Sunday, November 22, 2015

The Power of Habit : Why we do what we do in life and business


หนังสือชื่อ  :  The Power of Habit : Why we do what we do in life and business

ผู้แต่ง  :  Charles Duhigg

สำนักพิมพ์  :  Random House


หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน เพราะหงุดหงิดตัวเองค่ะ เนื่องจากทำงานไม่ได้คืบหน้าดั่งใจ อุปสรรคคือความขี้เกียจของตัวเองนั่นเอง เลยยืมหนังสือเล่มนี้จากห้องสมุดมาอ่านค่ะ ด้วยหวังใจว่า อ่านเเล้วจะทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น

"นิสัย" คืออะไรที่มีอิทธิพลมากต่อการตัดสินใจของเรา เราอาจจะคิดว่า เราตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ด้วยหลักเหตุและผล แต่จริงๆ แล้ว เราทุกคนมีเบื้องหลังนั่นคือนิสัยของเรา ซึ่งเป็นแรงผลักดันในการตัดสินใจอยู่ค่ะ นิสัยคือสิ่งที่เราทำไปโดยอัตโนมัติ ...สิ่งแรกที่คุณทำเมื่อตื่นนอน คืออะไร เวลาคุณหิว คุณทำอย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะเดินเข้าครัว เปิดตู้เย็น หาอะไรกินใช่ไหมคะ ...คือทำไปด้วยอัตโนมัติ ไม่ได้คิดมากอะไร ..เวลาเราจะแปรงฟัน เราจับแปรงด้วยมือข้างไหน หรือเวลาเราอาบน้ำ เราถูสบู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก่อน...เหล่านี้เราทำไปโดยอัตโนมัติ เราไม่ได้มานั่งตัดสินใจว่าจะต้องทำอย่างไรก่อนดี เพราะกิจกรรมเหล่านี้ "ฝัง" อยู่ในตัวเรา จนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว

หนังสือเเบ่งออกเป็น 3 ตอนค่ะ ตอนที่หนึ่งเล่าว่านิสัยได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้อย่างไร และจะสร้างนิสัยดีๆ ใหม่ๆ ได้อย่างไร หรือจะเปลี่ยนนิสัยได้อย่างไร
 
หนังสือเริ่มด้วยการเล่าเรื่องของชายชรา ชื่อยูจีน "Eugene Pauly" ซึ่งสมองส่วนหนึ่งได้รับความเสียหายจากไวรัส ทำให้เขาไม่สามารถจำอะไรได้นานไปกว่า 20 วินาทีเลยค่ะ เขาเป็นที่สนใจของนักประสาทวิทยามาก จากการสัมภาษณ์ ยูจีนไม่สามารถเล่าได้ว่า ห้องครัวในบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน ...หากแต่ถ้าเขาหิว เขาสามารถเดินไปหาคุกกี้ในตู้ในห้องครัวกินได้! หรือเวลาเดินเล่นนอกบ้าน ยูจีนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านตัวเองตั้งอยู่ที่ไหน หากแต่ไม่เคยหลงทาง เดินกลับบ้านถูกทุกครั้ง!

นิสัย ของคนเราสามารถถูกชักจูงให้เปลี่ยนได้ค่ะ ด้วยตัวเราเอง หรือด้วยเเรงจูงใจจากภายนอก ...และแรงจากภายนอกนี่เอง ที่เป็นที่จับตาของนักการตลาด หากเราสามารถเปลี่ยนนิสัยลูกค้า จากเดิมที่ไม่เคยใช้สินค้าชิ้นนี้เลย ให้มาใช้เป็นประจำ...เป็นช่องทางทำเงินที่ทุกบริษัทต้องการค่ะ

หนังสือ เล่าเรื่องความสำเร็จของยาสีฟัน Pepsodent ค่ะ ที่เริ่มต้นจากสมัยก่อน คนไม่นิยมใช้ยาสีฟัน หากแต่นักโฆษณาชื่อ Claude C. Hopkins สามารถเปลี่ยนนิสัยคนทั้งอเมริกา และคนทั้งโลก กลายเป็นว่าในปัจจุบัน ทุกๆ คนต้องแปรงฟันตอนเช้า และก่อนนอน ...หรือเรื่องราวความสำเร็จของสเปรย์ดับกลิ่น Febreze ที่ทำให้แม่บ้านต้องซื้อมาใช้สเปรย์ห้องหลังการทำความสะอาด

ตอนที่สอง เล่าถึงนิสัยขององค์กรค่ะ องค์กรไม่ใช่สิ่งไม่มีชีวิตนะคะ จริงๆ แล้วการตัดสินใจภายในองค์กรได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนิสัยของบุคลากรในองค์กรนั่นเอง นิสัยขององค์กรที่ประสบความสำเร็จ เช่น สตาร์บัค เป็นอย่างไร ในหนังสือเล่มนี้ได้อธิบายไว้ค่ะ

จริงๆ แล้ว บริษัทไม่ใช่ครอบครัวที่มีความสุข มันคือสงครามกลางเมือง (คนที่ทำงานจะรู้ดี) มีทั้งการเมือง การต่อสู้ การชิงดีชิงเด่น ชิงตำแหน่งกัน หากแต่นิสัยนี่แหละที่ทำให้บริษัทไม่แตกแยก และงานเสร็จสำเร็จด้วยดี แต่บางครั้งนิสัยที่ไม่ดีในองค์กรก็อาจทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายได้ อย่างเช่น โศกนาฏกรรมไฟไหม้รถไฟใต้ดินที่ลอนดอนในปี 1987 ค่ะ

ตอนที่สามของหนังสือ เป็นการเล่าถึงนิสัยของสังคมค่ะ สังคมประกอบด้วยคนจำนวนมากอยู่ด้วยกัน แต่ละคนต่างก็มีนิสัยของตัวเอง เมื่อแต่ละคนมารวมกัน ก็สามารถเกิดพลังทางสังคมได้ค่ะ

หนังสือได้วิเคราะห์พลังทางสังคมครั้งสำคัญของอเมริกา คือ สมัยของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่มีการประท้วงเพื่อสิทธิเท่าเทียมกันของคนผิวดำน่ะค่ะ เรื่องมันเริ่มจาก ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งปฏิเสธที่จะลุกให้คนขาวนั่งในที่นั่งของคนขาวในรถบัส...เพียงเเค่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ (เคยเกิดขึ้นกับคนผิวดำคนอื่นมาก่อน) แต่กลับจุดชนวน เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้ได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจค่ะ

หนังสือได้กล่าวถึงข้อถกเถียงทางกฏหมายที่ว่า เราควรรับผิดชอบการกระทำที่เป็นนิสัยของเราหรือไม่ หนังสือได้กล่าวถึงกรณีตัวอย่างของชายที่เป็นโรคนอนละเมอและฆ่าเมียตัวเองตายในขณะละเมอ เพราะฝันว่ามีคนมาทำร้ายเธอ เปรียบเทียบกับหญิงที่ติดการพนัน และบริษัทคาสิโนเองก็ใช้จิตวิทยา ทำให้เธอทุ่มเทเงินทั้งหมดที่มี ไปกับการพนัน...ใครควรจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองมากกว่ากัน...(ในกรณีนี้ ชายที่ละเมอแล้วฆ่าเมียตัวเอง ศาลตัดสินให้พ้นผิดค่ะ เพราะเขาไม่ควรจะต้องรับผิดชอบกับการกระทำทีเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในขณะที่ไม่มีสติยั้งคิด แต่หญิงสาวที่ติดการพนัน เธอต้องจ่ายหนี้ของเธอค่ะ ศาลไม่รับฟัง เพราะเธอมีทางเลือก เธอสามารถเลือกได้ตั้งแต่เเรกว่าจะไม่เหยียบเท้าเข้าไปในคาสิโน ซึ่งเธอไม่ได้ทำเช่นนั้น ผลคือเธอติดการพนัน)

หนังสือเล่มใหญ่ ค่อนข้างหน้าค่ะ เต็มไปด้วยการยกตัวอย่าง ทำให้อ่านไม่น่าเบื่อ ไม่ดูเป็นวิชาการเกินไป และบทท้ายของเล่มยังมีการสรุปสาระสำคัญของหนังสือให้ด้วย มีการยกตัวอย่างการพยายามเปลี่ยนนิสัยของตัวผู้เขียนเองด้วย และในตอนท้ายของเล่มยังมีเอกสารอ้างอิงทางวิชาการให้ผู้อ่านที่สนใจ สามารถไปค้นหาอ่านเพิ่มเติมได้อีกด้วยค่ะ

อ่านสนุกค่ะ ...และกำลังนำมาปรับใช้กับชีวิตจริงอยู่ค่ะ เพราะอยากจะเป็นคนที่มี productivity มากกว่าทุกวันนี้ อยากเป็นคนที่ทำงานอย่างจริงจัง ไม่ใช่วอกแวกไปหา facebook บ่อยๆ อย่างทุกวันนี้ ...เห้อ ...การรู้เท่าทันนิสัยของตัวเอง และเปลี่ยนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ ....นิสัยเล็กๆ ง่ายๆ แต่เมื่อปฏิบัติเช่นนั้นซ้ำๆ ทุกๆ วัน ผลกระทบต่อชีวิตมหาศาลนะคะ


Tuesday, November 3, 2015

ตาต่อตา ตายต่อตาย : Die Trying





หนังสือชื่อ  :    ตาต่อตา ตายต่อตาย (Die Trying)

ผู้แต่ง  :  Lee Child

ผู้แปล  :   โรจนา นาเจริญ

สำนักพิมพ์  :  น้ำพุสำนักพิมพ์


พี่คนไทยใจดีในเธอร์แลนด์ส่งเล่มนี้มาให้อ่านค่ะ (ดีใจได้อ่านหนังสือนิยายภาษาไทยแล้ว) เล่มนี้เป็นเล่มที่สอง ต่อจากเล่มแรกคือเรื่อง "ลานละเลงเลือด (Killing Floor)" ค่ะ ตัวเอกในเรื่องก็ยังคงเป็นอดีตสารวัตรทหาร แจ็ค รีชเชอร์ เช่นเดิมค่ะ

เรื่องยุ่งๆ นี้เริ่มต้นที่ชิคาโกค่ะ เมื่อ แจ็ค เดินผ่านร้านซักรีดแห่งหนึ่ง และเห็นคุณผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งขาเจ็บต้องใช้ไม้ค้ำยัน กำลังทำเสื้อที่เธอรับมาจากร้านซักรีดนั้นตกลงพื้น ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ แจ็คจึงช่วยหยิบชุดเหล่านั้นขึ้นมาถือ และช่วยประคองเธอเดิน ...ทันใดนั้นเอง...ชายสองคนพร้อมปืนก็บุกจี้บังคับให้ทั้งคู่ขึ้นรถ ก่อนขับพาทั้งคู่ออกไป!!!

นี่มันเรื่องอะไรกัน ?!?

การณ์ต่อมาปรากฏว่าแจ็คไม่ใช่เป้าหมายในการลักพาตัวครั้งนี้ค่ะ หากแต่เป็นหญิงสาวที่ขาเจ็บคนนั้น เธอชื่อ ฮอลลี ค่ะ เป็น FBI แต่ตำเเหน่งหน้าที่การงานเธอก็ธรรมดามาก ไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญในองค์กรแต่อย่างใด ทำไมพวกมันจึงคิดจะลักพาตัวเธอ?

ในระหว่างการเดินทางไปยังจุดหมายปริศนานั้น แจ็คมีโอกาสหลายครั้งเชียวค่ะ ที่จะหลบหนีออกมาได้ แต่แจ็คก็ไม่ทำ เนื่องจากนั่นแปลว่าเขาต้องทิ้งฮอลลีไว้ตามลำพัง (เธอเจ็บขา ไม่สามารถเดินทางไกลๆได้) ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แต่เเจ็คก็นับถือในความใจเย็น มืออาชีพของเธอค่ะ ฮอลลีไม่ร้องโวยวาย สงบ สุขุมเยือกเย็นมาก ...เมื่อเธอไม่ร้องขอ เธอจึงควรได้รับการปกป้อง

ในขณะเดียวกัน ทาง FBI ก็รู้แล้วว่า ฮอลลี หายไป และจากภาพในกล้องวงจรปิด ก็เห็นว่า เธอถูกลักพาตัว...ความซวยก็คือ ด้วยคุณภาพกล้องราคาถูก ทำให้ภาพที่ได้ไม่ต่อเนื่อง จึงทำให้พวก FBI  คิดว่า เเจ็ค คือหนึ่งในพวกคนร้าย !!!

การตามล่าเพื่อช่วยตัวประกันจึงเกิดขึ้น ใครคือผู้บงการการลักพาตัวครั้งนี้ จุดประสงค์คืออะไร และฮอลลีมีความพิเศษอย่างไร พวกมันจึงเลือกที่จะลักพาตัวเธอ 

งานนี้นอกจากต้องลุ้นให้ทั้งแจ็คและฮอลลี่ปลอดภัยแล้ว ยังต้องลุ้นกับ FBI ให้สามารถหยุดแผนการร้ายให้ได้ทันเวลา รวมทั้งต้องอึดอัดกับฝ่ายการเมืองที่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย...สนุกค่ะ 

ส่วนตัวออยคิดว่า เล่มเเรกสนุกกว่า แต่เล่มนี้ก็ไม่เลวค่ะ อ่านได้ ออกแนวช้าๆ ไม่ตื่นเต้นในช่วงบทเเรกๆ แต่ก็เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ตัว ก็วางไม่ลงไปเสียเเล้ว ต้องอ่าน ต้องลุ้นจนจบ