Saturday, February 26, 2022

Major Pettigrew's Last Stand

 


หนังสือชื่อ  :  Major Pettigrew's Last Stand

ผู้แต่ง  :  Helen Simonson

สำนักพิมพ์  :  Bloomsbury Publishing Plc


เป็นหนังสือที่สวยค่ะ ใช้คำบรรยายสวยมาก เรียกว่าเป็นวรรณกรรมได้เลยล่ะค่ะ เหมาะสำหรับคนที่สนใจฝึกภาษาอังกฤษ บรรยายถึงความงามของหมู่บ้านในเมือง Sussex อังกฤษ

เป็นเรื่องของผู้พัน Ernest Pettigrew ผู้มีอายุ 68 ปี ค่ะ The Last stand ในหนังสือแปลว่า เป็นคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ ... จริงๆ ไม่เชิงหรอกค่ะ ผู้พันยังมีน้องสะใภ้ที่นับว่าเป็นผู้สูงอายุในครอบครัวอยู่ แต่คือผู้พันไม่ค่อยชอบน้องสะใภ้คนนี้เท่าไร แกเลยไม่สะดวกใจจะนับญาติ

เรื่องมันเริ่มจากผู้พันได้รับโทรศัพท์ว่า น้องชายเสียชีวิตเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลว เรียกว่าเสียชีวิตกะทันหันเลยค่ะ 

ผู้พันอาศัยอยู่ในบ้านคนเดียวค่ะ ภรรยาของผู้พัน Nancy ก็เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ลูกชาย Roger ก็มีชีวิตของเขาเอง และกำลังจะหมั้นกับสาวอเมริกัน ...ดูเหมือนลูกชายจะอยู่ห่างไกลออกไปทุกที หมายถึงทัศนคติของกันและกันนะคะ เหมือนผู้พันไม่ค่อยเข้าใจลูกชายนักแล้ว 

ผู้พันเหงาค่ะ รู้สึกโดดเดี่ยว ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากมาย ... คือดูเหมือนผู้พันไม่น่าจะเหงา เพราะมีกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน ...แต่ผู้พันเหงา และรู้สึกดึงดูดใจต่อเสน่ห์ของ Mrs. Ali หญิงหม้ายเจ้าของร้านขายของชำในหมู่บ้าน 

Mrs. Ali อายุ 58 เป็นคนอังกฤษ เชื้อสายปากีสถานค่ะ ให้นึกภาพผู้หญิงเอเชีย ที่อยู่ภายในกรอบของอิสลามนะคะ 

ทั้งคู่ดึงดูดเข้าหากัน เมื่อ Mrs. Ali บังเอิญไปอยู่เป็นเพื่อนตอนผู้พันรับข่าวร้ายการตายของน้องชาย ...ทั้งคู่มีความคล้ายกันตรงที่ต่างมีความทรงจำที่ดีของคู่ชีวิตที่เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ยังรักและคิดถึงเสมอ

ในขณะที่ความรักของผู้พันกับ Mrs. Ali กำลังพัฒนา ... เรื่องภายนอกก็มีคำถามค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปืนแฝดเชอร์ชิล มรดกตกทอดจากพ่อของผู้พัน ที่ก่อนพ่อเสียชีวิต พ่อสั่งเสียให้แบ่งปืนแฝดออกให้ลูกคนละกระบอก และบอกว่าถ้าลูกคนใดคนหนึ่งจากไป ให้นำปืนนี้มารวมกัน และส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ...แต่ดูเหมือนน้องชายของผู้พันจะไม่ใส่ใจกับคำสั่งเสียของพ่อนี้ รวมถึงมีนักลงทุนที่สนใจจะซื้อปืนนี้ด้วย และลูกๆ ก็อยากขายเอาเงินค่ะ

ส่วน Mrs. Ali นั้น จริงๆ เธอเป็นผู้หญิงฉลาดนะคะ แต่ด้วยวัฒนธรรมมุสลิมที่กดผู้หญิงให้อยู่ภายใต้ผู้ชาย กรอบของวัฒนธรรมที่ Mrs. Ali ไม่กล้าก้าวข้าม (จริงๆ เธอเป็นคนดื้อเงียบในแบบของเธอ ถ้าสิ่งนั้นขัดกับหลักการของเธอ แต่โดยรวม เธอยังติดอยู่ในกรอบวัฒนธรรมศาสนาค่ะ) 

คือจริงๆ Mrs. Ali เกิดที่อังกฤษ ไม่เคยไปปากีสถานด้วยซ้ำ พ่อเป็นนักคณิตศาสตร์ ตอนพ่อตายในขณะที่เธอยังเด็ก พ่อตายปุ๊บ ลุงเข้ามาจัดการ ขายหนังสือของพ่อทิ้งทันที โดยที่แม่ได้แต่ร้องไห้และทำอะไรไม่ได้ ... เธอประสบการณ์ชีวิตที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก ...อ่านไปก็ไม่เข้าใจว่าเธอไม่คิดจะลุกขึ้นมาป้องกันไม่ให้เกิดอะไรแบบนี้ซ้ำรอยบ้างเหรอ ... พอสามีเธอตาย ... เธอก็อยู่ภายใต้ความกดดันของญาติฝั่งสามี ที่จะให้เธอยกร้านให้หลานชาย และให้ตัวเธอกลับไปเลี้ยงหลานที่บ้านญาติแทน 

ส่วนผู้พันนั้น เป็นพวกถือเกียรติยิ่งชีพ เพราะติดคำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อเรื่องปืน ดังนั้นผู้พันจึงคิดแต่จะเอาปืนจากน้องชายมารวมกับของตน ตามที่ได้สัญญาไว้ ... ผู้พันมีนิสัยเหมือนคนแก่ที่ยึดมั่นในความคิดตัวเองน่ะค่ะ แต่สุภาพ ถูกอบรมความเป็นสุภาพบุรุษมาอย่างดี และไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ไม่พยายามเจ้ากี้เจ้าการสั่งสอนชีวิตคนอื่น

จริงๆ หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องโรแมนติกของผู้สูงวัยค่ะ แต่เนื่องจากเป็นผู้สูงวัยไง ชีวิตจึงไม่ได้มีแค่คนสองคนรักกันอีกต่อไป แต่มีปัจจัยเรื่องสังคม ลูกหลาน ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมด้วย 

หนังสือเขียนเล่าในเฉพาะส่วนความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้พันเท่านั้นค่ะ เสน่ห์ของมันคือเราต้องเดาว่าคนอื่นๆ คิดอย่างไร เรารู้แค่ว่าผู้พันคิดอย่างไรเท่านั้นค่ะ

ความยากของหนังสือเล่มนี้ นอกจากคำศัพท์ ซึ่งสวย หลากหลายแล้ว คือบุคลิกของคนอังกฤษค่ะ คือคนอังกฤษปากคม ชอบประชด หรือพูดอ้อมๆ อย่างสุภาพ แล้วคนไทย (ที่อยู่กับคนดัตช์) อย่างเรา ก็ไม่เข้าใจความหมายระหว่างบรรทัดนั้นค่ะ

สิ่งที่ไม่ชอบคือ คนอังกฤษเหยียดชาติพันธุ์ ปกติบางคนเหยียดชาติพันธุ์เนื่องจากเรายังไม่รู้จักกันดีพอ เมื่อเขาได้เรียนรู้ที่จะรู้จักกัน สนิทกันแล้ว เขาก็อาจจะกลับมาชอบกันได้ ...​แต่คนอังกฤษ (อย่างน้อยในหนังสือ) เหยียดชาติพันธุ์ด้วยพื้นฐานที่ว่า ตัวเองดีกว่าอีกฝ่าย เหยียดแบบเหยียดค่ะ ไม่ใช่เหยียดแบบระแวง ... แล้วเป็นการเหยียดอย่างสุภาพด้วย ซึ่งมันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่ำต้อยกว่า แต่ทำอะไรไม่ได้ ...สิ่งที่ดีคือ หนังสือเล่มนี้เขียนโดยไม่ตัดสินค่ะ คือเขียนให้รู้สึกว่า คนที่เหยียดก็เหยียดเป็นปกติของเขา คือเขาคิดอย่างนั้นของเขาจริงๆ และเขาก็ไม่คิดว่าเขาผิดด้วย ... นั่นทำให้หนังสือรู้สึกเรียลมากยิ่งขึ้นค่ะ


Monday, February 7, 2022

The Chateau

 


หนังสือชื่อ  :  The Chateau

ผู้แต่ง  :  Catherine Cooper

สำนักพิมพ์  : HarperCollins publishers


นี่เป็นนิยายฆาตกรรม แต่ไม่ใช่นิยายนักสืบ สืบสวนเพื่อหาตัวฆาตกร แต่เป็นนิยายแก้แค้นเพื่อทวงความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิตค่ะ

The Chateau เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ปราสาท ค่ะ ให้นึกภาพปราสาทเก่าแก่ และมีคนรวยซื้อมาอยู่อาศัยน่ะค่ะ เรื่องเกิดขึ้นที่ Mozene ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสค่ะ 

เป็นเรื่องคู่สามีภรรยา Nick กับ Aura ที่ย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสพร้อมลูกน้อย 2 คน ... มาซื้อปราสาทที่ชื่อ Ricane ค่ะ และตั้งใจจะเอามาทำเป็นโรงแรม แต่ตัวปราสาทนั้นมีเรื่องต้องปรับปรุงตกแต่งแยะเลยค่ะ กว่าจะพร้อมเปิดให้คนเข้าใช้บริการได้ ... และเพื่อเป็นการโฆษณาโรงแรมที่จะเปิดในอนาคต Aura ก็เลยเชิญคนในรายการทีวีมาทำรายการเกาะติดการบูรณะปราสาทค่ะ ดังนั้นในปราสาทก็จะมีแขก 2 คน คือ Seb กับ Chloe มาทำรายการทีวี และพี่เลี้ยงเด็กอีกหนึ่งคน คือ Helen 

ในหนังสือเริ่มบทแรกด้วยการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างงานเลี้ยง ... แต่หนังสือยังไม่ทันเฉลยว่าใครคือคนที่ถูกฆ่า หนังสือก็ตัดค่ะ

ในหนังสือ (ถ้าไม่นับบทแรก ที่จบด้วยการฆาตกรรม) จะมีทั้งหมด 3 ภาคด้วยกัน 

ภาคแรกเป็นช่วงเวลาหนึ่งเดือนก่อนเหตุฆาตกรรมในงานเลี้ยงนั้น ... ทำให้เรารู้ว่า Aura และ Nick ย้ายมาจากลอนดอนมาซื้อปราสาทที่ฝรั่งเศส ด้วยเหตุผลแฝงบางอย่างค่ะ เหมือนพวกเขาหนีเหตุอื้อฉาวบางอย่างจากลอนดอนมา ... และก็รู้สึกด้วยว่า Aura มีนิสัยแปลกๆ ค่ะ คือ ไงล่ะ เหมือนพวกคิดถึงแต่ตัวเอง เอาตัวเองเป็นสำคัญ (ไม่ใช่เห็นแก่ตัวนะคะ แต่มันมากกว่านั้น คนเราเวลารู้สึกไม่มั่นคง จะเริ่มเห็นแก่ตัว อันนั้นปกติค่ะ แต่ Aura เนี่ย เหมือนเป็นธรรมชาติของเธอเลย ที่จะคิดถึงแต่ตัวเองก่อน และไม่เคยรู้สึก หรือยอมรับผิดในการกระทำของตัวเอง ประมาณ self-centered น่ะค่ะ) และเราก็รู้สึกด้วยว่า Aura และ Nick พยายามที่จะฟื้นความสัมพันธ์ชีวิตคู่ของพวกเขาอยู่ เหมือนพวกเขามีจุดที่ห่างเหินกันอยู่น่ะค่ะ ...อาจจะมาจากเรื่องที่ลอนดอน? ... และชีวิตคนรวยแถวนั้น ก็แปลกๆ ดีค่ะ รวมถึง Frank เพื่อนบ้านที่ดูจะใจดีจนเกินไปด้วย

---

ภาคที่สอง เล่าย้อนกลับไปสิบเดือนก่อนหน้านั้นค่ะ เขียนในมุมของ Nick ตอนนี้เราจะเริ่มเห็นแล้วว่า เรื่องอื้อฉาวอะไรที่ลอนดอน ที่เป็นเหตุให้ทั้งคู่ต้องย้ายมาอยู่ฝรั่งเศส ... และเราเริ่มรู้นิสัยของ Aura และ Nick ชัดเจนขึ้น รวมถึงรู้ด้วยว่า ทำไมชีวิตสมรสของพวกเขาเริ่มมีรอยร้าวขึ้น 

Aura ในภาคแรกเหมือนแม่ที่ปกป้องลูกจนเกินควร แม่ขี้กังวล แต่ดูเหมือนไม่สนใจสามี ...แต่เอาเข้าจริง ใช่ค่ะ ปกป้องลูก ไม่ไว้ใจคนอื่นว่าจะดูแลลูกตัวเองได้ดี ..แต่ตัวเองก็เป็นแม่ที่ละเลยลูกเหมือนกัน แถมยังเป็นพวกต่อต้านวัคซีนอีก ไม่พาลูกฉีดวัคซีน!!! ... คือสรุปว่า โง่ คิดถึงแต่ตัวเอง ส่วน Nick นั่นเป็นตัวแทนของผู้ชายปกติน่ะค่ะ (คือไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนปกติ) รักลูกและภรรยา แต่มีภรรยาเพี้ยนแบบนี้ ชีวิตก็สั่นคลอนค่ะ 

ในภาคที่สองนี้ เล่าถึงตอนที่ทั้งคู่ยังอยู่ลอนดอน และ Nick ยังทำงานเป็นครูโรงเรียนมัธยม ในขณะที่ Aura เป็นแม่บ้าน ดูแลลูกเล็กสองคน และ Aura ชักจะไม่ไหวกับการต้องดูแลเด็กแล้ว ต้องการกลับไปทำงานและเรียนค่ะ ... เลยจะส่งลูกทั้งสองเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กในช่วงกลางวัน ... ตอนนี้ชีวิตสมรสของทั้งคู่เริ่มไม่โอเคแล้วค่ะ (ในส่วนความรู้สึกของ Nick นะ ในขณะที่ Aura นั้นดูเหมือนไม่สนไม่แคร์อะไรนอกจากตัวเองอยู่แล้ว)

---

ภาคที่สาม เล่าเรื่องหลังเหตุฆาตกรรมค่ะ ...ดูเหมือนว่ามีใครบางคนรู้เรื่องที่ลอนดอนของ Nick และ Aura ค่ะ และก็เฉลยเจตนาเบื้องหลังของเพื่อนบ้านที่แสนดีอย่าง Frank 

สำหรับคนอ่าน พฤติกรรมของ Helen ก็ดูน่าสงสัยค่ะ เพราะเธอแสนดี (เกินไป) ... แต่ในหนังสือ Aura ไม่สงสัยใครเลยค่ะ คือเธอเป็นคนประเภทคิดถึงแต่ตัวเอง และคิดว่าใครจะช่วยเธอได้บ้าง และยึดติดกับคนนั้น 

สุดท้ายแล้วใครเป็นฆาตกร? ความแค้นอะไรที่ทั้งคู่ต้องชดใช้? ... มีเฉลยในภาคที่สามนี้ค่ะ


  


Wednesday, February 2, 2022

A Gift from the Comfort Food Cafe

 


หนังสือชื่อ  :  A Gift from the Comfort Food Cafe

ผู้แต่ง  :  Debbie Johnson

สำนักพิมพ์  :  HarperCollins Publishers


เป็นนิยายอ่านเรื่อยๆ ค่ะ ออกเฉื่อยๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้น เรื่องที่เกิดขึ้นออกแนว Slice of life มากกว่า เหมาะกับการอ่านตอนว่างๆ ค่ะ

เรื่องเขียนโดยเล่าในมุมของตัวเอกของเรื่องคือ Katie ซึ่งเธอเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่เป็นคู่เวรคู่กรรมกันน่ะค่ะ ทะเลาะกัน ตบตีกันเป็นประจำ คือทั้งคู่ต่างใช้ความรุนแรงเข้าใส่กัน แม่ก็ดราม่าควีน พอโมโหทุบตีพ่อ พ่อถูกทุบมาก็ทุบกลับ ไม่โกง ... ที่ซวยคือ ลูกที่อยู่ตรงกลางไงคะ

Katie โตมาแบบนี้แหละค่ะ พอพ่อแม่ทะเลาะตบตีกันที เธอก็หนีไปบ้านยายที่อยู่ไม่ไกลนัก ... แต่ต่อมายายเสียชีวิต Katie ขาดหลักยึด เคว้ง พ่อแม่ทะเลาะกันที เธอก็ออกจากบ้านที ไปเรื่อยๆ ค่ะ บางทีก็นั่งรถบัสไปเรื่อยๆ ...ส่วนเพื่อนนั่นไม่ต้องพูดถึงค่ะ เธอไม่กล้าพาเพื่อนมาบ้าน เพราะบทจะดราม่า พ่อแม่ก็สามารถทะเลาะขว้างปาข้าวของใส่กันโดยไม่สนใจใครเลยค่ะ ... ตอนที่พ่อแม่ทะเลาะกันแล้วเธอหนีออกมานั้น พ่อแม่แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกหายออกจากบ้านไปแล้ว คือมัวแต่ทะเลาะกันอยู่ไม่สนใจโลก

ถึงทะเลาะตบตีกันขนาดนี้ แต่ทั้งคู่ก็ไม่เลิกกันนะคะ นี่แหละค่ะ คู่เวรคู่กรรมของแท้ ครั้งหนึ่งแม่เคยบอกว่า ที่ไม่เลิกกับพ่อ เพราะอยากให้ Katie มีครอบครัวสมบูรณ์ (จ๊ะ! ดราม่าควีน โยนความผิดของตัวเองไปให้ลูก) 

พอโตขึ้น มาถึงชีวิตส่วนตัวของ Katie เอง เธอก็ดูเหมือนจะซ้ำรอยพ่อแม่ค่ะ คือมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย วุฒิภาวะยังไม่เพียงพอทั้งคู่ ดังนั้นก็เลยทะเลาะกันบ่อย จนวันหนึ่งแฟนเผลอทำร้ายร่างกาย ... นั่นคือจุดสิ้นสุดค่ะ Katie ขอเลิก และย้ายมาอยู่ที่ Budbury

ดังนั้นสิบกว่าบทแรกของหนังสือจึงบรรยายถึงปมในใจของ Katie ค่ะ ทำให้เธอเป็นคนขึ้กลัว ไม่กล้ามีสัมพันธ์กับใคร ไม่ไว้ใจใคร ไม่มอบหัวใจให้ใครง่ายๆ และพร้อมที่จะหนีออกจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนตลอดเวลา ... แต่หมู่บ้านเล็กใน Budbury เยียวยาหัวใจของ Katie ค่ะ 

The Comfort Food Cafe เป็นร้านอาหารอยู่บนหน้าผาที่ Budbury, Dorset วิวสวย เจ้าของร้านใจดี ขนมเค้กอร่อย ทุกคนรอบๆ ตัว Katie กับ Saul น่ารักทั้งหมดเลยค่ะ 

Katie ที่ระมัดระวังหัวใจตัวเองเสมอมา กลับเผลอใจไปชอบ Van หนุ่มฮอต พี่ชายของ Auburn เจ้าของร้านขายยาที่ Katie ทำงานด้วยค่ะ Van น่ารัก ใจดี และรักเด็กมาก ...จนในโลกใบเล็กๆ ของ Saul เข้าใจว่า Van คือพ่อของเขาด้วยซ้ำ (ในขณะที่พ่อที่แท้จริงของ Saul แต่งงานใหม่ และย้ายไปอยู่สก็อตแลนด์แล้ว และไม่ได้เจอกับ Saul นานมากแล้ว)

หนังสือจึงเล่าการพยายามคลายปมของ Katie น่ะค่ะ ให้เธอกลับมากล้าที่จะมีความสัมพันธ์อีกครั้ง กล้าที่จะวางราก ไม่พยายามทำตัวจะหนีไปตลอดเวลา ... โดยมีบทพิสูจน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น แม่ที่ทะเลาะกับพ่อ แล้วหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่กับเธอ พ่อของ Saul ที่กลับมาติดต่อกับ Katie อีกครั้ง และขอมาเยี่ยมลูก หรือ Van ที่รุกจีบเธอ ในขณะที่เธอรู้สึกว่ายังไม่พร้อม

ก็สนุกดีค่ะ ลุ้นว่า Katie จะคลายปมในใจของเธอได้หรือไม่ ... แต่หนังสือไม่ค่อยมีฉากหวานๆ ของ Katie และ Van นะคะ ออกแนวความสัมพันธ์ระหว่าง ครอบครัว เพื่อน แนวนั้นมากกว่าค่ะ