Monday, January 31, 2022

The Silent House

 


หนังสือชื่อ  :  The Silent House

ผู้แต่ง  :  Nell Pattison

สำนักพิมพ์  :  HarperCollins Publishers


สนุกมากค่ะ ลุ้น อ่านวางไม่ลง ต้องอ่านรวดเดียวจบ เสียงานเสียการ 

เป็นเรื่องของฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในบ้านคนหูหนวกค่ะ เหตุเกิดที่เมือง Scunthorpe ของอังกฤษ มีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น คนที่โดนฆ่าตายคือเด็กน้อย Lexi อายุแค่ 18 เดือนเองค่ะ ถูกฆ่าตายในตอนกลางคืน ขณะนอนหลับอยู่ในห้องเดียวกับพี่น้องอีกสองคน ในขณะที่ Lexi ถูกฆ่าตายอย่างทารุณ แต่ Jaxon พี่ชาย และ Kasey น้องสาวต่างแม่ของ Lexi ที่นอนอยู่ในห้องเดียวกัน ไม่ได้รับอันตรายใดๆ ค่ะ

ใครหนอ ฆ่าเด็กสิบแปดเดือนได้ลงคอ?

ปัญหาคือทั้งบ้านนั้น หูหนวกกันทั้งบ้านเลยค่ะ แล้วบ้านนี้ก็ดราม่า ... หนังสือนำเราไปสู่สังคมคนหูหนวกในเมือง Scunthorpe ซึ่งเป็นสังคมเล็กๆ คนหูหนวกมักจะแต่งงานกับคนหูหนวกด้วยกัน (คงเพราะอุปสรรคเรื่องการสื่อสารมั่งค่ะ เพราะคนหูไม่หนวกใช้ภาษามือไม่เป็น และไม่สามารถสื่อสารกับคนหูหนวกได้อย่างราบรื่นถึงขนาดจะจีบกัน หรือสนิทกันได้) แล้วบางโรคหูหนวกเป็นกรรมพันธุ์น่ะค่ะ พอคนหูหนวกแต่งงานกับคนหูหนวก ลูกก็เกิดมาหูหนวกไปด้วย เหมือนอย่างบ้านของ Lexi ทั้งพ่อแม่เป็นคนหูหนวก Jaxon พี่ชายก็หูหนวก 

ตัวเอกของเรื่องชื่อ Paige Northwoord เป็นล่ามภาษามือ ไม่ได้เป็นคนหูหนวก แต่โตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ และน้องสาวเป็นคนหูหนวกค่ะ 

ในเรื่อง Paige รับผิดชอบเป็นล่ามภาษามือให้กับตำรวจ และ Paige เอาตัวเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ (จนเกินไป) เนื่องจาก Anna น้องสาวของ Paige เป็นแม่ทูนหัวของ Lexi เด็กน้อยที่เสียชีวิตค่ะ รวมถึงตัว Paige เองมีอดีตในใจ ในคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับเพื่อนรุ่นน้องของเธอเมื่อ 15 ปีก่อน คือตอนนั้นเธอยังเด็ก เธอไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ Paige เองก็แบกความรู้สึกผิดไว้ในใจ ความรู้สึกผิดที่เธอรู้อะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้บอกใคร จนทุกอย่างสายเกินไป

ครอบครัว Lexi มีดราม่าค่ะ พ่อของ Lexi ชื่อ Alan มีเมียสองคน คือระหว่างที่อยู่กินกับ Laura แม่ของ Lexi ก็คบซ้อน นอกใจไปมีอะไรกับผู้หญิงอีกคน คือ Elisha แล้วทำผู้หญิงทั้งคู่ท้องไล่ๆ กัน แล้วอีตา Alan ก็ทิ้ง Laura มาอยู่กินกับ Elisha ซะงั้น

มันเป็นเรื่องของการ "ควบคุม" การบงการชีวิตคนอื่น ตัวละครในเรื่องไม่คอนโทรลคนอื่น ก็โดนคอนโทรล เช่น Alan ที่มีเมียทีเดียวสองคน แล้วผู้หญิงทั้งคู่ก็ยังรักเขา อย่าง Laura เนี่ย ก็ยังรัก ยังหวังให้ Alan กลับมาหาเธอ อีตา Alan นั่นไม่เห็นมีอะไรดีค่ะ คือไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงถึงรักภักดี ลูกก็ไม่เลี้ยง ทุกสัปดาห์จะรับ Lexi กับ Jaxon มาอยู่ที่บ้าน แต่ไม่เลี้ยง โยนให้แม่เลี้ยงคือ Elisha เลี้ยงเด็กทั้งสามคนแทน ส่วนตัวเองไปกินเหล้ากับเพื่อนข้างนอก!!!

หรือ Bridget แม่ของ Laura ก็บงการลูกสาว คือต้องเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินใจแทนลูกในทุกเรื่อง เนื่องจาก Bridget ไม่ใช่คนหูหนวก ดังนั้นบางครั้งเธอจึงทำหน้าที่เป็นล่ามให้ลูกสาว แต่ก็ไม่แปลให้ กลับตัดสินใจแทนซะงั้น

หรือ Paige ก็เคยตกเป็นเหยื่อของการควบคุมจากแฟนเก่า กว่าจะเลิกกันได้ แฟนเก่าทิ้งหนี้ทิ้งสินเอาไว้ให้จนเกือบหมดตัว

หรือแม้กระทั่ง Max พี่ชายของ Elisha ก็ก้าวก่าย บงการให้ Elisha เลิกกับ Alan และก็เวลา Max คุยกับ Paige ก็สัมผัสถึงการพยายามบงการอยู่ในที 

คืออ่านไปก็ขัดใจไป จะไปยุ่งเรื่องคนอื่นทำไมเนี่ย!!! คือเหมือนคนหูหนวกมีข้อจำกัดในการสื่อสารกับคนหูไม่หนวก ทำให้ได้นิสัยขี้บงการติดตัว ผู้ชายหูหนวกจะบงการผู้หญิง ...หรืออาจจะเป็นเพราะการสื่อสารไม่สามารถทำด้วยเสียงได้ ดังนั้นเพื่อดึงความสนใจของคู่สนทนา จึงต้องมีการจับไล่ บีบแขน เพื่อเรียกความสนใจ? ซึ่งถ้าเกิดขึ้นในคนหูไม่หนวก จะมองว่านี่คือการคุกคามและพยายามคอนโทรล?

สรุปแล้วใครเป็นคนฆ่า Lexi? และทำไมต้องเป็นหนูน้อย Lexi? 

ฆาตกรแอบเข้ามาในบ้าน และสังหารเด็กน้อยอายุสิบแปดเดือนอย่างเหี้ยมโหดอย่างที่ทั้ง Alan และ Elisha อ้างจริงหรือไม่? สนุกค่ะ เป็นหนังสือเล่มแนะนำเลยค่ะ




Saturday, January 29, 2022

Olive

 


หนังสือชื่อ  :  Olive

ผู้แต่ง  :  Emma Gannon

สำนักพิมพ์  :  HarperCollins Publishers


ทำไมนิยายโรมานซ์ถึงต้องจบด้วยนางเอกพระเอกแต่งงานกัน และ "มีลูก"? ทำไมเวลาคนสองคนตัดสินใจแต่งงานกัน คนอื่นจะคาดหวังว่า เมื่อไรทั้งคู่จะมีลูกด้วยกัน?

เป็นไปได้ไหมที่จะมีผัว แต่ไม่เอาลูก?

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องของโอลีฟ (Olive) ค่ะ โอลีฟมีเพื่อนรัก 3 คนคือ Bea, Cecily และ Isla ทั้งสี่เนี่ยเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็กๆ อยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกัน ไปเที่ยวด้วยกัน เข้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน เช่าบ้านพักในมหาวิทยาลัยด้วยกัน จบพร้อมกัน แยกย้ายกันไปทำงาน และก็นัดสังสรรค์ด้วยกันสม่ำเสมอ

แต่ถึงเป็นเพื่อนรักกันยังไง ทุกคนก็ต่างมีชีวิตของตนเองค่ะ ... และตอนนี้ก็ถึงจุดทางแยก ที่ดูเหมือนแต่ละคนจะแยกห่างๆ จากกันแล้ว อย่าง Bea นั่นก็คุณแม่ลูกสาม ส่วน Cecily กำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอด ส่วน Isla กำลังพยายามจะตั้งครรภ์ ด้วยการทำ IVF และล้มเหลวไปแล้วครั้งหนึ่ง ... แล้ว Olive ล่ะ โอลีฟรู้สึกเหมือนเธอถูกทิ้งน่ะค่ะ เหมือนเพื่อนรักทุกคนมีความก้าวหน้าในชีวิต หรือกำลังขยับเคลื่อนที่ไปในบทใหม่ของชีวิต แต่ตัวเธอกลับติดอยู่กับที่

โอลีฟเพิ่งเลิกกับ Jacob แฟนที่คบกันมายาวนานเกือบสิบปี และก็ไม่มีโอกาสอัพเดทข่าวนี้แก่เพื่อนๆ เลยค่ะ ไม่มีใครอยู่ข้างเธอในช่วงที่เธอโดดเดี่ยวนั้น เพราะเพื่อนๆ ทุกคนมีอย่างอื่นสำคัญกว่าในชีวิตที่ต้องสนใจ คือ หน้าที่ของการเป็น "แม่" 

สาเหตุที่โอลีฟเลิกกับแฟนเนื่องจาก แฟน Jacob อยากมีลูกค่ะ แต่โอลีฟไม่อยากมี <-- อันนี้เราว่านางเห็นแก่ตัวนะ คือเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ และ Jacob เองก็ส่งสัญญาณมาตั้งแต่คบกันปีแรกๆ แล้วว่าเขาอยากมีลูก เขารักเด็ก แต่โอลีฟไม่กล้ายกเรื่องนี้มาคุย เพราะกลัวว่าจะต้องเลิกกัน ...ซึ่งมันต้องเลิกกันแน่ๆ แหละ เรื่องนี้เรื่องพื้นฐานสำคัญที่ถ้าไม่เห็นพ้องต้องกัน ก็ควรจะเลิกกัน เสียเวลาดีๆ ของ Jacob ที่จะได้เจอคนที่เขาต้องการเหมือนกัน มีลูกด้วยกัน

นักเขียนให้โอลีฟเป็นคนธรรมดาเหมือนอย่างเราๆ เนี่ยล่ะค่ะ เขียนในมุมมองของโอลีฟ ให้เราคนอ่านเป็นผู้ตัดสิน ...บางสิ่งที่โอลีฟทำก็เหมือนเธอคิดถึงแต่ตัวเอง แต่มีใครบ้างล่ะที่ไม่คิดถึงตัวเองก่อน? 

เหมือนโอลีฟยึดติดกับความสัมพันธ์ของเพื่อนๆ ทั้งสามมาก และอยากให้ทุกอย่างดำเนินด้วยดีตลอดไปเหมือนในอดีต ... แต่เวลาเปลี่ยน ชีวิตคนก็เปลี่ยน มันเป็นไปไม่ได้หรอก 

โอลีฟซึ่งไม่อยากมีลูก อยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิทที่เป็นคุณแม่หรืออยากเป็นแม่ ดังนั้นบทสนทนาของพวกเพื่อนๆ จึงเป็นสิ่งที่โอลีฟเข้าไม่ถึง และรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง รู้สึกแปลกแยก เพราะตัวโอลีฟนั้นไม่อยากมีลูก แม้พยายามเปิดใจ พยายามคิดว่าเธอจะเปลี่ยนใจ ..​. แต่ทำอย่างไร ก็ไม่เลยค่ะ ไม่มีความอยากตั้งท้อง ไม่มีความอยากเลี้ยงเด็ก ... คือเด็กน่ะน่ารักแหละ แต่ให้มีเป็นของตัวเองไม่เอา

จริงๆ สำหรับเราคนอ่าน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยค่ะ แต่เราเข้าใจโอลีฟนะ เราเองก็ไม่มีลูก เวลาเพื่อนๆ ที่เป็นแม่คนพูดคุยกัน เราก็รู้สึกเหมือนเป็นคนนอก แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญไง ดูอย่าง Zeta พี่สาวของโอลีฟสิ เธอเองก็ยังไม่มีลูก มีแฟนหรือเปล่าหนังสือไม่ได้บอก แต่ก็สบายดี ทำงาน สนุกกับงานที่ทำ ไม่เห็นจะเป็นประเด็นสำคัญของเธอเลยเรื่องจะมีไม่มีลูก

โอลีฟเหมือนกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อของความลังเลน่ะค่ะ ใจจริงคือไม่อยากมีลูก แต่กลัวว่าพลาดอะไรบางอย่างไป คืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนแต่งงานและมีลูกน่ะค่ะ

ในนิยายแสดงให้เห็นอีกด้านของคนเป็นแม่ คือแม่บางคนก็ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว แต่ในขณะที่บางคนก็ไม่ มีเวลาให้ลูกจนลืมผัว หรือบางคู่ ผู้หญิงก็พยายามจะมีลูกมากเกินไป จนลืมไปว่าบางทีผู้ชายไม่ได้อยากมีลูกมากขนาดนั้น ... การเป็นแม่คนไม่ใช่เรื่องง่ายค่ะ และเมื่อไรก็ตามที่ตัดสินใจมีลูกแล้ว เราไม่สามารถย้อนเวลากลับได้ ลูกคือความรับผิดชอบที่ต้องอยู่กับเราตลอดไป หรืออย่างน้อยจนกว่าเขาจะโตพ้นอกเราไปแล้ว

เรื่องนี้สนุกและได้แง่คิดค่ะ เหมาะสำหรับคนที่กำลังอยู่ในช่วงรอยต่อแบบโอลีฟ คือใจลึกๆ ไม่อยากมีลูก ไม่มีสัญชาตญาณรักเด็ก หรืออยากตั้งท้องผุดขึ้นในหัวเลย แต่ขณะเดียวกันก็กลัวว่าจะพลาดอะไรไปถ้าไม่มีลูก กลัวว่าตอนแก่จะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีลูก ทำนองนั้น ...ซึ่งก็เหมือนในหนังสือเขียนไว้ค่ะว่า "เราไม่มีทางรู้แน่ๆ หรอกว่าการตัดสินใจของเรานั้นถูกต้องหรือไม่ แต่เราควรใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวันโดยตัดสินใจในสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันใช่สำหรับเรา" 



Thursday, January 20, 2022

The Little Paris Patisserie

 


หนังสือชื่อ  :  The Little Paris Patisserie

ผู้แต่ง  :  Julie Caplin

สำนักพิมพ์  : HarperCollins Publishers


Patisseries คือขนมหวานฝรั่งเศสค่ะ เช่น พวกเค้ก มาการอง แอแคลร์ ฯลฯ

หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายโรแมนติก เบาๆ น่ารักๆ ค่ะ ถึงแม้พระเอกจะอารมณ์วัยทอง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไปบ้าง แต่นางเอกน่ารักค่ะ เลยยวนๆ 

นางเอกในเรื่องชื่อ Nina เธอเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่ชาย 4 คน แถมตอนเพิ่งเกิดก็อ่อนแอจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ... ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยค่ะว่าเธอกลายเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยๆ ในสายตาของทุกคนในครอบครัว คืออายุก็จะเกือบสามสิบแล้ว แต่พี่ๆ ยังเป็นห่วงเป็นใยเธอยังกับเธอเป็นเด็กๆ คือครอบครัวอบอุ่น จนชักจะรู้สึกร้อนแหละ

ส่วนพระเอกคือ Sebastian เป็นเพื่อนสนิทกับ Nick พี่ชายของนางเอกค่ะ ... คือนางเอกเราแอบชอบพระเอกมาตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่นแหละ ใครๆ ก็ดูออก พี่ชายก็กีดกันอยู่กลายๆ ..​. นางเอกน่ะคิดว่าไม่มีใครรู้ แต่เนอะ ของแบบนี้ ซ่อนกันได้ที่ไหน

ในขณะที่บ้านของนางเอกอบอุ่น แต่บ้านของพระเอกไม่เลยค่ะ แม่ขี้โรค ป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อย ส่วนพ่อก็บ้างาน ไม่สนใจครอบครัว ดังนั้นตอนวัยรุ่น พระเอกจึงมาขลุกอยู่กับบ้านนางเอกแทน เข้าออกในครัว ทำกับข้าวแทนแม่นางเอก เพราะพระเอกชอบทำกับข้าว ... คือว่าง่ายๆ ว่าบ้านนางเอกคือบ้านพระเอกแหละ 

หลังจากพระเอกเรียนจบ ก็ไม่กลับมาเยี่ยมบ้านเลยค่ะ ติดต่อกับ Nick สม่ำเสมอ แต่ไม่กลับมา ประสบความสำเร็จในงาน และกำลังจะเปิดร้านอาหารที่ปารีสอยู่ ... ส่วนนางเอกก็เปลี่ยนงานไปเรี่อย ล่าสุดถูกเลิกจ้างชั่วคราว เพราะร้านอาหารที่นางเอกทำอยู่นั้นจะปิดปรับปรุง นางเอกก็เลยว่างงาน 

ประจวบเหมาะพอดีที่พระเอกขาหักทั้งสองข้างค่ะ แล้วคราวนี้เนี่ยดันมีคอร์สสอน Patisseries ที่พระเอกต้องสอนในช่วงระหว่างนั้น ยกเลิกก็ไม่ได้ด้วย ... นางเอกเลยเสนอตัว (โดยให้พี่ชายกดดัน) ให้พระเอกรับนางเอกเข้าเป็นผู้ช่วยชั่วคราว ... คือนางเอกอยากเรียนเป็นเชฟขนมหวานค่ะ ส่วนพระเอกไม่มีทางเลือก ตัวเองขาเดี้ยง ไม่สามารถเตรียมการสอนได้ 

นางเอกนิสัยน่ารักค่ะ เป็นคนที่ใครอยู่ด้วยก็สบายใจ เข้ากับคนง่าย นางเอกรู้ใจตัวเองดีว่ายังรักพระเอกอยู่ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร คือรับเท่าที่ได้ ตัวนางเอกไม่ได้คิดว่าพระเอกชอบเธอค่ะ 

ส่วนพระเอก ปากหมาค่ะ คือตอนแรกน่ะเข้าใจได้ว่าเจ็บขา เลยพูดอะไรแรงๆ กับนางเอกไป แต่คนอ่านเห็นสัญญาณว่าพระเอกก็แอบมีใจให้นางเอกมานานแล้วแหละ แต่ฟอร์ม

แต่เห็นเคมีที่ยังไม่เข้ากันหนึ่งอย่างคือ พระเอกยังรู้สึกดูถูกนางเอกอยู่ค่ะ คิดว่านางเอกเป็นพวกหยิบโย่ง ทำอะไรไม่จริงจัง ไม่สู้งาน เพราะถูกตามใจ คือไม่ว่านางเอกทำงานอะไร ถ้าเธอไม่ชอบ เธอก็กลับมาบ้าน ที่บ้านสนับสนุนเธอเสมอ เธอไม่เคยต้อง "สู้" เพื่อให้ได้มา ในขณะที่พระเอกต้องดิ้นรน ต้องสู้เพื่อให้พ่อยอมรับในการตัดสินใจเลือกเรียนเป็นเชฟ ไม่เลือกเรียนทางด้านธุรกิจอย่างที่พ่อต้องการ สู้เพื่อให้ได้รับการยอมรับซะจนหลงลืมแรงบันดาลใจที่ตัวเองเลือกเรียนที่จะเป็นเชฟตั้งแต่แรกไปค่ะ

คอร์สเรียนจัดสัปดาห์ละหนึ่งวันค่ะ ในร้าน Patisseries เก่า ที่อดีตเคยรุ่งเรือง แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าแล้ว ขนมก็ไม่ได้อบเองแล้ว สั่งสำเร็จรูปมาแทน และมีผู้จัดการร้านท่าทางเบื่อโลกอยู่หนึ่งคน 

หนังสือเล่าถึงพัฒนาการความสัมพันธ์ของเพื่อนในชั้นเรียนคลาส Patisseries ค่ะ ที่ทั้งหมดมารู้จักกัน และกลายเป็นเพื่อนกัน และช่วยกันปรับปรุงร้าน (ร้านที่พระเอกยังคิดไม่ออกว่าจะเอาไว้ทำอะไร คือร้านนี้ซื้อแถมมากับอีกสองร้านที่พระเอกต้องการ) แอบกันปรับปรุงร้านโดยไม่บอกพระเอกที่เป็นเจ้าของด้วยนะ นางเอกมาร้านทุกวันค่ะ เพื่อมาฝึกซ้อมทำขนม ทำเสร็จ ขนมนั้น ผู้จัดการร้านก็เอามาขาย ขายดีด้วยนะ อย่าเป็นเล่นไป นางเองมีคิดสูตรใหม่ ผสมผสานระหว่างขนมหวานแบบฝรั่งเศสกับบิสกิตแบบอังกฤษ ...ขายดิบขายดีค่ะ มีลูกค้ามาต่อคิวซื้อ ขนมขายหมดทุกวัน ....แต่ทั้งหมดนี้พระเอกไม่รู้ค่ะ ยังติดกับภาพลักษณ์ว่านางเอกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออยู่ ... ปมตรงนี้ถ้ายังไม่คลี่คลาย ทั้งคู่ก็คงครองรักด้วยกันอย่างเท่าเทียมกันยากค่ะ

คือนะ นางเอกน่ารักและเข้าใจพระเอกที่เป็นคนปากหมา และอยู่ด้วยยากค่ะ คือรู้จักพระเอกมาตั้งแต่เด็กๆ  พระเอกเองถึงจะชอบนางเอกแต่ก็ไม่หาญจีบ เพราะกลัวเสียเพื่อนสนิทไปค่ะ พระเอกแคร์บ้านนางเอกมาก เพราะเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวที่เขามีไงคะ 

แต่ตอนจบ ตอนที่ทุกอย่างคลี่คลาย ... พระเอกก็หวานอยู่นะ คือพอไม่มีฟร์อมต้องเก๊ก ก็แบบรักนางเอกมากกกกๆ  


Wednesday, January 19, 2022

A Year of Taking Chances

 


หนังสือชื่อ  :  A Year of Taking Chances

ผู้แต่ง  :  Jennifer Bohnet

สำนักพิมพ์  :  HarperCollins Publishers


พักจากการอ่านนิยายสืบสวน ฆาตกรรม มาเป็นอ่านนิยายโรแมนติกบ้างค่ะ เล่มนี้ตอนแรกตั้งใจจะอ่านในช่วงวันปีใหม่ ให้สมกับชื่อเรื่อง แต่กลายเป็นว่า ยังอ่านนิยายฆาตกรรมเล่มก่อนหน้านี้ไม่จบ ดังนั้นเล่มนี้จึงเลื่อนมาอ่านหลังปีใหม่แทนค่ะ

อ่านสบายๆ ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ค่ะ เป็นนิยายเรื่อยๆ อารมณ์ Slice of life ค่ะ

นิยายเป็นเรื่องของ 3 สาวกรุงลอนดอน คือ ตอนแรกเนี่ย Jodie กับ Tina เป็นเพื่อนรักกัน และทั้งคู่ยังเช่าแฟลตห้องเดียวกันด้วย สองปีที่แล้วในวันส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ Jodie กับ Tina ไปฉลองกันที่นิวยอร์คค่ะ และทั้งคู่ต่างอธิษฐานต่อจักรวาลคอสมอส ภายในสองปี ชีวิตของทั้งคู่จะต้องมีความเปลี่ยนแปลง สิ้นสุดกันทีกับชีวิตสาวโสด!

ปีกว่าผ่านไป ... ชีวิตของ Jodie เปลี่ยนแปลงค่ะ พบรักกับ Ben นักเขียนชาวฝรั่งเศส แล้วก็ปุ๊บปั๊บ แต่งงาน ลาออกจากงาน และย้ายตาม Ben มาอยู่ฝรั่งเศส ดังนั้นหนังสือในส่วนของ Jodie จึงเล่าถึงการปรับตัวของเธอกับชีวิตใหม่ต่างบ้านต่างเมือง ภาษาใหม่ แม่สามี และต้องเรียนรู้นิสัยของ Ben (เพราะรักกันเร็ว แต่งงานกันเร็ว ยังไม่ทันได้ศึกษากัน) และดูเหมือนแม่ของ Jodie จะมีอดีตที่ไม่เคยบอกเธอด้วยค่ะ (แม่ของ Jodie เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุไปเมื่อสามปีที่แล้ว Jodie ยังทำใจไม่ค่อยได้อยู่ค่ะ ยังเศร้าอยู่เมื่อนึกถึง) 

ส่วนชีวิตของ Tina เหมือนเดิม (ในตอนแรกค่ะ) ยังอยู่แฟลตเดิม ทำงานเดิม ... จนวันหนึ่ง เพื่อนของ Tina แนะนำให้รู้จักกับ Maisie เด็กสาวจากสก็อตแลนด์ ที่ตามมาลอนดอนเพื่อหวังจะมาอยู่กับแฟนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเด็กวัยรุ่น ... แต่กลายเป็นว่า แฟนมีแฟนใหม่ไปแล้ว และทิ้งเธออย่างไม่ใยดี ปล่อยให้ Maisie ต้องเร่ร่อนไร้บ้านในลอนดอนกว่าสองสัปดาห์ จนมาเจอกับ Tina ที่กำลังหาเพื่อนหารหาห้องอยู่ค่ะ

Tina รู้สึกสงสาร Maisie และคิดว่าเธอพอช่วยได้ ก็เลยรับให้ Maisie มาอยู่ด้วย ... และ Maisie คือสาวคนที่สามในเรื่องนี้ค่ะ

ส่วนของ Tina จะเป็นเรื่องงานประจำที่เธอเคยคิดว่าดี แต่ตอนนี้ชักจะไม่ดีแระ เพื่อนร่วมงานเป็นพิษ ... จนในที่สุดเธอก็เลยลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง Tina เป็นเอเย่นซี่ของนักเขียนค่ะ ... ด้วยการก้าวมาเป็นฟรีแลนซ์นี่เอง ทำให้เธอได้รู้จักกับ Luc และรู้สึกคลิกกัน ชอบพอกัน ...​แต่ดูเหมือนชีวิตส่วนตัวของ Luc จะซับซ้อน และมีเรื่องบางอย่างซ่อนอยู่ที่ Luc ยังไม่พร้อมจะแชร์ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อนข้างจะคลุมเครือ คือจะเป็นคนรัก หรือจะเป็นแค่ลูกค้ากับเอเย่นต์?

ส่วนชีวิตของ Maisie ก็เหมือนเด็กสาวเพิ่งก้าวพ้นอกพ่อแม่มาอยู่เมืองใหญ่น่ะค่ะ พยายามทำงานหาเงิน พยายามตั้งต้นชีวิตในเมืองใหญ่ รวมถึงต้องระวังแฟนเก่าซึ่งเริ่มน่ากลัว ตามมาระราน และไม่ต้องการจบความสัมพันธ์ (ทั้งๆ ที่เป็นคนทิ้ง Maisie ไปก่อนตอนแรก)

สนุกค่ะ อ่านง่ายๆ สบายๆ รับพลังบวก รับรู้ถึงมิตรภาพที่ดีต่อกันระหว่างเพื่อน ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละประเทศ แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ง่ายที่ติดต่อ อัพเดทข่าวคราวถึงกันอย่างสม่ำเสมอ 

Thursday, January 13, 2022

The Coffin Maker's Garden

 


หนังสือชื่อ  :  The Coffin Maker's Garden

ผู้แต่ง  :  Stuart Macbride

สำนักพิมพ์  :  HarperCollins Publishers


เป็นการอ่านครั้งแรกของนักเขียนคนนี้ค่ะ หยิบมาอ่านเพราะหน้าปกบอกว่าเป็นคนเดียวกับที่แต่งซีรีย์ DCI Banks ซึ่งบังเอิญเคยดูซีรี่ย์นี้มาก่อนในทีวีน่ะค่ะ เลยอยากรู้ว่าสำนวนเขียนเป็นยังไงค่ะ

อ่านยากค่ะ มารู้ตอนจบว่า หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มล่าสุดในชุดของนักสืบ Ash Anderson -- คือมาอ่านเล่มสาม ดังนั้นจึงเหมือนมาดูหนังตอนกลางเรื่องน่ะค่ะ คืองงไปหลายบทเลยว่าใครเป็นใคร คุยเรื่องอะไรกัน เพราะแต่ละคนในเล่มต่างมีความหลังเชื่อมโยงกันมา

อ่านยากเพราะอังกฤษสำนวนสก๊อตด้วยค่ะ ไม่คุ้น ผู้เขียนบรรยายภาพต่างๆ อย่างละเอียด ซึ่งช่วยได้บ้าง แต่ยังไงก็ไม่คุ้นกับภูมิประเทศของสก๊อตแลนด์ ก็จะจินตนาการตามยากสักนิดค่ะ

.

เรื่องมันเริ่มจากที่มีคนเจอโครงกระดูก และบังเอิญคนที่เจอนั้นเป็นอดีตนักศึกษานิติเวช เธอเห็นแว่บแรกก็รู้เลยว่าเป็นกระดูกมนุษย์ เลยแจ้งเจ้าหน้าที่ ... แต่ปัญหาคือโครงกระดูกนั้นถูกฝังอยู่ในสวนหลังบ้าน ที่อยู่ริมหน้าผา และกำลังจะถล่มได้ทุกเมื่อ! 

บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของ Gordon Smith ชายแก่หน้าตาใจดีคล้ายซานตาครอส อายุ 75 เนื่องจากบ้านเขาอยู่ในจุดเสี่ยงที่จะถล่มลงทะเลข้างล่างได้ทุกเมื่อ ดังนั้นทางเทศบาลจึงไล่เขาออกไปค่ะ ... เขาเพิ่งอพยพออกไปเมื่อไม่นานมานี้เอง อพยพไปไหนไม่มีใครรู้

คดีนี้ Ash กับ Dr. Alice ถูกขอให้มาช่วยดูโครงกระดูกค่ะ พอทั้งคู่เห็นก็รู้เลยว่าเป็นโครงกระดูกมนุษย์ แต่ขุดหรือทำอะไรกับโครงกระดูกนั้นไม่ได้ เพราะมันอยู่ตรงหน้าผา เพราะบางส่วนมันถล่มลง มันเลยเผยในเห็นโครงกระดูกที่ถูกฝังไงคะ และดูเหมือนจะมีหลายศพเลยที่ถูกฝังอยู่ ... ดังนั้นทั้งคู่เลยเสี่ยงเข้าไปในบ้านของ Gordon ค่ะ 

ในบ้านของ Gordon ก็ชัดเลยว่านี่คือบ้านของฆาตกรต่อเนื่องโรคจิต ที่ใช้ห้องหนึ่งบ้านหลังนี้ในการทรมานและสังหารเหยื่อ ดูเหมือน Gordon เองจะรู้ว่า บ้านนี้จะถล่มในอีกไม่นาน ดังนั้นเขาจึงทิ้งหลักฐานต่างๆ ไว้ เหมือนเป็นคอลเล็กชั่นงานชิ้นเอกของเขาน่ะค่ะ ที่ถ้ามันถล่ม ก็จะไม่มีใครรู้เห็นไปตลอดกาล

คดีนี้รู้ตัวฆาตกรตั้งแต่ต้นเรื่องเลยค่ะ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของการตามหา Gordon Smith ในระหว่างนั้นก็มีเห็บหมาอย่างอดีตคู่นอนของ Ash ที่ตามสะกดรอยเพื่อเอาเรื่องคดีไปเขียนหนังสือ รวมถึง Helen MacNeil ที่ต้องการตามล่า Gordon เพราะเชื่อว่า Gordon ฆ่าลูกสาวเธอ และล่อลวงหลานสาวให้หนีตาม Gordon ไปด้วยกัน (Helen เคยเป็นเพื่อนบ้านสนิทกับ Gordon ค่ะ และ Gordon ก็ช่วยดูแลทั้งลูกและหลานให้ ในระหว่างที่ Helen ติดคุก)

ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า Coffin's maker คนทำโลงศพ เพราะ Gordon เป็นชายใจดีค่ะ ถ้าเด็กคนไหน สัตว์เลี้ยงตาย เขาก็จะทำโลงศพให้สัตว์เลี้ยงของเด็กๆ ซึ่งพ่อแม่และเด็กต่างซาบซื้งมาก เลยทำให้ Gordon เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวบ้านด้วยฉายานี้

ในระหว่างที่ตามหา Gordon, Ash และ Dr. Alice ก็มีอีกคดีก่อนหน้าที่ต้องสะสางค่ะ คือการตามหาฆาตกรต่อเนื่องสังหารเด็ก ... เด็กถูกลักพาตัวและถูกทรมานจนเสียชีวิต 

คดีนี้เป็นการหาตัวฆาตกรที่ไม่รู้เลยว่าเป็นใคร Dr. Alice เป็นอาชญาจิตแพทย์ตั้งสมมุติฐานว่า ฆาตกรมีประวัติขาวสะอาด ไม่เคยทำผิดทางเพศมาก่อน เหยื่อที่เป็นเด็กคนแรกคือการทำครั้งแรก และเป็นการเปิดประตูฆาตกรให้ค้นพบว่าเขาตื่นเต้น และชอบฆ่าเด็ก

การทำงานสืบสวนของ Dr. Alice ต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะตอนนี้มีเด็กคนที่สี่ ที่เพิ่งหายตัวไป และยังหาไม่พบ จึงมีความหวังว่า ถ้าหารู้ตัวฆาตกรได้เร็ว ก็อาจจะช่วยชีวิตเด็กได้ทัน!

.

สรุป หนังสือเล่มนี้มี 2 คดีค่ะ 2 อาชญากรโรคจิต ที่ทั้งคู่ไม่เกี่ยวกันค่ะ เพียงแต่คาบเนื่องในช่วงเวลาเดียวกัน และนักสืบ ตัวละครหลักในหนังสือต้องสืบสวนสองคดีนี้ไปพร้อมๆ กัน

ในระหว่างนั้น ผู้เขียนก็แทรกเรื่องในอดีตของ Ash และความจิตใจอ่อนไหวใจดีของ Alice ลงไปค่ะ 

Ash - ลูกสาวถูกฆาตกรโรคจิตลักพาตัวไปทรมานและฆ่า ตอนอายุ 13 ปี ผ่านมา 9 ปีแล้ว แต่ Ash ยังลืมไม่ได้ค่ะ

Alice - ติดเหล้า จิตใจอ่อนโยน และอุทิศตัวให้กับการตามหาฆาตกรต่อเนื่อง แต่ยังเชื่อในความดีของมนุษย์ อ่านไปก็ประหลาดใจไปว่า ทำไมเธอยังคงโลกสวยได้ทั้งที่รอบข้างและงานที่ทำเต็มไปพวกจิตวิปริต?

.

ในเล่มมีหลายเรื่องที่รู้สึกว่าเว่อร์ไป เช่น Jennifer อดีตชู้ของ Ash ที่ยังคงตามสะกดรอย Ash อยู่เพื่อเอาข้อมูลมาเขียนหนังสือ คืองงว่า สิ่งที่นางทำลงไปกับอดีตของ Ash นางไม่มีสำนึกมโนธรรมบ้างหรือไร? คือผู้หญิงปกติไม่น่าจะทำแบบนั้น ยกเว้นว่านางจะแค้น Ash ...แต่พอตอนจบ ก็ไม่ใช่ เพราะบทนางจะจากไป นางก็หายไปง่ายๆ 

หรือภาคไอที แหม... Sabir ซึ่งเป็นผู้ช่วยไอทีของ Ash แค่คนเดียว ทำงานได้ดีกว่าแผนกไอทีของตำรวจทั้งกรม! ไม่ว่าจะเป็นการระบุตำแหน่งของฆาตกรจากสัญญาณมือถือ การดึงข้อมูลติดต่อของ Alice ในวันที่ถูกทำร้าย ฯลฯ คือแบบชีวิตจริง มันไม่ได้ง่ายขนาดทำคนเดียวได้นะเออ 

หรือตอนที่ฆาตกรจะตัดนิ้ว Ash เพื่อเอาไปใช้ปลดล็อกมือถือ ซึ่งไม่รู้ว่า Ash ใช้มือถือยี่ห้ออะไร ...แต่มือถือส่วนใหญ่ นิ้วที่ตายปลดล็อกมือถือไม่ได้นะเออ 

.