Thursday, April 23, 2015

The Dutch and their Delta



หนังสือชื่อ  :  The Dutch and their Delta
                Living below sea level
 
ผู้แต่ง  :  Jacob Vossestein
 
สำนักพิมพ์  :  XPat Media
 
 
เนื่องด้วยออยย้ายมาอยู่ประเทศเนเธอร์แลนด์ค่ะ  จึงอยากรู้จักประเทศนี้ให้มากขึ้น เลยหาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน อ่านแล้วไม่ผิดหวังค่ะ รู้จักประเทศนี้ และเข้าใจคนดัตช์มากขึ้นจริงๆ
 
คำกล่าวที่ว่า "God created the earth, but the Dutch crated the Netherlands" ไม่ไกลเกินความจริงเลยค่ะ ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ จะรู้สึกเคารพ และทึ่งในความพยายามของมนุษย์มากเลยทีเดียว
 
สมัยเด็กๆ เคยอ่านข่าวเจอว่า เนเธอร์แลนด์มีจังหวัดเพิ่มขึ้นอีกจังหวัดหนึ่ง จากการสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือมนุษย์ ตอนนั้นก็คิดว่าเขาถมทะเล เขาขยะ ดิน สิ่งต่างๆ มาถมทะเล เกิดเป็นแผ่นดินใหม่ ...แต่ ความจริงแล้วไม่ใช่เลยค่ะ ดัตช์ไม่มีถมทะเล ผืนดินที่ได้มา เกิดจากการสูบน้ำออกทั้งสิ้น!!!
 
ถมทะเลไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สูบน้ำทะเลออกเพื่อสร้างผืนดิน นี่ยากกว่าค่ะ การสูบน้ำออกทำให้ได้ผืนดินใหม่ในพื้นที่ที่มากกว่าการถม และพื้นดินใหม่ก็สามารถใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรมได้ด้วย
 
ทราบหรือไม่คะ ว่าสนามบินของประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่เรียกว่า สนามบิน Schiphol ในปี 1860 คงคงเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่เลย ต่อมามีการสูบน้ำออก กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ก่อนเปลี่ยนมาเป็นสนามบินอย่างเช่นทุกวันนี้ ชื่อ Schiphol ก็มาจาก ship (เรือ) + hole (รู) สืบเนื่องจากสมัยที่พื้นที่นี้ยังเป็นทะเลสาบนั้น เรือหลายลำอับปางลงในทะเลสาบนี้ค่ะ
รันเวย์ในสนามบิน Schiphol อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 4-5 เมตร และถ้าเราออกจากสนามบิน มาขึ้นรถไฟ สถานีรถไฟ Schiphol อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 10 เมตร !
 
สรุปจากที่อ่านนะคะ อยากจะเเบ่งการต่อสู้ของคนดัตช์กับน้ำ ออกเป็นสองส่วนค่ะ คือ
 
1) การสร้างพื้นดิน
 
เช่นการเอาน้ำออกจากทะเลสาบ Haarlemmermeer ซึ่งตอนนี้ส่วนหนึ่งของทะเลสาบนั้นคือ สนามบิน Schiphol ค่ะ
 
หรือ อีกงานที่ยิ่งใหญ่กว่า คือ การเอาน้ำออกจาก Zuyder zee เเล้วสร้างจังหวัด Flevoland โครงการนี้มีแนวคิดมานานแล้วค่ะ แต่สมัยนั้นยังมีแต่กังหันลม แรงกังหันลมไม่เพียงพอที่จะสูบน้ำออกได้ จนกระทั่งมีวิทยาการสมัยใหม่เกิดขึ้น มีการประดิษฐ์ปั๊มสูบน้ำ โครงการนี้จึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้ง ภายใต้การผลักดันของ Cornelis Lely รัฐมนตรีกระทรวงน้ำ
 
การทำงานคร่าวๆ เริ่มจาก สร้างเขื่อน Afsluidijk ชะลอ และกั้นน้ำ (เขื่อนนี้ยาวถึง 70 กิโลเมตรเชียวค่ะ) จากนั้นก็สูบน้ำออก พื้นที่ที่สูบน้ำออกจนเป็นพื้นดินเรียกว่า polder โดยแต่ละ polder จะมีคลองระบายน้ำอยู่รอบๆ ดินที่อยู่ใต้น้ำทะเลมานานก็จะเป็นดินเค็ม ดัตช์ก็ปลูกพืชจำพวกกก เพื่อลดความเค็มในดิน เมื่อดินหมดเค็มแล้ว ก็ทำการตัดกก กกที่ตัดนั้น สามารถน้ำไปใช้ในการสร้างฝายกั้นน้ำต่อได้ค่ะ ดินที่ได้ก็จะเหมาะกับการทำการเกษตรแล้ว
 
ปัจจุบัน Afsluidijk มีถนนอยู่บนคันกั้นน้ำนี้ เราสามารถขับรถไปได้ตลอดเเนวเขื่อนเลยค่ะ แต่ยังไม่มีทางรถไฟนะคะ คาดว่าในอนาคตอาจจะมี
 
2) การป้องกันน้ำท่วม
 
แรงบันดาลใจสำคัญมาจากเหตุการณ์เมื่อคืนรอยต่อระหว่างวันที่ 31 มกราคม กับ 1 กุมภาพันธ์ ปี 1953 ค่ะ เกิดคลื่นสูงในทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ (ไม่ใช่ซูนามิ หรืออะไรนะคะ แต่ทะเลแทบนั้นค่อนข้างจะแปรปรวนอยู่แล้ว) เหตุการณ์ครั้งนั้น คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 1,800 คน
 
หลังจากเหตุการณ์น้ัน แทบจะกล่าวได้ว่า คนดัตช์มีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์นี้อย่างมาก ถึงขั้นสาบานว่าจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ดังนั้นโครงการ Delta Project จึงเกิดขึ้นค่ะ
 
Delta Project ประกอบด้วยการสร้าง คันกั้นน้ำและเขื่อน ตามที่ต่างๆ 12 เขื่อน รอบๆ ส่วนที่ติดกับทะเลเหนือค่ะ โครงการนี้ใช้เวลายาวนานถึง 45 ปี จึงสิ่งเหล่านี้เสร็จ ...แต่งานยังไม่จบนะคะ ยังต้องมีการบำรุงรักษา ต้องคอยติดตามระดับน้ำที่เพิ่มสูงทุกปี อันเนื่องจากสภาวะโลกร้อนด้วย
 
และทุกๆ ประมาณวันที่ 31 มกราคม จะมีการ update รายงานความคืบหน้าของโครงการนี้ให้ประชาชนทราบทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติด้วยค่ะ
 
เขื่อนและคันกั้นน้ำเหล่านี้ ใช้เทคโนโลยีระดับสูง และงบประมาณจำนวนมากเลยค่ะ จนกล่าวได้ว่า Delta Project ถือเป็นมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมของโลก
 
การจัดการน้ำในเนเธอร์แลนด์แบ่งออกเป็น 2 ระดับค่ะ คือ 1) Waterschap เป็นการจัดการน้ำระดับท้องถิ่น มีการเลือกตั้งผู้บริหารน้ำโดยประชาชนในท้องถิ่นด้วยค่ะ คนดัตช์ทุกครัวเรือนจะต้องจ่ายภาษีน้ำให้แก่องค์กรนี้ทุกปี (นอกเหนือไปจากค่าน้ำที่ต้องจ่ายตามจริงอยู่เเล้ว)
2) Rijkswaterstaat ถ้าเทียบเป็นไทย ก็คือ ทบวง เป็นองค์กรระดับประเทศในการจัดการน้ำ งบประมาณที่ทบวงนี้ใช้ต่อปีอยู่ที่ 5,000 - 6,000 ล้านยูโร เฉลี่ยคนดัตช์จ่าย 330 ยูโรต่อคนต่อปี ...ถือว่าไม่เลวเลยค่ะ
 
หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกค่ะ โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ และอยากรู้จักประเทศนี้ให้มากขึ้น หนังสือมีภาพสวยๆ ให้ดูด้วย ข้อเสียคือเนื้อเรื่องไม่ค่อยปะติดปะต่อกันในเรื่องของช่วงเวลา ผู้เขียน เขียนโดยยึดภูมิศาสตร์เป็นหลัก ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ ดังนั้นบางครั้งเรื่่องจึงข้ามไปข้ามมา อ่านแล้วชวนให้งง
 
 
 


Wednesday, April 22, 2015

โรงแรมผีนรก2 : Doctor Sleep



หนังสือชื่อ :  Doctor Sleep
 
ผู้แต่ง  :  Stephen King
 
สำนักพิมพ์  :  Hodder & Stoughton
 
 
ถ้าใครเป็นแฟนหนังสือของ Stephen King  คงจะเคยอ่านหนังสือ หรือดูหนังเรื่อง the shining กันนะคะ หนังสือเรื่องนี้มีแปลเป็นภาษาไทยด้วย ใช้ชื่อว่า "โรงแรมผีนรก" แปลโดย คุณสุวิทย์ ขาวปลอด ค่ะ หนังสือเล่มนี้คือเล่ม 2 ของ the shining ค่ะ
 
แรงบันดาลใจของการเขียนหนังสือเล่มนี้ King เล่าไว้ว่าเกิดจาก เมื่อราว 5 ปีที่แล้ว มีผู้อ่านถามเขาค่ะว่า เกิดอะไรขึ้นกับแดนนี่เด็กน้อย ตอนนี้เขาเป็นอย่างไร เด็กน้อยแดนนี่จะโตขึ้นแล้วติดเหล้าเหมือนพ่อของเขาหรือเปล่า แดนนี่ยังคงเห็นผีอยู่หรือเปล่าเมื่อโตขึ้น...คำถามนี้เป็นเเรงบันดาลใจให้ King เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ
 
หนังสือ The Shining พิมพ์ครั้งแรกตอนปี 1977 ค่ะ และเล่มนี้ พิมพ์เมื่อปี 2013 ระยะเวลาห่างกัน 36 ปีค่ะ
 
หลังจากที่แดนนี่ และเเม่ รอดชีวิตจากโรงแรมผีนรก Overlook ได้แล้วนั้น แดนนี่ก็ยังคงมองเห็นผีอยู่ค่ะ ในช่วงแรก หากแต่ Dick เพื่อนต่างวัยของแดนนี่สอนให้เขาเอาชนะภาพน่ากลัวเหล่านั้น โดย Dick เรียกความสามารถพิเศษของแดนนี่ ว่า the shining ซึ่งตัว Dick เองก็มีความสามารถนี้เช่นกันค่ะ
 
แต่เมื่อแดนนี่โตขึ้น เขาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชีวิตมากนัก แถมยังเป็นคนติดเหล้าเสียอีก ถังแตกด้วย หมดเงินไปกับเหล้า และคืนหนึงหลังจากที่เขาเมามายไม่ได้สติ เชาได้กระทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกละอายใจ ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะอ้างว่าเขาไม่มีทางเลือกก็ตาม
 
จากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาเดินทางไปอย่างไม่มีจุดหมายโดยนั่งรถบัสไปค่ะ จนกระทั่งไปถึงที่ๆ หนึ่งในรัฐนิวแฮมเชียร์ ที่นั่น แดนนี่ได้พบกับ Billy ที่มี shining เหมือนกับเขา แดนนี่ได้ทำงานร่วมกับ Billy ค่ะ และแดนนี่ก็ได้เข้าร่วมกลุ่มเพื่อการงดเหล้าด้วย
 
ชีวิตแดนนี่ดีขึ้นมากค่ะ เขาหยุดเหล้าได้ ได้งานทำที่ Helen Rivington house ที่นี่เขาได้ใช้ shining ของเขาให้เป็นประโยชน์ด้วยการส่งผู้ป่วยที่กำลังหมดลมหายใจให้ไปสู่ภพภูมิใหม่ จนแดนนี่ได้ฉายาว่า doctor sleep ค่ะ
 
ในขณะที่ชีวิตแดนนี่ดำเนินไปนั้น ก็มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า The True Knot โดยมี Rose the hat เป็นหัวหน้า พวกเขาเดินทางไปเรื่อยทั่วอเมริกาด้วยรถบ้าน กลุ่ม True Knot นี้ลักพาตัวและฆ่าเด็กที่มี shining ค่ะ พวกเขารวยและมืออาชีพ ตำรวจไม่มีทางจับตัวพวกเขาได้แน่นอน
 
ในขณะที่ชีวิตของแดนนี่ดำเนินไปนั้น แดนนี่มีความผูกพันแปลกๆ กับเด็กน้อยที่ชื่อ Abra ค่ะ Abra เป็นเด็กที่มี shining เเข็งเกร่งมาก เธอสามารถสื่อสารกับแดนนี่ได้ ทั้งๆ ที่ทั้งคู่ไม่เคยเจอกันมาก่อน
 
Shining ของ Abra เป็นที่ต้องการของพวก True Knot ค่ะ พวกมันกำลังมาที่เมืองนิวเเฮมเชียร์นี้ เพื่อที่จะมาจับตัว Abra พวกมันต้องการตัว Abra เป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกมันเชื่อว่า พลัง shining ของ Abra จะสามารถรักษาโรคระบาดที่พวกมันเป็นกันอยู่ได้
 
งานนี้พึ่งพาตำรวจไม่ได้เลยค่ะ แดนนี่กับ Abra และคนอื่นๆ ต้องร่วมมือกัน พวก True Knot จะไม่หยุดจนกว่าจะได้ตัว Abra ดังนั้นจึงมีทางเลือกเดียวที่ Abra ต้องทำ คือ ต้องสู้เท่านั้น !!!
 
ส่วนตัวคิดว่า หนังสือเล่มนี้สนุกกว่าเล่มแรกค่ะ เล่มแรกนั้น หลอนและลุ้น เพราะแดนนี่เด็กน้อยช่วยตัวเองไม่ได้ ยังเป็นเพียงเด็ก เป็นเหยื่อของการกระทำของผู้ใหญ่ แต่เล่มสองนี้ แดนนี่โตแล้ว ต้องลุ้นกันว่าเขาจะสามารถปกป้อง Abra ได้หรือไม่ ...และมีความลับอะไรบ้างอย่างของครอบครัวแดนนี่ ที่เคยหลงลืมไป กำลังจะกลับมากระจ่างอีกครั้งในเล่มนี้ค่ะ
 
หนังสือเล่มนี้่มีแปลเป็นภาษาไทยแล้วด้วยนะคะ ชื่อว่า "ลางนรก" คุณโสภณา เชาว์วิวัฒกุล เป็นผู้แปล ของสำนักพิมพ์แพรวค่ะ