Sunday, June 25, 2023

The Colour of Bee Larkham's Murder

 

หนังสือชื่อ  :  The Colour of Bee Larkham's Murder

ผู้แต่ง  :  Sarah J. Harris

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers Ltd


เป็นหนังสือดีที่สุดที่อ่านในปีนี้เลยล่ะค่ะ สนุก วางไม่ลง อ่านเสียงานเสียการ ... เป็นหนังสือที่อ่านแล้วเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ขำก็ขำ เวทนาก็ด้วย และลุ้นว่าใครคือฆาตกรตัวจริงกันแน่

หนังสือเล่าในมุมของ Jasper เด็กชายออทิสติก อายุ 13 ปีค่ะ Jasper เชื่อว่าเพื่อนบ้านของเขา Bee Larkham ถูกฆาตกรรม แต่ปัญหามันคือ ผู้ใหญ่รอบๆ ตัวเขาไม่มีใครตระหนักรู้สักคนว่า Bee นั้นตายไปแล้ว

เนื่องด้วย Jasper เป็นเด็กออทิสติก สมองของเขามีความคิดที่ซับซ้อนมากค่ะ เป็นความซับซ้อนที่แตกต่างด้วย แต่ความสามารถในการแสดงอารมณ์ออกมาให้คนอื่นรับรู้นั้นต่ำมาก ดังนั้นเวลา Jasper โกรธ ถูกขัดใจ ก็จะแสดงออกด้วยการกรีดร้อง ... ทำให้ยากสำหรับคนรอบตัวที่ดูแล Jasper

Jasper มีปัญหาที่เด็กออทิสติกเป็นคือ เขาจำหน้าคนไม่ได้ค่ะ เขาเห็นเสียงเป็นสี ทุกเสียงที่เกิดขึ้นเขาจะเป็นสี และใช้สีนั้นในการจำแนกคน เสียงพูดแต่ละคนก็จะมีสีที่แตกต่างกันในสมองของ Jasper ... แต่ปัญหาคือ เสียงอาจเปลี่ยนตามอารมณ์ได้ ดังนั้นจึงยากที่จะจำแนกคนด้วยเสียงด้วยวิธีนี้ 

Jasper เคยมีแม่ที่เข้าใจความพิเศษของเขานี้ แต่ตอนนี้แม่เสียแล้วด้วยโรคมะเร็งตอนเขาอายุ 9 ขวบ ต่อมาย่าก็เสียอีก ดังนั้นพ่อเลยต้องลาออกจากการเป็นทหารนาวิกโยธิน มาอยู่บ้านดูแลเด็กพิเศษเช่น Jasper เพราะทั้งคู่ต่างไม่มีใครแล้วล่ะค่ะ ต่างมีกันและกัน 

อ่านตรงนี้แล้วรู้สึกสงสารพ่อ Jasper มาก เพราะการมีลูกเป็นออทิสติกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แถมเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวอีก

ในขณะที่ Jasper เองก็น่าสงสารมาก เวลาที่เขารู้สึกไม่มั่นคง เขาจะหนีเข้าไปอยู่ในกระโจม กอดเสื้อคาร์ดิแกนของแม่ไว้ หรือถ้าอยู่นอกห้องนอน แล้วรู้สึกสับสน ก็จะเอามือล้วงกระเป๋า คอยลูบกระดุมเสื้อคาร์ดิแกนของแม่ ... โถ

Bee Larkham เป็นสาวสวย เพื่อนบ้านผู้สร้างปัญหาที่ย้ายมาอยู่ใหม่ค่ะ คือบ้านหลังนั้นเป็นของแม่ Bee พอแม่ตาย Bee ก็ย้ายมาอยู่แทน และเปิดคอร์สสอนดนตรีที่บ้านค่ะ

สิ่งที่ผูกพัน Bee กับ Jasper เข้าด้วยกัน คือฝูงนกหงส์หยก (parakeets) ที่มาทำรังที่ต้นโอ๊คข้างหน้าต่างห้องนอนบ้าน Bee ซึ่งตรงกับหน้าต่างห้อง Jasper พอดี (แต่ถ้ามองจากบ้าน Bee จะเห็นนกชัดกว่า) -- Jasper ชอบสีไงค่ะ เห็นเสียงทุกอย่างเป็นสี จำคน จำสิ่งต่างๆ ด้วยสี ดังนั้นเนี่ย Jasper เลยคลั่งไคล้นกหงส์หยกที่มาทำรังข้างบ้านมากๆๆๆ ค่ะ 

ชีวิตของ Bee ก็น่าสนใจมาก เราเห็นชีวิตของ Bee ผ่านสายตาของ Jasper และรู้สึกว่า เธอเป็นพวกสร้างปัญหา 

ขำกับการ "เล่นใหญ่" ของ Jasper ด้วยความที่เป็นคนจริงจัง ดังนั้น Jasper จึงซีเรียสมากกับการขู่ของเพื่อนบ้านว่าจะยิงลูกนกหงส์หยกทิ้ง ถึงขั้นโทรแจ้งความเลยอ่ะ หรือบทสนทนาตอบโต้กับคนอื่นๆ คือ Jasper บริสุทธิ์จริงๆ ไม่รู้เรื่องมุก เรื่องริษยาอะไร จึงคุยอะไรซื่อๆ ซึ่งกลายเป็นมุกขำสำหรับเราไปเลย 

เพราะความที่ Jasper จริงจังกับการฆาตกรรมนกหงส์หยกเนี่ยแหละ ทำให้ตอนแรกเราคนอ่านจึงไม่แน่ใจว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงอย่างที่ Jasper พยายามบอก ...​แต่คือรู้แหละว่ามีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้น เพราะ Jasper กับพ่อต้องไปให้ปากคำกับตำรวจ แต่ใหญ่ถึงขั้น Bee ถูกฆาตกรรม ตอนแรกไม่แน่ใจค่ะ จนกระทั่งเรื่องค่อยๆ เฉลย

หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ "จงฟังลูกของคุณพูด และพิจารณาสิ่งที่ลูกต้องการสื่ออย่างจริงจัง เด็กไม่โกหก อย่าเพิกเฉย ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นจะฟังดูเหลวไหลในตอนแรกก็ตาม หรือเพราะว่าลูกเป็นเด็กที่ยากที่จะรับมือ (เช่นเด็กออทิสติก) ก็ตาม" เหมือนที่ Bee พยายามจะบอกแม่ของเธอหลายๆ ครั้ง แต่น่าเศร้าที่แม่ไม่เชื่อ และปล่อยให้เด็กน้อยต้องสู้ตามลำพัง...

Friday, June 16, 2023

ภารกิจปริศนา

 


หนังสือชื่อ  :  ภารกิจปริศนา

ผู้แต่ง  :  ชูชาติ ทรัพย์นิธิ

สำนักพิมพ์  :   ไครม์แอนด์มิสทรี (สำนักพิมพ์ในเครือนานมีบุ๊คส์)


เป็นครั้งแรกของการอ่านนิยายทิลเลอร์ฝีมือผู้แต่งคนไทยค่ะ ฉากบรรยากาศทุกอย่างคือเมืองไทย มันทำให้ง่ายที่จะจินตนาการหน้าตา สถานที่ของตัวละครค่ะ 

เล่มนี้จัดว่าอ่านเพลินค่ะ แต่ไม่ได้หวือหวา หักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบอะไรขนาดนั้น

ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ของกรุงเทพฯ ในอนาคต คือตัวละครอยู่ในอนาคตแล้ว กรุงเทพฯ มีถนนอัจฉริยะแล้ว ตัวเอกของเรื่องเป็นอดีตตำรวจเพิ่งเกษียณ ชื่อ "เกรียงไกร" บังเอิญรถเจออุบัติเหตุถูกคนเมาแล้วขับชน เลยต้องแวะสถานีตำรวจเลยทำให้ได้รู้จักกับ "พรรณภพ" เจ้าหน้าที่กู้ภัย 

เนื่องจากเกรียงไกรเป็นอดีตตำรวจที่ลูกพี่ของพรรณภพให้ความนับถือ พรรณภพเลยให้เกรียงไกรไปพักดูทีวีรอระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับคดี ที่รถบ้านของพรรณภพ ... ภายในรถบ้านนั่นเอง เกรียงไกรเห็นรูป "วทัญญู" พ่อของพรรณภพ ทำให้เขาหวนคิดถึงคดีที่เขาเคยทำเมื่อสามสิบปีก่อน

แล้วจากนั้นหนังสือก็เล่าเรื่องในยุคปี 2542 ค่ะ มีผู้หญิงถูกของมีคมแทงตายในห้องของตัวเอง ผู้ตายสวยและรวยมาก ลูกชายของผู้ตายก็อยู่ภายในห้องด้วยตอนเกิดเหตุ 

หนังสือเขียนเล่าถึงการสืบสวนหาคนร้ายของตำรวจไทย ซึ่งไม่แน่ใจว่าอิงกับเรื่องจริงหรือไม่นะคะ แต่ถ้าอิงเนี่ย ตำรวจไทยแม่งสืบสวนแบบไม่มี protocol เลยอ่า สืบแบบใช้แนวสังคม ถามคนโน่นคนนี่ คือไม่ได้เน้นเรื่องหลักฐานทางนิติเวชเลย และไม่มีแนวทางการสืบสวนที่เป็นรูปแบบเลย จำคนร้ายนี่คืออาศัยโชคและไหวพริบมาก ไม่ต้องสงสัยถ้าผู้ร้ายจะไปหลุดในชั้นศาลเพราะหลักฐานอ่อน หรือหลักฐานใช้ไม่ได้เพราะกระบวนการที่ได้มาไม่ถูกต้อง

แล้วก็มีตอนหนึ่งในหนังสือที่ตำรวจขอให้คุณประพันธ์ (ซึ่งก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย เพราะขายและติดตั้งประตูอัจฉริยะในห้องผู้ตาย) สาธิตการทำงานของประตูที่ว่านี้ โดยการเอาปืนของตำรวจยิงที่ประตู ...​คือมันได้ด้วยหรือ??? ตำรวจให้ปืนของตัวเองให้คนอื่นได้ง่ายๆ เลยหรือ??? มันสะเพร่าง่า สะท้อนความไม่มืออาชีพ

นิยายนี้เป็นเรื่องสั้นค่ะ ร้อยกว่าหน้า ดังนั้นเดาคนร้ายไม่ยาก อ่านได้เพลินๆ ค่ะ

Thursday, June 15, 2023

เสียงเพรียกจากคักคู

 


หนังสือชื่อ   :  เสียงเพรียกจากคักคู (The Cuckoo's Calling)

ผู้แต่ง  :  Robert Galbraith

ผู้แปล  :  ขจรจันทร์

สำนักพิมพ์  :  ไครม์แอนด์มิสทรี (สำนักพิมพ์ในเครือนานมีบุ๊คส์)


สนุกค่ะ แปลดีด้วยค่ะ เรียกว่าเป็นหนังสือทริลเลอร์แปลไทยคุณภาพเล่มหนึ่งเลยล่ะค่ะ

คักคู คือชื่อนก เป็นนกประเภทนักกาเหว่าน่ะค่ะ แต่ในหนังสือเล่มนี้ คักคูคือฉายาที่เพื่อนสนิทของตัวเอกของเรื่องที่ถูกฆาตกรรมใช้เรียกเธอค่ะ ... แต่ก็เป็นชื่อที่สอดคล้องกับชีวิตส่วนตัวของเธอดี เพราะเธอเป็นเด็กที่กำพร้าที่ถูกขอมาเลี้ยง

เปิดเรื่องมาด้วยการเสียชีวิตจากการตกตึกลงมาจากชั้นสี่ของนางแบบชื่อดัง ลูลา แลนดรี ค่ะ และตำรวจสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะนางแบบมีปัญหาทางด้านอารมณ์และการใช้ยาเสพติด

แต่พี่ชายของลูลาไม่เชื่อเช่นการสรุปของตำรวจเช่นนั้น จึงว่าจ้างนักสืบเอกชน คือ คอร์โมรัน สไตรก์

นักสืบสไตรก์กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำของชีวิตค่ะ ถังแตก ไม่มีเงิน เลิกกับแฟน (ที่รักๆ เลิกๆ กันมาหลายรอบ แต่ดูท่ารอบนี้จะเลิกจริง) และต้องรับ โรบิน เอลลาคอตต์ มาทำงานเป็นเลขาฯ ด้วยแบบงงๆ เพราะลืมคำสั่งยกเลิกบริษัทจัดหางาน

หนังสือเล่าทั้งการสืบสวนหาคนร้าย พร้อมไปกับสอดแทรกชีวิตส่วนตัวของสไตรก์ (ซึ่งน่าสนใจไม่แพ้คดีค่ะ) 

สไตรก์เป็นอดีตสารวัตรทหาร เป็นลูกนอกสมรสของนักร้องร็อกชื่อดัง (ลูกที่พ่อไม่อยากนับ) ...ดังนั้นสไตรก์จะมีความรู้สึกเหมือนเป็น "คนนอก" ในสังคมของตัวเองตลอดเวลา 

ส่วนลูลา จริงๆ ถึงเกิดมากำพร้า แต่เธอก็สวยมาก ครอบครัวที่อุปการะเธอก็รวยมาก ได้โอกาสดีๆ ในชีวิตมากมาย ทั้งจากครอบครัว และอาชีพนางแบบที่มีชื่อเสียงของเธอ ...​แต่เธอกลับไม่รู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่เธอมีอยู่ กลับแสวงหาส่ิงที่เธอไม่มี เช่น การพยายามตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง ก่อนพบว่า แม่แท้ๆ น่ะ ไม่มีซะยังจะดีกว่า หรือติดยา จนต้องบำบัด รักกับผู้ชายเลว ฯลฯ .... อารมณ์เหมือนคนตัวเองเริ่มต้นผิด แล้วพยายามย้อนเวลากลับไป (ซึ่งเป็นไปไม่ได้) แทนที่จะมองไปยังชีวิตสดใสข้างหน้า เธอกลับจมกับรากของตนเองในอดีต

ด้วยความอ่อนไหวทางอารมณ์ของเธอ จึงน่าเชื่อได้ว่าความตายของเธอคือการฆ่าตัวตายค่ะ ... แต่ก็มีพิรุธหลายอย่าง เช่น วันเกิดเหตุ เธอดูปกติมาก ดูไม่เหมือนคนมีปัญหาสะเทือนใจอะไรเลย แถมชั่วโมงก่อนเกิดเหตุ เธอยังเปลี่ยนชุดเหมือนกำลังรอใครมาหาที่แฟลต??? ...​หรือการมี "นักวิ่ง" ปริศนาปรากฎในหน้าจอกล้องวงจรปิดวิ่งอยู่แถวแฟลตที่เธออยู่???...หรือการที่เพื่อนบ้าน เล่าว่าเห็นเธอตะโกนทะเลากับใครบางคน ก่อนจะร่วงลงมา???

อ่านสนุกค่ะ ทายไม่ถูกว่าใครคือฆาตกรตัวจริง 

Sunday, June 11, 2023

The Institute

 


หนังสือชื่อ  :  The Institute

ผู้แต่ง  :  Stephen King

สำนักพิมพ์. :  Hodder & Stoughton


พล็อตเรื่องซ้ำๆ เหมือนหลายๆ เล่มของคิง แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการเล่าเรื่องในสนุกจนวางไม่ลงค่ะ

หนังสือเริ่มด้วยเล่าเรื่องของชายที่ชื่อ Tim Jamieson อดีตตำรวจที่ถูกบังคับให้ลาออกจากงาน กำลังเปลี่ยนใจแลกตั๋วเครื่องบินไปนิวยอร์คกับเงินสองพันดอลลาห์ แล้วใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยโบกรถไปเรื่อยๆ ที่ไหนมีงานก็ทำแลกเงินสักพัก จนกระทั่งเขาเดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ ชื่อ DuPray

ที่เมือง DuPray ทิมสมัครงานเป็น Night Knocker (หน้าที่คล้ายๆ ยามเดินตรวจตราตามท้องถนนตอนกลางคืน) -- ที่เมืองนี้ ทิมทำงานได้ดี ดูเข้ากับชีวิตใหม่ได้ดีค่ะ และก็กำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำรวจในเร็วๆ

-

เสร็จแล้วหนังสือก็ตัดมาที่ เรื่องชีวิตของ Luke Ellis เด็กชายอัจฉริยะวัย 12 ขวบ กำลังเตรียมตัวสอบ SAT เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย 

แต่แล้วคืนหนึ่งชีวิตของ Luke ก็เปลี่ยนผันไปตลอดกาล -- Luke ถูกลักพาตัวในขณะกำลังหลับ! คนร้ายยิงสังหารพ่อกับแม่แล้วโปะยาสลบเด็กชาย และนำตัวมายัง "สถาบัน"

ที่สถาบัน Luke เจอกับเด็กหลายคนที่ประสบชะตากรรมแบบเดียวกับเขา คือถูกลักพาตัวมา และถูกบังคับเป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง ถูกฉีดยา จับโยนลงในถังน้ำ ให้ดูหนังจนกระทั่งเห็นแสงเห็นจุด

เด็กทุกคนที่ถูกจับตัวมานั้น ถูกเลือกมาอย่างรอบคอบ ทุกคนมีความสามารถพิเศษ คือ มีโทรจิต (TP) หรือสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุด้วยพลังจิต (TK) และที่พวกเขาเลือกเด็ก เพราะความสามารถด้านพลังจิตเหล่านี้จะจางลงเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ (และเด็กควบคุมง่ายด้วยแหละ)

ในหนังสือบอกว่าความสามารถของเด็กพวกนี้ไม่ได้พิเศษมากมายนะคะ คือพิเศษกว่าคนปกติแหละ แต่ไม่ได้ถึงขนาดเป็นพระเจ้าอะไรขนาดนั้น ...สถาบันจึงจับตัวพวกเขามาเพื่อทดสอบและ "เพิ่ม" ความสามารถทางด้านพลังจิตของพวกเด็กๆ ให้เข้มข้นขึ้น ถึงแม้ว่าวิธีการนั้นจะเป็นการทำทารุณเด็กๆ เหล่านี้อย่างมากก็ตาม สถาบันก็ไม่ได้สนใจค่ะ เพราะพวกเขามีจุดมุ่งหมายที่ใหญ่กว่านั้น

สถาบันตั้งอยู่กลางป่าในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐเมน อเมริกา -- สถาบันตั้งมาหลายสิบปีแล้ว มีคนทำงานกับสถาบันมากมาย (แต่ไม่มีคนท้องถิ่น) -- ทุกคนเห็นรู้ และบางคนก็ลงมือกระทบทารุณลงโทษเด็กด้วยซ้ำ แต่ผู้ใหญ่ทุกคนที่ทำงานในสถาบันมองว่าเด็กเหล่านี้เปรียบเสมือนวัตถุ หรือสมบัติอย่างหนึ่ง ไม่ได้มองว่าเด็กมีชีวิต มีจิตใจ ดังนั้นในสามัญสำนึกของพวกเขาจึงไม่ได้มองว่าเรื่องนี้ผิดศีลธรรมแต่อย่างใด

เนื่องจากพวกเขาเป็นเด็ก (ถึงแม้เด็กบางคน เช่น Luke) จะฉลาดมากก็ตาม แต่ยังไงก็เด็ก ดังนั้นการควบคุมจึงง่าย และทางหนีก็เด็กเหล่านี้จึงแทบปิดตายไปได้เลยค่ะ 

ดังนั้นความลุ้นความสนุกของหนังสือ คือการลุ้นว่า Luke จะหนีออกไปได้อย่างไร ซึ่งการทำเช่นนั้นได้ต้องการผู้ใหญ่ที่เป็นพนักงานของสถาบันร่วมมือช่วยชี้ช่องหนี แล้วใครผู้ใหญ่ที่ไหนจะกล้าเสี่ยงชีวิตช่วยเด็กเหล่านี้? ----

ช่วงที่สามคือช่วงที่ Luke หนีจากสถาบันมาเจอกับทิมค่ะ และทั้งคู่ต้องเข้าไปช่วยเพื่อนๆ เด็กคนอื่นๆ ในสถาบัน ถือเป็นช่วงที่สนุกสุด วางไม่ลง และให้ความสะใจได้ดีค่ะ ...แต่เมื่ออ่านมาตั้งแต่ต้นถึงสิ่งที่ผู้ใหญ่เหล่านั้นกระทำกับเด็กๆ ก็ให้รู้สึกว่าตายง่ายไปไหม

--

ในช่วงเฉลยปมสุดท้าย ถึงความเป็นมาของสถาบัน อันนี้รู้สึกว่าพล็อตหลวมไปค่ะ มันไม่สมเหตุสมผล ออกแนวทฤษฎีสมคบคิด แต่มันดูตื้นเขินและเลื่อนลอยเกินไป -- คือไม่น่าเชื่อว่าแนวคิดแบบนี้ มีคนที่ฉลาด รวย และมีอิทธิพลกลุ่มหนึ่งเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งๆ ที่มีข้อมูลทางคณิตศาสตร์หักล้างแล้วว่าความเชื่อของพวกเขาไม่เป็นจริง