตัวละครกับคนอ่านไม่เหมือนกัน ทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของพวกเขานัก

ตัวละครแต่ละคนดูมีพฤติกรรมทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก มักตั้งคำถามกับ "ความหมายของชีวิต" ตั้งคำถามให้เชิงปรัญญา พยายามจะลุ่มลึก แต่ผลที่ได้กลับฉาบฉวย 

ไม่รู้สิ อ่านแล้วเราไม่ค่อย "อิน" กับเรื่องพวกเขา เรื่องปรัญญาชีวิตที่พวกเขาตั้งคำถามกับตัวเองก็ไม่อิน ผู้เขียนพยายามเชื่อมโยงพระเจ้าเข้ากับความสับสนในชีวิตของพวกเขา โดยคิดว่า "ความรัก" ที่เป็นคำสอนของพระเจ้าจะคือคำตอบ ...แต่คือเบื้องหลังของคนอ่านอย่างเรา เราไม่ใช่คริสเตียนไง เราเลยงงๆ 

บางครั้งพวกผู้หญิงก็ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก อย่างตอนที่ Eileen อยากรักษาความเป็นเพื่อนกับ Simon ตลอดไป ... แล้วเธอจะนอนกับเขาทำไม??? คือมันย้อนกลับไม่ได้แล้ว ถ้าอยากเป็นเพื่อนก็อย่านอนกับเพื่อน นี่ไปยั่วเขา นอนกับเขา แล้วสับสน อยากขอเป็นแค่เพื่อน What??? 

นิยายมันไม่มีจุดพีค เรื่องมันเรื่อยๆ ข้อดีคือมันสมจริง เหมือนชีวิตจริงๆ ของพวกเรานี่แหละ ที่บางทีทำอะไรไปโดยไม่มีเหตุผล แต่คือพอเป็นนิยาย ไปจนเกือบจบ ยังสงสัยว่ามันจะจบเล่มอย่างไร เพราะมันไม่มีอะไรตื่นเต้นเลย ปมบางอย่างก็ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ เช่น เรื่องพี่ชายของ Felix หรือครอบครัวของ Eileen 

นิยายจบดีนะคะ จัดว่าเป็นกึ่งๆ นิยายรักโรแมนติกก็ได้ค่ะ เพียงแต่วิธีเล่าของผู้แต่งทำให้มันไม่โรแมนติก 55 ส่วน NC เนี่ย ชัดเจนประหนึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่ข้างเตียงเลยค่ะ เหอ เหอ


Sunday, June 25, 2023

The Colour of Bee Larkham's Murder

 

หนังสือชื่อ  :  The Colour of Bee Larkham's Murder

ผู้แต่ง  :  Sarah J. Harris

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers Ltd


เป็นหนังสือดีที่สุดที่อ่านในปีนี้เลยล่ะค่ะ สนุก วางไม่ลง อ่านเสียงานเสียการ ... เป็นหนังสือที่อ่านแล้วเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ขำก็ขำ เวทนาก็ด้วย และลุ้นว่าใครคือฆาตกรตัวจริงกันแน่

หนังสือเล่าในมุมของ Jasper เด็กชายออทิสติก อายุ 13 ปีค่ะ Jasper เชื่อว่าเพื่อนบ้านของเขา Bee Larkham ถูกฆาตกรรม แต่ปัญหามันคือ ผู้ใหญ่รอบๆ ตัวเขาไม่มีใครตระหนักรู้สักคนว่า Bee นั้นตายไปแล้ว

เนื่องด้วย Jasper เป็นเด็กออทิสติก สมองของเขามีความคิดที่ซับซ้อนมากค่ะ เป็นความซับซ้อนที่แตกต่างด้วย แต่ความสามารถในการแสดงอารมณ์ออกมาให้คนอื่นรับรู้นั้นต่ำมาก ดังนั้นเวลา Jasper โกรธ ถูกขัดใจ ก็จะแสดงออกด้วยการกรีดร้อง ... ทำให้ยากสำหรับคนรอบตัวที่ดูแล Jasper

Jasper มีปัญหาที่เด็กออทิสติกเป็นคือ เขาจำหน้าคนไม่ได้ค่ะ เขาเห็นเสียงเป็นสี ทุกเสียงที่เกิดขึ้นเขาจะเป็นสี และใช้สีนั้นในการจำแนกคน เสียงพูดแต่ละคนก็จะมีสีที่แตกต่างกันในสมองของ Jasper ... แต่ปัญหาคือ เสียงอาจเปลี่ยนตามอารมณ์ได้ ดังนั้นจึงยากที่จะจำแนกคนด้วยเสียงด้วยวิธีนี้ 

Jasper เคยมีแม่ที่เข้าใจความพิเศษของเขานี้ แต่ตอนนี้แม่เสียแล้วด้วยโรคมะเร็งตอนเขาอายุ 9 ขวบ ต่อมาย่าก็เสียอีก ดังนั้นพ่อเลยต้องลาออกจากการเป็นทหารนาวิกโยธิน มาอยู่บ้านดูแลเด็กพิเศษเช่น Jasper เพราะทั้งคู่ต่างไม่มีใครแล้วล่ะค่ะ ต่างมีกันและกัน 

อ่านตรงนี้แล้วรู้สึกสงสารพ่อ Jasper มาก เพราะการมีลูกเป็นออทิสติกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แถมเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวอีก

ในขณะที่ Jasper เองก็น่าสงสารมาก เวลาที่เขารู้สึกไม่มั่นคง เขาจะหนีเข้าไปอยู่ในกระโจม กอดเสื้อคาร์ดิแกนของแม่ไว้ หรือถ้าอยู่นอกห้องนอน แล้วรู้สึกสับสน ก็จะเอามือล้วงกระเป๋า คอยลูบกระดุมเสื้อคาร์ดิแกนของแม่ ... โถ

Bee Larkham เป็นสาวสวย เพื่อนบ้านผู้สร้างปัญหาที่ย้ายมาอยู่ใหม่ค่ะ คือบ้านหลังนั้นเป็นของแม่ Bee พอแม่ตาย Bee ก็ย้ายมาอยู่แทน และเปิดคอร์สสอนดนตรีที่บ้านค่ะ

สิ่งที่ผูกพัน Bee กับ Jasper เข้าด้วยกัน คือฝูงนกหงส์หยก (parakeets) ที่มาทำรังที่ต้นโอ๊คข้างหน้าต่างห้องนอนบ้าน Bee ซึ่งตรงกับหน้าต่างห้อง Jasper พอดี (แต่ถ้ามองจากบ้าน Bee จะเห็นนกชัดกว่า) -- Jasper ชอบสีไงค่ะ เห็นเสียงทุกอย่างเป็นสี จำคน จำสิ่งต่างๆ ด้วยสี ดังนั้นเนี่ย Jasper เลยคลั่งไคล้นกหงส์หยกที่มาทำรังข้างบ้านมากๆๆๆ ค่ะ 

ชีวิตของ Bee ก็น่าสนใจมาก เราเห็นชีวิตของ Bee ผ่านสายตาของ Jasper และรู้สึกว่า เธอเป็นพวกสร้างปัญหา 

ขำกับการ "เล่นใหญ่" ของ Jasper ด้วยความที่เป็นคนจริงจัง ดังนั้น Jasper จึงซีเรียสมากกับการขู่ของเพื่อนบ้านว่าจะยิงลูกนกหงส์หยกทิ้ง ถึงขั้นโทรแจ้งความเลยอ่ะ หรือบทสนทนาตอบโต้กับคนอื่นๆ คือ Jasper บริสุทธิ์จริงๆ ไม่รู้เรื่องมุก เรื่องริษยาอะไร จึงคุยอะไรซื่อๆ ซึ่งกลายเป็นมุกขำสำหรับเราไปเลย 

เพราะความที่ Jasper จริงจังกับการฆาตกรรมนกหงส์หยกเนี่ยแหละ ทำให้ตอนแรกเราคนอ่านจึงไม่แน่ใจว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงอย่างที่ Jasper พยายามบอก ...​แต่คือรู้แหละว่ามีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้น เพราะ Jasper กับพ่อต้องไปให้ปากคำกับตำรวจ แต่ใหญ่ถึงขั้น Bee ถูกฆาตกรรม ตอนแรกไม่แน่ใจค่ะ จนกระทั่งเรื่องค่อยๆ เฉลย

หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ "จงฟังลูกของคุณพูด และพิจารณาสิ่งที่ลูกต้องการสื่ออย่างจริงจัง เด็กไม่โกหก อย่าเพิกเฉย ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นจะฟังดูเหลวไหลในตอนแรกก็ตาม หรือเพราะว่าลูกเป็นเด็กที่ยากที่จะรับมือ (เช่นเด็กออทิสติก) ก็ตาม" เหมือนที่ Bee พยายามจะบอกแม่ของเธอหลายๆ ครั้ง แต่น่าเศร้าที่แม่ไม่เชื่อ และปล่อยให้เด็กน้อยต้องสู้ตามลำพัง...

Friday, June 16, 2023

ภารกิจปริศนา

 


หนังสือชื่อ  :  ภารกิจปริศนา

ผู้แต่ง  :  ชูชาติ ทรัพย์นิธิ

สำนักพิมพ์  :   ไครม์แอนด์มิสทรี (สำนักพิมพ์ในเครือนานมีบุ๊คส์)


เป็นครั้งแรกของการอ่านนิยายทิลเลอร์ฝีมือผู้แต่งคนไทยค่ะ ฉากบรรยากาศทุกอย่างคือเมืองไทย มันทำให้ง่ายที่จะจินตนาการหน้าตา สถานที่ของตัวละครค่ะ 

เล่มนี้จัดว่าอ่านเพลินค่ะ แต่ไม่ได้หวือหวา หักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบอะไรขนาดนั้น

ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ของกรุงเทพฯ ในอนาคต คือตัวละครอยู่ในอนาคตแล้ว กรุงเทพฯ มีถนนอัจฉริยะแล้ว ตัวเอกของเรื่องเป็นอดีตตำรวจเพิ่งเกษียณ ชื่อ "เกรียงไกร" บังเอิญรถเจออุบัติเหตุถูกคนเมาแล้วขับชน เลยต้องแวะสถานีตำรวจเลยทำให้ได้รู้จักกับ "พรรณภพ" เจ้าหน้าที่กู้ภัย 

เนื่องจากเกรียงไกรเป็นอดีตตำรวจที่ลูกพี่ของพรรณภพให้ความนับถือ พรรณภพเลยให้เกรียงไกรไปพักดูทีวีรอระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับคดี ที่รถบ้านของพรรณภพ ... ภายในรถบ้านนั่นเอง เกรียงไกรเห็นรูป "วทัญญู" พ่อของพรรณภพ ทำให้เขาหวนคิดถึงคดีที่เขาเคยทำเมื่อสามสิบปีก่อน

แล้วจากนั้นหนังสือก็เล่าเรื่องในยุคปี 2542 ค่ะ มีผู้หญิงถูกของมีคมแทงตายในห้องของตัวเอง ผู้ตายสวยและรวยมาก ลูกชายของผู้ตายก็อยู่ภายในห้องด้วยตอนเกิดเหตุ 

หนังสือเขียนเล่าถึงการสืบสวนหาคนร้ายของตำรวจไทย ซึ่งไม่แน่ใจว่าอิงกับเรื่องจริงหรือไม่นะคะ แต่ถ้าอิงเนี่ย ตำรวจไทยแม่งสืบสวนแบบไม่มี protocol เลยอ่า สืบแบบใช้แนวสังคม ถามคนโน่นคนนี่ คือไม่ได้เน้นเรื่องหลักฐานทางนิติเวชเลย และไม่มีแนวทางการสืบสวนที่เป็นรูปแบบเลย จำคนร้ายนี่คืออาศัยโชคและไหวพริบมาก ไม่ต้องสงสัยถ้าผู้ร้ายจะไปหลุดในชั้นศาลเพราะหลักฐานอ่อน หรือหลักฐานใช้ไม่ได้เพราะกระบวนการที่ได้มาไม่ถูกต้อง

แล้วก็มีตอนหนึ่งในหนังสือที่ตำรวจขอให้คุณประพันธ์ (ซึ่งก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย เพราะขายและติดตั้งประตูอัจฉริยะในห้องผู้ตาย) สาธิตการทำงานของประตูที่ว่านี้ โดยการเอาปืนของตำรวจยิงที่ประตู ...​คือมันได้ด้วยหรือ??? ตำรวจให้ปืนของตัวเองให้คนอื่นได้ง่ายๆ เลยหรือ??? มันสะเพร่าง่า สะท้อนความไม่มืออาชีพ

นิยายนี้เป็นเรื่องสั้นค่ะ ร้อยกว่าหน้า ดังนั้นเดาคนร้ายไม่ยาก อ่านได้เพลินๆ ค่ะ

Thursday, June 15, 2023

เสียงเพรียกจากคักคู

 


หนังสือชื่อ   :  เสียงเพรียกจากคักคู (The Cuckoo's Calling)

ผู้แต่ง  :  Robert Galbraith

ผู้แปล  :  ขจรจันทร์

สำนักพิมพ์  :  ไครม์แอนด์มิสทรี (สำนักพิมพ์ในเครือนานมีบุ๊คส์)


สนุกค่ะ แปลดีด้วยค่ะ เรียกว่าเป็นหนังสือทริลเลอร์แปลไทยคุณภาพเล่มหนึ่งเลยล่ะค่ะ

คักคู คือชื่อนก เป็นนกประเภทนักกาเหว่าน่ะค่ะ แต่ในหนังสือเล่มนี้ คักคูคือฉายาที่เพื่อนสนิทของตัวเอกของเรื่องที่ถูกฆาตกรรมใช้เรียกเธอค่ะ ... แต่ก็เป็นชื่อที่สอดคล้องกับชีวิตส่วนตัวของเธอดี เพราะเธอเป็นเด็กที่กำพร้าที่ถูกขอมาเลี้ยง

เปิดเรื่องมาด้วยการเสียชีวิตจากการตกตึกลงมาจากชั้นสี่ของนางแบบชื่อดัง ลูลา แลนดรี ค่ะ และตำรวจสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะนางแบบมีปัญหาทางด้านอารมณ์และการใช้ยาเสพติด

แต่พี่ชายของลูลาไม่เชื่อเช่นการสรุปของตำรวจเช่นนั้น จึงว่าจ้างนักสืบเอกชน คือ คอร์โมรัน สไตรก์

นักสืบสไตรก์กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำของชีวิตค่ะ ถังแตก ไม่มีเงิน เลิกกับแฟน (ที่รักๆ เลิกๆ กันมาหลายรอบ แต่ดูท่ารอบนี้จะเลิกจริง) และต้องรับ โรบิน เอลลาคอตต์ มาทำงานเป็นเลขาฯ ด้วยแบบงงๆ เพราะลืมคำสั่งยกเลิกบริษัทจัดหางาน

หนังสือเล่าทั้งการสืบสวนหาคนร้าย พร้อมไปกับสอดแทรกชีวิตส่วนตัวของสไตรก์ (ซึ่งน่าสนใจไม่แพ้คดีค่ะ) 

สไตรก์เป็นอดีตสารวัตรทหาร เป็นลูกนอกสมรสของนักร้องร็อกชื่อดัง (ลูกที่พ่อไม่อยากนับ) ...ดังนั้นสไตรก์จะมีความรู้สึกเหมือนเป็น "คนนอก" ในสังคมของตัวเองตลอดเวลา 

ส่วนลูลา จริงๆ ถึงเกิดมากำพร้า แต่เธอก็สวยมาก ครอบครัวที่อุปการะเธอก็รวยมาก ได้โอกาสดีๆ ในชีวิตมากมาย ทั้งจากครอบครัว และอาชีพนางแบบที่มีชื่อเสียงของเธอ ...​แต่เธอกลับไม่รู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่เธอมีอยู่ กลับแสวงหาส่ิงที่เธอไม่มี เช่น การพยายามตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง ก่อนพบว่า แม่แท้ๆ น่ะ ไม่มีซะยังจะดีกว่า หรือติดยา จนต้องบำบัด รักกับผู้ชายเลว ฯลฯ .... อารมณ์เหมือนคนตัวเองเริ่มต้นผิด แล้วพยายามย้อนเวลากลับไป (ซึ่งเป็นไปไม่ได้) แทนที่จะมองไปยังชีวิตสดใสข้างหน้า เธอกลับจมกับรากของตนเองในอดีต

ด้วยความอ่อนไหวทางอารมณ์ของเธอ จึงน่าเชื่อได้ว่าความตายของเธอคือการฆ่าตัวตายค่ะ ... แต่ก็มีพิรุธหลายอย่าง เช่น วันเกิดเหตุ เธอดูปกติมาก ดูไม่เหมือนคนมีปัญหาสะเทือนใจอะไรเลย แถมชั่วโมงก่อนเกิดเหตุ เธอยังเปลี่ยนชุดเหมือนกำลังรอใครมาหาที่แฟลต??? ...​หรือการมี "นักวิ่ง" ปริศนาปรากฎในหน้าจอกล้องวงจรปิดวิ่งอยู่แถวแฟลตที่เธออยู่???...หรือการที่เพื่อนบ้าน เล่าว่าเห็นเธอตะโกนทะเลากับใครบางคน ก่อนจะร่วงลงมา???

อ่านสนุกค่ะ ทายไม่ถูกว่าใครคือฆาตกรตัวจริง 

Sunday, June 11, 2023

The Institute

 


หนังสือชื่อ  :  The Institute

ผู้แต่ง  :  Stephen King

สำนักพิมพ์. :  Hodder & Stoughton


พล็อตเรื่องซ้ำๆ เหมือนหลายๆ เล่มของคิง แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการเล่าเรื่องในสนุกจนวางไม่ลงค่ะ

หนังสือเริ่มด้วยเล่าเรื่องของชายที่ชื่อ Tim Jamieson อดีตตำรวจที่ถูกบังคับให้ลาออกจากงาน กำลังเปลี่ยนใจแลกตั๋วเครื่องบินไปนิวยอร์คกับเงินสองพันดอลลาห์ แล้วใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยโบกรถไปเรื่อยๆ ที่ไหนมีงานก็ทำแลกเงินสักพัก จนกระทั่งเขาเดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ ชื่อ DuPray

ที่เมือง DuPray ทิมสมัครงานเป็น Night Knocker (หน้าที่คล้ายๆ ยามเดินตรวจตราตามท้องถนนตอนกลางคืน) -- ที่เมืองนี้ ทิมทำงานได้ดี ดูเข้ากับชีวิตใหม่ได้ดีค่ะ และก็กำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำรวจในเร็วๆ

-

เสร็จแล้วหนังสือก็ตัดมาที่ เรื่องชีวิตของ Luke Ellis เด็กชายอัจฉริยะวัย 12 ขวบ กำลังเตรียมตัวสอบ SAT เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย 

แต่แล้วคืนหนึ่งชีวิตของ Luke ก็เปลี่ยนผันไปตลอดกาล -- Luke ถูกลักพาตัวในขณะกำลังหลับ! คนร้ายยิงสังหารพ่อกับแม่แล้วโปะยาสลบเด็กชาย และนำตัวมายัง "สถาบัน"

ที่สถาบัน Luke เจอกับเด็กหลายคนที่ประสบชะตากรรมแบบเดียวกับเขา คือถูกลักพาตัวมา และถูกบังคับเป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง ถูกฉีดยา จับโยนลงในถังน้ำ ให้ดูหนังจนกระทั่งเห็นแสงเห็นจุด

เด็กทุกคนที่ถูกจับตัวมานั้น ถูกเลือกมาอย่างรอบคอบ ทุกคนมีความสามารถพิเศษ คือ มีโทรจิต (TP) หรือสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุด้วยพลังจิต (TK) และที่พวกเขาเลือกเด็ก เพราะความสามารถด้านพลังจิตเหล่านี้จะจางลงเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ (และเด็กควบคุมง่ายด้วยแหละ)

ในหนังสือบอกว่าความสามารถของเด็กพวกนี้ไม่ได้พิเศษมากมายนะคะ คือพิเศษกว่าคนปกติแหละ แต่ไม่ได้ถึงขนาดเป็นพระเจ้าอะไรขนาดนั้น ...สถาบันจึงจับตัวพวกเขามาเพื่อทดสอบและ "เพิ่ม" ความสามารถทางด้านพลังจิตของพวกเด็กๆ ให้เข้มข้นขึ้น ถึงแม้ว่าวิธีการนั้นจะเป็นการทำทารุณเด็กๆ เหล่านี้อย่างมากก็ตาม สถาบันก็ไม่ได้สนใจค่ะ เพราะพวกเขามีจุดมุ่งหมายที่ใหญ่กว่านั้น

สถาบันตั้งอยู่กลางป่าในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐเมน อเมริกา -- สถาบันตั้งมาหลายสิบปีแล้ว มีคนทำงานกับสถาบันมากมาย (แต่ไม่มีคนท้องถิ่น) -- ทุกคนเห็นรู้ และบางคนก็ลงมือกระทบทารุณลงโทษเด็กด้วยซ้ำ แต่ผู้ใหญ่ทุกคนที่ทำงานในสถาบันมองว่าเด็กเหล่านี้เปรียบเสมือนวัตถุ หรือสมบัติอย่างหนึ่ง ไม่ได้มองว่าเด็กมีชีวิต มีจิตใจ ดังนั้นในสามัญสำนึกของพวกเขาจึงไม่ได้มองว่าเรื่องนี้ผิดศีลธรรมแต่อย่างใด

เนื่องจากพวกเขาเป็นเด็ก (ถึงแม้เด็กบางคน เช่น Luke) จะฉลาดมากก็ตาม แต่ยังไงก็เด็ก ดังนั้นการควบคุมจึงง่าย และทางหนีก็เด็กเหล่านี้จึงแทบปิดตายไปได้เลยค่ะ 

ดังนั้นความลุ้นความสนุกของหนังสือ คือการลุ้นว่า Luke จะหนีออกไปได้อย่างไร ซึ่งการทำเช่นนั้นได้ต้องการผู้ใหญ่ที่เป็นพนักงานของสถาบันร่วมมือช่วยชี้ช่องหนี แล้วใครผู้ใหญ่ที่ไหนจะกล้าเสี่ยงชีวิตช่วยเด็กเหล่านี้? ----

ช่วงที่สามคือช่วงที่ Luke หนีจากสถาบันมาเจอกับทิมค่ะ และทั้งคู่ต้องเข้าไปช่วยเพื่อนๆ เด็กคนอื่นๆ ในสถาบัน ถือเป็นช่วงที่สนุกสุด วางไม่ลง และให้ความสะใจได้ดีค่ะ ...แต่เมื่ออ่านมาตั้งแต่ต้นถึงสิ่งที่ผู้ใหญ่เหล่านั้นกระทำกับเด็กๆ ก็ให้รู้สึกว่าตายง่ายไปไหม

--

ในช่วงเฉลยปมสุดท้าย ถึงความเป็นมาของสถาบัน อันนี้รู้สึกว่าพล็อตหลวมไปค่ะ มันไม่สมเหตุสมผล ออกแนวทฤษฎีสมคบคิด แต่มันดูตื้นเขินและเลื่อนลอยเกินไป -- คือไม่น่าเชื่อว่าแนวคิดแบบนี้ มีคนที่ฉลาด รวย และมีอิทธิพลกลุ่มหนึ่งเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งๆ ที่มีข้อมูลทางคณิตศาสตร์หักล้างแล้วว่าความเชื่อของพวกเขาไม่เป็นจริง 



Tuesday, May 30, 2023

Wintering

 


หนังสือชื่อ  :  Wintering

ผู้แต่ง  :  Katherine May

สำนักพิมพ์  :  Penguin Random House group


ไม่ใช่นิยายค่ะ แต่เป็นหนังสือบทความ ออกแนวคล้ายๆ ไดอารี่ เล่าเรื่องส่วนตัวของผู้เขียน (นิดหน่อย) สลับกับเรื่องต่างๆ โดยอยู่ในธีมของ "ฤดูหนาว" 

ฤดูหนาว หรือ winter ของหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่เพียงฤดูหนาวจริงๆ ที่เป็นสภาพอากาศนะคะ แต่ยังรวมถึงฤดูหนาวในชีวิตด้วย - ดังนั้นจึงเป็นหนังสือที่ว่าด้วยการรับมือกับฤดูหนาวของชีวิต โดยเขียนเล่าเชื่อมโยงกับการรับมือต่อฤดูหนาวของสภาพอากาศ

สำนวนการเขียนดีค่ะ แต่ออกแนวเรื่อยๆ พร่ำพรรณา จึงไม่เหมาะกับนักอ่านที่ต้องการหาอ่านเพิ่มความตื่นเต้นในชีวิต -- แม้กระทั่ง "ฤดูหนาว" ของผู้เขียนเอง ก็ไม่ได้แย่ (มีหลายคนในโลกนี้ที่เจอ "ฤดูหนาว" ของชีวิตที่แย่กว่าค่ะ) 

จริงๆ มันออกแนวพรรณาความคิดของผู้เขียนมากกว่าค่ะ อาจจะเอาเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตำนานเทพนิยายที่เกี่ยวกับฤดูหนาว นกโรบิน การชอบฤดูหนาวและรับมือกับฤดูหนาวของชาวฟินแลนด์ -- คือทั้งหมดนี้อ่านเอาเพลินได้ค่ะ แต่ไม่ได้เขียนลึกถึงขนาดเอาใช้เป็นอ้างอิงอะไรได้ เหมือนเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ เหล่านี้ เข้ากับการพรรณาของผู้เขียนมากกว่า และผู้เขียนก็ไม่ได้เขียนเชิงให้กำลังใจให้สู้ชีวิตหรืออะไรนะคะ (อันนี้เราชอบค่ะ) เพราะเป็นการมองชีวิตอย่างความเป็นจริง ... ฤดูหนาวของชีวิต ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทุกคนต้องเจอแหละ ฤดูหนาวจะมาอยู่กับเรานาน หรือเร็ว ก็ได้ทั้งนั้น แต่ยังไงมันก็มาแหละ สิ่งที่ควรทำไม่ใช่การหลีกเลี่ยง แต่คือการเตรียมตัวรับมือกับมันต่างหาก

สารภาพว่า ถ้ายังอยู่เมืองไทย และไม่เคยเจอหน้าหนาวที่หนาวและมีหิมะตก คงอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ "อิน" ค่ะ หน้าหนาวในต่างประเทศจะดูเหงาๆ เหมือนชีวิตหยุดนิ่ง และจะตาย หลายคนเป็นซึมเศร้ากันก็ช่วงฤดูนี้ล่ะค่ะ 

สรุปคือเป็นหนังสือที่อ่านได้เรื่อยๆ ออกแนวเบื่อที่จะอ่านด้วยซ้ำไปค่ะ -- แต่บทสุดท้ายของหนังสือเขียนดีค่ะ ได้กำลังใจดี 


Monday, March 13, 2023

สำเร็จสบายสบาย เพราะเรียนรู้ไวแบบคนขี้เกียจ

 


หนังสือชื่อ  :  สำเร็จสบายสบาย เพราะเรียนรู้ไวแบบคนขี้เกียจ

ผู้แต่ง  :  นะโอะยุกิ ฮนดะ

ผู้แปล  :  กมลวรรณ เพ็ญอร่าม

สำนักพิมพ์  :  อัมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง


หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยครั้งแรกปี 2565 ค่ะ แต่ไม่ทราบว่าต้นฉบับตีพิมพ์ปีไหน เนื่องจากเนื้อหาข้างในบางอย่างค่อนข้างเก่าและล้าสมัย ...แต่ถึงอย่างนั้น กลยุทธและวิธีคิดของผู้เขียนก็น่าสนใจดีค่ะ

เพื่อจะอ่านหนังสือเล่มนี้ให้สนุก เราต้องยอมรับกับตัวเองก่อนค่ะ ว่า "เราเป็นคนขี้เกียจ" เพราะคนเอเชียโตมากับค่านิยมชอบคนขยัน คนทำงานหามรุ่งหามค่ำ ขยัน = รวย หรือ ขยัน = ประสบความสำเร็จในอนาคต ... แต่จริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ

หนังสือเล่มนี้เหมาะกับผู้ใหญ่วัยทำงานแล้วน่ะค่ะ ผู้เขียนเน้นเรื่องการศึกษาไม่มีที่สิ้นสุด และเห็นว่า "การศึกษา" ก็คือการลงทุนทางด้านเวลา ดังนั้นก็จึงเหมือนการลงทุนด้วยเงินแบบอื่นๆ คือเราต้องรู้ก่อนว่าเราจะเรียนอะไร และเป้าหมายของการเรียนนั้นคืออะไร ไม่ใช่เรียนเพื่อเอาความรู้อย่างเดียว ควรจะมีเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น เรียนเพื่อเอาใบประกาศฯ เรียนเพื่อเพิ่มคอนเนคชั่นเฉพาะทาง เรียนเพื่อทำรายได้เพิ่มขึ้น ฯลฯ

ผู้เขียนยกตัวอย่างกลยุทธของตนเองในการเรียน -- แต่หนังสือฮาวทูแบบนี้ มีจุดอ่อนที่ความสำเร็จของแต่ละคนเป็นเรื่องส่วนตัวไงค่ะ ในบริบทแบบนั้น เขาทำแบบนั้นเขาจึงประสบความสำเร็จ ...แต่ในบริบทส่วนตัวของเรา การทำแบบเขาก็ไม่ได้รับประกันว่าจะประสบความสำเร็จเช่นเขา อีกอย่างความสนใจของเรากับเขาก็ไม่เหมือนกัน -- ดังนั้นอ่านหนังสือฮาวทูแบบนี้  จึงควรอ่านแบบผ่านๆ เอาแนวคิด ทัศนคติของผู้เขียนเป็นหลัก แล้วก็นำมาปรับใช้กับชีวิตตัวเองค่ะ

ผู้เขียนบอกว่า การเรียนที่แนะนำควรจะหาความรู้ไว้ คือ ภาษา IT และการเงิน -- ทั้งสามอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรศึกษาไว้ค่ะ 

ไอเดียของผู้เขียนน่าสนใจดีค่ะ คือแทนที่จะขยัน หาความรู้แบบเหวี่ยงแห เหมือนการกระจายการลงทุน เรียนมันหมดทุกอย่าง แต่เราควรจะเรียนโดยตั้งเป้าถึงความสำเร็จ เรียนแบบมีเป้าหมายว่าอยากจะเชี่ยวชาญหรือมีความรู้ในด้านใด -- และวางแผนการเรียนอย่างเป็นระบบ เป็นแผนระยะสั้น 6 เดือน แผนรายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน ให้เป็นการวางแผนอย่างยืดหยุ่น ปรับให้เหมาะกับสถานการณ์ และพยายามทำตามแผน เพราะ "เวลา" คือสินทรัพย์รูปแบบหนึ่งค่ะ

ผู้เขียนมีบทแนะนำเรื่องการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ ซึ่งส่วนตัวเราไม่ค่อยเห็นด้วยค่ะ คือมันขึ้นกับเรื่องที่จะสอบมากกว่า ของผู้เขียนคือสอบการเป็นผู้เชี่ยวชาญไวน์ ผู้เขียนจึงแนะนำให้อ่านหนังสือดีๆ เล่มเดียว แต่อ่านหลายรอบก็พอ -- แต่สำหรับสาขาวิชาอื่นที่ต้องค้นคว้า อ่านเล่มเดียวไม่ได้หรอกค่ะ 

หรือเรื่องการจดบันทึก ผู้เขียนบอกให้จดใน Excel -- มันเก่าไปไหมอ่ะ สมัยนี้มีแอปดีๆ ในการจดโน้ตตั้งมากมาย ใช้ Notion ก็ได้ หรือ goodnote ฯลฯ 

หรือเรื่องอ่านทบทวน ที่ผู้เขียนแนะนำให้พกหนังสือไปอ่าน และถ้าไม่มีเวลาก็ฉีกหนังสือพิมพ์เฉพาะส่วนที่ต้องการอ่านพกไปไหนมาไหนด้วย -- ไอเดียนี้เก่ามาก สมัยนี้มีไอแพค อีรีดเดอร์ อ่านหนังสือแทบไม่ต้องใช้กระดาษด้วยซ้ำ 

คือเทคนิคบางอย่างในการเรียนของผู้เขียนก็เป็นเทคนิคส่วนตัวของเขาน่ะค่ะ มันเหมาะกันเขา งานที่เขาต้องการเชี่ยวชาญ แต่ไม่เหมาะกับเรา หรือล้าสมัยแล้ว

สรุปคือ เป็นหนังสือที่ไม่แย่หรอกค่ะ แต่อยู่ในประเภทอ่านก็ได้ ไม่อ่านก็ได้ค่ะ ถ้าไม่มีเวลาแต่อยากอ่าน ก็อ่านสรุปเอาดีกว่าค่ะ



Wednesday, March 8, 2023

Beach Read

 


หนังสือชื่อ  :  Beach Read

ผู้แต่ง  :  Emily Henry

สำนักพิมพ์  :  Penguin Random House UK


เป็นนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ เบาๆ สบายๆ ค่ะ  อ่านแล้วจะไม่อยากกลับมาอ่านนิยายโรมานซ์ไทยพล็อตตลาดๆ อีกเลยค่ะ

// อันนี้ขอบ่น นิยายโรมานต์ไทยเนี่ย พล็อตเดียวกันเกือบทั้งหมดเลยค่ะ พระเอกต้องนิสัยรวย บางเล่มก็เข้าใจผิดว่านิสัยเอาแต่ใจของผู้ชายคือการแสดงภาวะผู้นำ ส่วนนางเอกก็ต้องสวย และยังถือพรรมจรรย์ รักตัวเองน้อยกว่ารักผู้ชาย -- เหมือนอยู่ในโลกความฝันง่า 

เรื่องนี้เขียนเล่าในมุมของนางเอกค่ะ นางเอกชื่อ January เป็นนักเขียนนิยายโรแมนติก แบบจบแฮปปี้แอนด์ดิ้ง รักกันตลอดไปน่ะค่ะ -- ตอนตอนนี้นางเอกของเรากำลังผจญกับวิกฤติของชีวิต 

นางเอกเขียนนิยายรักได้เพราะมีแรงบันดาลใจจากความรักของพ่อกับแม่ของเธอค่ะ แม่ของเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง และพ่อก็อยู่เคียงข้างแม่ และร่วมฝ่าฝันจนมะเร็งหายไปทั้งสองครั้งสองครา ด้วยเหตุที่ January เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น ดังนั้นเธอจึงมีบุคลิกร่าเริง ปาร์ตี้เกิร์ล และเชื่อมั่นในความรัก มีแฟนที่รักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน 

...และโลกสีชมพูของ January ก็มาถล่มถลายลง ในวันที่พ่อของเธอเสียชีวิต และเธอรู้ความจริงในวันนั้นว่า พ่อมีเมียอีกคน! และดูเหมือนแม่ก็รู้เรื่องนี้ด้วย... ทั้งหมดนี้ไม่มีคำอธิบาย (พ่อตายไปแล้ว แม่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก) 

เรื่องของพ่อทำให้ January เปลี่ยนไป และแฟนของเธอก็รับไม่ได้กับ January เวอร์ชั่นซึมเศร้านี้ เลยขอเลิกกับเธอค่ะ ...จบกันไปกับรักเจ็ดปี 

ทั้งหมดนี้ทำให้ January เริ่มคลางแคลงใจกับ "ความรัก" ...และทำให้เธอเขียนนิยายรักไม่ออกมาหลายเดือนแล้ว บรรณาธิการก็โทรมาทวงเอาๆ ...แต่ January หมดไฟเสียแล้ว

January มาเจอกับพระเอกคือ Augustus ที่บ้านพักตากอากาศของพ่อค่ะ พ่อของนางเอกทิ้งบ้านให้นางเอกเป็นมรดก นางเอกซึ่งใกล้จะถังแตกเต็มทน เลยมาดูบ้าน กะว่ามาเคลียร์ของและขายบ้านทิ้ง ส่วนพระเอกเป็นเพื่อนบ้านน่ะค่ะ ทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อน เรียนวิทยาลัยเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกัน ...พอมาเจอกัน อะไรๆ ที่เคยคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ก็เริ่มเป็นไปได้ขึ้นมา

ทั้งคู่เริ่มสานสัมพันธ์เป็นเพื่อนกันอีกครั้ง เริ่มพนันกัน เพราะนิยายที่ทั้งคู่เขียนสะท้อนว่าทั้งสองนั้นมองโลกคนละมุมกัน เลยพนันกันว่าให้พระเอกเขียนนิยายแนวโรแมนติก ส่วนนางเอกก็เขียนแนวหม่นหมอง ใครได้ตีพิมพ์ก่อนคนนั้นชนะ ...ระหว่างนี้ ทุกสุดสัปดาห์ ทั้งคู่ก็แชร์ประสบการณ์การเก็บข้อมูลเขียนนิยายในมุมของกันและกัน 

นั่นแหละ กิจกรรมที่ทำร่วมกัน ทำให้เริ่มเข้าใจกันและกัน และก็สานต่อเป็นความรัก ...แต่ไม่แน่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เพราะต่างคนก็ต่างมีปม นางเอกที่เริ่มไม่แน่ใจว่า รักแท้คืออะไร กับพระเอกที่มีปมครอบครัวที่แม่ทนอยู่กับพ่อที่ทำร้ายร่างกายตัวพระเอกที่เป็นลูก และไม่ยอมพาพระเอกหนีไป สุดท้ายก็หนีไปคนเดียวทิ้งพระเอกไว้กับพ่อ มันคือความรู้สึกของการไม่ถูกเลือกน่ะค่ะ ไม่ดีพอที่จะถูกเลือก

หนังสือสนุกค่ะ เป็นสนุกแบบผู้ใหญ่ เป็นรักแบบมีเหตุผล แบบโลกความเป็นจริง ไม่ได้หวานเป็นนิทานเจ้าหญิงเจ้าชายน่ะค่ะ และไม่ได้จบแบบรักกันตลอดไป หรือ Happy ending แต่แค่ Happy-for-now ก็ดีมากแล้ว


Tuesday, February 28, 2023

The Invisible Computer


 

หนังสือชื่อ  :  The Invisible Computer : why good products can fail, the personal computer is so complex, and information appliances are the solution

ผู้แต่ง  :  Donald A. Norman

สำนักพิมพ์  :  The MIT Press


หนังสือเก่าค่ะ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1999 ซึ่งสำหรับหนังสือที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีแล้ว จัดว่าเป็นหนังสือเก่าค่ะ ... แต่กลายเป็นว่า คือหนังสือดี ที่ถ้าไม่ได้อ่านจะรู้สึกว่าพลาดอะไรไปหลายๆ อย่างเลย

เรียกได้ว่าหนังสือเล่มนี้คือหนังสือที่เขียนทำนายอนาคตของคอมพิวเตอร์และแอปพลิเคชั่นก็ไม่ผิดค่ะ ผู้เขียนเขียนหนังสือขึ้นมาในยุคที่คำว่า User Experience ยังไม่รู้จักกันแพร่หลายด้วยซ้ำค่ะ ปกติเวลาที่เราย้อนมาอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของคนเขียนในอดีตเนี่ย ส่วนใหญ่แล้วคนทำนายมักจะทำนายพลาด มักจะคาดการณ์สิ่งต่างๆ พลาด ...ทำให้พอเรามาอ่านในไทม์ไลน์ปัจจุบัน เราก็ทนอ่านไม่ลง โยนหนังสือทิ้งตั้งแต่เปิดอ่านได้ไม่กี่หน้า .... แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เลยค่ะ

ผู้เขียนเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามกับผู้อ่านว่า ทำไมโทมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์อันเลื่องชื่อ ผู้ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ และขายเป็นคนแรกในตลาด แต่ทำไมสุดท้ายสินค้าของเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จ? ทำไมการเป็นผู้นำตลาดเทคโนโลยีไม่ได้ทำให้เอดิสันได้เปรียบ? 

ผู้เขียนแสดงแผนภาพ Life cycle of technology หรือวงจรของผลิตภัณฑ์ ที่สินค้าเทคโนโลยีตัวหนึ่งเมื่อออกสู่ตลาดครั้งแรก จะผลิตโดยเน้นวิศกรรม มีฟังก์ชั่นทางเทคนิคเต็มไปหมด ผู้ใช้ต้องมีความรู้ประมาณหนึ่งจึงจะสามารถใช้งานได้ เหมือนคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ ที่เต็มไปด้วยคำสั่งภาษาแปลกๆ มากมายที่คนใช้ต้องจำ ...​แต่เมื่อเวลาผ่านไป สินค้าขยายขึ้น มีคนใช้มากคิด ความซับซ้อนของสินค้าจะน้อยลง จะต้องถูกทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น จนถึงในที่ก็ให้เหมือน "หายไปเลย" คือคนใช้แทบไม่รู้สึกเลยว่ากำลังใช้สินค้าตัวนั้นอยู่ คนใช้รู้แค่ว่าต้องการให้งานของตนเองสำเร็จดังตั้งใจเท่านั้น

เหมือนมอเตอร์ ตอนประดิษฐ์ขึ้นมาแรกๆ มีใช้แต่ในอุตสาหกรรม มีแต่วิศกรรู้ว่าจะใช้งานมันอย่างไร ... เวลาผ่านไป ตอนนี้มอเตอร์เป็นส่วนประกอบในเครื่องไฟฟ้าหลายชนิด โดยที่คนใช้ไม่ได้สนใจ คือมัน invisible ไป มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว 

และคอมพิวเตอร์ก็กำลังอยู่ในยุคที่ลูกค้าคือคนกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่วิศกรหรือนักโปรแกรมเมอร์อีกต่อไป คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทุกคนจะมีคอมพิวเตอร์ใช้ ...และเมื่อคอมพิวเตอร์กระจายสู่คนทั่วไป การออกแบบสินค้าให้ใช้ง่าย การออกแบบสินค้าโดยให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางจึงสำคัญ ต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อการใช้งานของผู้ใช้ ให้ดูเหมือนง่าย คิดไว้เลยว่าผู้ใช้ไม่มีใครซื้อผลิตภัณฑ์มาแล้วอ่านคู่มือเป็นอย่างแรกหรอก ทุกคนซื้อมาก็ลงมือใช้เลยทั้งนั้นแหละ





Wednesday, February 22, 2023

Snow

 


หนังสือชื่อ  :  Snow

ผู้แต่ง  :  John Banville

สำนักพิมพ์  :  Faber & Faber Limited


เป็นนิยายแนวสอบสวนสืบสวน/ทริลเลอร์แนวพีเรียด ผู้เขียนบรรยายสิ่งต่างๆ ได้สวยงาม เห็นภาพ แต่สิ่งที่บรรยายนั้นไม่ได้ช่วยอะไรในการสืบสวน หรือไม่เกี่ยวกับเรื่องคดีเลย บรรยายน้ำท่วมทุ่งมาก ...ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นเลยอ่านสนุก เพราะได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ในการบรรยายคุณลักษณะสิ่งต่างๆ แต่ถ้าเอามาแปลเป็นภาษาไทย นิยายเล่มนี้คงไม่เวิร์กค่ะ คนอ่านจะรู้สึกทันทีว่าใช้คำฟุ่มเฟือย บรรยายสิ่งต่างๆ รอบตัว แต่ไม่ได้เป็นส่ิงที่เป็นสาระกับคดีเลย

เรื่องเกิดขึ้นที่ Ballyglass House ประเทศไอร์แลนด์  ในปี 1957 -- ในสมัยนั้นผู้คนยังศรัทธากับศาสนาอย่างมาก และที่ไอร์แลนด์ก็จะมีความขัดแย้ง (ไม่ถึงกับทะเลาะกัน แต่อารมณ์ประมาณพวกฉันพวกเธอ) ระหว่างสองนิยาย แคทอธิก กับโปรเตสแตนต์

เกิดคดีบาทหลวงแคทอธิกถูกแทงตายที่ห้องสมุดของคฤหาสน์ Ballyglass House -- ทางเมืองหลวงจึงส่งนักสืบ Strafford พร้อมผู้ช่วย Jenkins ให้มาสืบสวนเรื่องนี้ 

บาทหลวงตายเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ แถมถูกฆาตกรรมด้วย ดังนั้นในช่วงแรกทางการจึงพยายามปิดข่าว และบิดเบือนว่า บาทหลวงเสียชีวิตจากการอุบัติเหตุตกบันได แต่จริงๆ แล้วคือถูกแทงที่คอ และถูกลูกอัณฑะถูกตัดหายไป

พอหนังสือบอกว่าบาทหลวงตาย และจากสภาพศพ ...เราคนอ่านก็เดาเรื่องได้แล้วค่ะว่าจะเป็นไปในทางไหน ...ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่เดาเลยค่ะ

บ้านที่บาทหลวงไปพักดูแปลกๆ บาทหลวงเป็นพระในนิกายแคทอธิก ในขณะที่ครอบครัว Osborne เป็นโปรเตสแตนต์? บาทหลวงมาพักที่นี่บ่อยมาก (มากเกินไป) -- ศพมีการจัดท่าทางใหม่ เนื่องจากแม่บ้านผู้เคร่งศาสนารับไม่ได้ที่จะให้บาทหลวงนอนตายอนาถ เลยทำความสะอาดเช็ดคราบเลือดออกซะเอี่ยม รวมถึงจัดมือของศพให้ประสานกัน ให้ดูเหมือนเป็นการตายอย่างสงบ (ทั้งหมดนี้ทำก่อนที่ตำรวจจะมาถึง) -- เห็นได้ชัดว่าทั้งบ้านไม่มีร่องรอยการงัดแงะ ฆาตกรจึงควรเป็นใครสักคนในบ้านหลังนั้น ในคืนเกิดเหตุนั้นแหละ

ในคืนเกิดเหตุ บ้านมีบาทหลวง, Geoffrey Osborne เจ้าของบ้าน, Sylvia ภรรยายังสาวของเจ้าของบ้าน และเป็นผู้พบศพ, Dominic และ Lettie ลูกชายและลูกสาว - และในป่าในอาณาเขตของคฤหาสน์มีเด็กเลี้ยงม้า Fonsey พักอยู่คนเดียวในคาราวาน

อ่านไปก็รำคาญไป ที่หนังสือเน้นเรื่อง "ชื่อ" มากกว่าหาว่าใครคือฆาตกร มีการย้ำชื่อของ Strafford มากเกินพอดี (แบบเขียนให้ตัวละครอื่นๆ จำชื่อ หรือออกเสียงชื่อของ Strafford ผิด แล้วเขาก็ต้องแก้ให้ถูกตลอด) ต่อมา Jenkins หายตัวไป ก็เขียนให้ตัวละครคนอื่นจำชื่อไม่ได้ และ Strafford ต้องย้ำชื่อของ Jenkins ซ้ำๆ ในหลายๆ ฉาก

คือถ้าจะอ่านเอาสนุก เอาบรรยากาศการสืบสวนหาฆาตกร เล่มนี้คงไม่เหมาะค่ะ เพราะตัวนักสืบ Strafford ก็เหมือนไม่ได้จริงจังกับหน้าที่ ถามอ้อมไปอ้อมมา ...คือมีคนตาย แถมเป็นคนสำคัญ มันควรจะตั้งคำถามกับพยานแวดล้อมให้จริงจังกว่านี้ป่ะ นี่ถามเหมือนนินทากันระหว่างกินมื้อเที่ยง 

สุดท้ายที่จับคนร้าย (คนที่คิดว่าเป็นคนร้าย) ก็เพราะ Strafford โชคดีบังเอิญเห็นว่าใครเป็นคนขับรถตู้คันที่ต่อมาพบขโมยมา

หนังสือเขียนเรื่อยๆ บรรยายเยอะ สิ่งที่บรรยายก็ไม่ได้ย้อนมาเฉลยหรือไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคดีเลย เช่น 

1. อาปิชอบ กับผู้ช่วยของเขา ตอนแรกก็นึกว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหาร ปรากฎว่าไม่เกี่ยว (ดูเหมือนอาปิชอบรู้เรื่องลับๆ ของผู้ตาย)

2. Sylvia ผู้อ่อนแอ และหมอที่ดูใส่ใจเธอเป็นพิเศษ เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ดูไม่ชอบมาพากล แต่ Strafford ก็ไม่ได้สนใจสืบสวนต่อ และปล่อยเธอไว้อย่างนั้น 

3. Peggy พนักงานในโรงแรมที่ Strafford พัก คือความสัมพันธ์ไม่เกี่ยวกับคดีเลย แต่ก็ใส่มา เพื่อ???

4. คดีจบ จริงๆ ไม่เคลียร์หรอก และตัว Strafford ก็รู้ดี แต่หาตัวคนที่เหมาะสมเป็นคนร้ายได้ คือคนที่มีความสำคัญต่อสังคมน้อยที่สุด เจ้านายพอใจ คดีปิด Strafford ก็กลับเมืองหลวง

5. นิสัยส่วนตัวและอารมณ์ของ Strafford คือเป็นคนแบบถ้าได้อยู่ใกล้ใครก็รักคนนั้น แต่ฉาบฉวย ไม่อยากเอาตัวเองกระโจนเข้าไปในวงรักๆ ใคร่ๆ ถนัดที่จะเฝ้าดูอยู่รอบนอก 

คือเป็นหนังสือสอบสวนที่จบไม่เคลียร์ว่าใครคือฆาตกร ตัว Strafford เองก็ไม่แคร์ที่จะเอาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ -- ก็ถือเป็นตอนจบที่มีเสน่ห์แบบหนึ่งนะคะ ดูเรียลดี เหมือนชีวิตจริงแหละ บางคดีก็ให้มันจบแบบนี้แหละดีแล้ว เสียหายแก่สังคมน้อยสุด ไอ้ที่เกิดขึ้นไปแล้วก็กลับไปแก้ไม่ได้แล้ว ชีวิตเดินหน้าต่อไป