Sunday, November 21, 2021

The Family Upstairs

 


หนังสือชื่อ  :  The Family Upstairs

ผู้แต่ง  :  Lisa Jewell

สำนักพิมพ์  :  Century 2019


อึดอัด หดหู่ เศร้า ลุ้น อยากรู้ ... นี่คือความรู้สึกเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ 

หนังสือแต่ละบทเล่าสลับกันไปมาระหว่าง Libby, Lucy และ Henry ค่ะ โดยเรื่องเล่าของ Henry จะเป็นเรื่องย้อนไปในอดีต 

Libby คือหญิงสาวอายุ 25 ที่เพิ่งได้รับมรดกเป็นแมนชั่นหลังใหญ่ในเมืองเชลซี เป็นมรดกที่พ่อแม่ของเธอทิ้งไว้ก่อนตาย พ่อแม่ของ Libby กินยาฆ่าตัวตายพร้อมกับชายปริศนาอีกคนหนึ่ง (รวมทั้งหมดเป็น 3 ศพ)ในขณะที่ตอนนั้น Libby อายุเพียง 10 เดือน ... ดูเหมือนพ่อแม่ของเธอจะเข้าลัทธิอะไรแปลกๆ สักอย่างหนึ่งน่ะค่ะ ทำให้พ่อแม่ของเธอปิดกั้นตัวเอง และไม่เข้าสังคมภายนอกเลย... และจากปากคำของเพื่อนบ้าน ดูเหมือน Libby น่าจะมีพี่ๆ อยู่ ไม่ใช่ลูกคนเดียว  แต่ในขณะที่เจ้าหน้าที่มาพบเธอนั้น ไม่มีใครอยู่บ้านเลยค่ะ ทิ้งไว้แค่เด็กทารก Libby ที่ได้รับการตั้งชื่อในตอนนั้นว่า Serenity ... ปริศนาคือ เจ้าหน้าที่พบเธอถูกทิ้งไว้ในเปล ได้รับการดูแลอย่างดี ในขณะศพของผู้ใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวนั้น กำลังจะเน่า ตายมาหลายวันแล้ว ...ใครดูแลทารก Libby?

.

อีกบทก็เล่าเรื่องในมุมของ Lucy หญิงสาวที่กำลังถังแตก ไร้บ้าน มีลูกสองคน คือ Marco (อายุ 12 ปี) และ Stella (5 ขวบ) กับหมาอีกหนึ่งตัว... ในขณะที่ Lucy พยายามอย่างยิ่งที่จะเอาตัวให้รอดในสถานการณ์อันยากลำบากนี้ในเมืองนีซ ฝรั่งเศส วันหนึ่งเธอก็ไ้ด้รับข้อความเตือนในโทรศัพท์บอกว่า "เด็กทารกอายุ 25 แล้ว" ... ข้อความสั้นๆ แค่นี้ ทำให้ Lucy ดิ้นรนอย่างหนักที่จะกลับไปลอนดอนค่ะ เธอถึงขั้นกลับไปขอความช่วยเหลือจากอดีตสามี (พ่อของ Marco) ชายคนที่เธอขยะแขยงอย่างที่สุด คนที่ซ้อมเธอเกือบตาย จนเธอต้องหนีออกมา ... Lucy มีความสัมพันธ์อะไรกับ Libby? ทำไมจึงต้องกลับมาที่เชลซีให้ได้?

.

อีกบทก็เล่าในมุมของ Henry โดยเล่ารำลึกความหลังสมัยที่เขาอายุ 12 เริ่มตั้งแต่ปี 1980 Henry มาจากตระกูลร่ำรวย ปู่ของเขารวยมาก รวยเสียจนพ่อไม่ต้องทำงานอะไรเลย เรียนก็ไม่จบ เอาแต่เสเพล เที่ยวเล่นไปวันๆ และแม่ที่สวยมากๆ Henry มีน้องสาวหนึ่งคน อายุอ่อนกว่าเขา 1 ปี 

พอปู่ตาย พอก็ได้มรดกทั้งหมด (พ่อเป็นลูกคนเดียว) ในมุมของเด็กเขาไม่รู้หรอกว่า บ้านเขาเริ่มจนลงช้าๆ ... จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่นำเพื่อนมาบ้าน ชื่อ Birdie แม่บอกว่า Birdie เป็นนักไวโอลิน และวงของเธอจะขอมายืมใช้บ้านเพื่อถ่ายทำมิวสิควิดีโอ ... และถึงแม้มิวสิควิดีโอจะถ่ายทำเสร็จแล้ว ออกอากาศไปแล้ว ...แต่ Birdie ก็ยังไม่ย้ายออกค่ะ

แขกในบ้านเริ่มจาก Birdie ต่อมาก็ Justin แฟนของเธอ ก็ย้ายมาอยู่ด้วยค่ะ อยู่กันที่ห้องชั้นบน ... ตอนที่พ่อของ Henry เริ่มป่วยเป็นโรคหัวใจ Birdie ก็แนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ David Thomsen และครอบครัว (มีแม่ Sally และลูกอีกสองคนคือ Phin กับ Clemmercy) ... และหลังจากนั้น ครอบครัวของ Henry ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

David หน้าตาดี คารมก็ดีค่ะ (จริงๆ แล้วเป็นพวกต้มตุ๋น เป็นพวกสิบแปดมงกุฏ) David เข้าครอบงำครอบครัวของ Henry ทีละน้อยๆ พ่อของ Henry อ่อนแอเกินกว่าจะทำอะไรได้ ในขณะที่แม่โดนล้างสมอง เห็นดีเห็นงามกับทุกสิ่งที่ David ทำ

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม คือ ความลับที่ว่า David เป็นชู้กับ Birdie ถูกเปิดเผย ทำให้ Sally ภรรยาของ David ทนไม่ได้และขอแยกตัวออกจากบ้านไป ... เด็กๆ ลูกของพวกเขาอยากย้ายไปอยู่กับแม่นะคะ แต่คือแม่ก็ยังเอาตัวไม่รอดไง ก็เลยไม่สามารถพาลูกไปได้ ต้องปล่อยให้ Phinn และ Clemmercy อยู่กับพ่อและครอบครัว Henry ไปก่อน ... และอีกด้านหนึ่ง เมื่อความลับเปิดเผย ก็ไม่ต้องหลบซ่อนเป็นชู้กันอีกต่อไป Birdie เลยย้ายมานอนกับ David อย่างเปิดเผย ในขณะที่ผู้ใหญ่คนอื่นๆ (พ่อกับแม่ของ Henry) ก็ไม่มีใครว่าอะไร ทุกคนเชื่อฟัง

ดูเหมือน Birdie คือคนที่เปิดด้านปีศาจของ David ให้ชัดขึ้น ตอนนี้พวกเขาเริ่มมีความคิดประหลาดๆ เช่น เราไม่ควรมีสมบัติอะไรเลย ทุกคนต้องใส่เสื้อผ้าสีดำ ที่เย็บขึ้นมาเองเหมือนกัน ไม่ให้ใส่รองเท้า ไม่ให้ออกไปข้างนอก ไม่ให้ตัดผม ฯลฯ 

แม่กับน้องสาวของ Henry โดนล้างสมองอย่างสมบูรณ์ค่ะ ถึงขนาดที่ว่า แม่ตั้งครรภ์ (กับ David) แล้วยังเห็นว่าเป็นเรื่องดี!!! ส่วนพ่อก็ทำอะไรไม่ได้ สูญเสียการพูดไปแล้ว นั่งอยู่กับที่ทั้งวัน 

.

หลังจากนั้นก็มีเรื่องต่างๆ มากมายที่เพิ่มความกดดันให้แก่เด็กๆ ... อ่านแล้วให้นึกถึงฝูงสัตว์ที่จ่าฝูงต้องการเป็นผู้นำฝูง เซ็กส์กับสมาชิกหญิงในฝูงก็เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้นำไงคะ  David ก็เหมือนคนที่ต้องการเป็นจ่าฝูง พยายามครอบงำ และบังคับทุกคน ... แต่ให้โลกข้างนอก David ก็แค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่ง ดังนั้นเพื่อยังรักษาอำนาจของตัวเองในฝูงอยู่ ก็บังคับให้ทุกคนไม่ติดต่อกับโลกภายนอก ขังตัวเองไว้ข้างในบ้าน ... มันเป็นเรื่องของ family abuse ค่ะ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และการเงิน

.

ตอนที่ Libby เกิด ... เด็กๆ ในบ้าน เริ่มคิดที่จะเป็นอิสระ คิดที่จะหนีแล้วค่ะ พวกเขาแปลกใจว่า ทำไมไม่มีใคร ไม่มีผู้ใหญ่ข้างนอกนั้นสักคนเข้ามาช่วยพวกเขาเลย ... พวกเขาคิดแผนที่จะหนีขึ้น แต่แผนดันพลาด !!!  

และนั่นคือเหตุให้เด็กทารก Libby ถูกทิ้งไว้ และที่เหลือต้องหายสาบสูญไป ... จนกระทั่งถึงวันที่เด็กน้อยอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ พวกเขาจึงกลับมาพบกันอีกครั้งที่บ้านหลังนี้

.

คนเขียนเขียนเก่งมากค่ะ ในแง่ของการเล่นกับความอยากรู้ของคนอ่าน ทำให้เราวางไม่ลง เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่ละปมคลายออกอย่างช้าๆ และค่อยๆ เครื่องร้อน เร็วขึ้นๆ ... แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ยังไม่เคลียร์ เพราะหนังสือเขียนเล่าในมุมของ Henry, Lucy และ Libby ทำให้เรารู้แค่ที่ทั้งสามคนรู้ ... แต่เราไม่รู้เรื่องอื่นในภาพรวม เช่น Justin ตอนนี้อยู่ที่ไหน? Finn รู้สึกอย่างไรกับ Henry? ความคิดของ Finn ต่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ... คือในมุมของ Henry นั้น เขาคิดว่า Finn เป็นพวกคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้นแต่เราไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นจริงไหม (Henry เป็นเกย์และชอบ Finn ตั้งแต่แรกพบ) 

หรือที่คาใจคือใครฆ่าพ่อแม่ของ Henry? ... เพราะ Henry วางแผนอย่างดีและรัดกุม และไม่ได้คิดจะฆ่าพ่อแม่ Henry เชื่อว่าพ่อแม่ของเขาโดนฆาตกรรมค่ะ 

แล้วตอนจบก็เป็นจบแบบปลายเปิด ... เอ..หรือคนแต่งอาจจะมีต่อเล่มสองก็เป็นได้ค่ะ

Tuesday, November 16, 2021

The Eyes of Darkness

 


หนังสือชื่อ  :  The Eyes of Darkness

ผู้แต่ง  :  Dean Koontz

สำนักพิมพ์  :  Headline


หยิบมาอ่านเพราะหน้าปก ตรงสติกเกอร์สีเหลืองน่ะค่ะ เขียนประมาณว่า นิยายเล่มนี้ทำนายการระบาดของไวรัส คืออารมณ์นิยายเล่มนี้เล่าเรื่องการระบาดของไวรัสก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ทำนองนั้น ... แต่พอหยิบมาอ่าน จะหมดเล่มแล้ว ยังไม่เห็นไวรัสสักตัวเลยค่ะ ... (แต่จริงๆ มีนะคะ แต่เป็นบทสุดท้ายน่ะค่ะ)

.

Dean Koontz ผู้แต่งเขียนเรื่องนี้นานแล้วค่ะ เมื่อปี 1982 เป็นเรื่องแรกๆ ของเขาเลยค่ะ แล้วมีการปรับปรุงแก้ไขสำนวนใหม่ มาเป็นเล่มนี้ พิมพ์เมื่อปี 2016 ค่ะ (ก่อนไวรัสระบาด)

.

เป็นเรื่องของ Tina Evans คุณแม่ที่สูญเสียลูกชาย Danny วัย 12 ปี ไปในอุบัติเหตุรถบัสตกเขาเมื่อปีที่แล้ว ... ตอนนี้ Tina รู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งแล้วค่ะ และชีวิตเดินหน้าต่อไปได้แล้ว เวลาเยียวยาบาดแผลได้ดีขึ้นแล้ว เธอกำลังจะ move on กับชีวิต เริ่มมีเดตกับทนายความรูปหล่อชื่อ Elliot Styker ค่ะ (Tina แยกกันอยู่และหย่ากับสามีไม่นานก่อนที่ลูกชาย Danny จะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต)

แต่จู่ๆ Tina ก็ฝันร้ายถึง Danny ลูกชาย ฝันติดๆ กันทุกคืนเลยค่ะ รวมถึงมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นที่ห้องของ Danny ด้วยค่ะ จู่ตรงชอล์กบอร์ดในห้อง Danny ก็มีข้อความเขียนว่า "NOT DEAD" ขนาดลบออกแล้ว ยังมีเขียนมาซ้ำอีก รวมถึงปริ้นเตอร์ของเลขาหน้าห้อง จู่ๆ ก็ปริ้นต์ข้อความซ้ำๆ ว่า "NOT DEAD" ออกมาต่อหน้าต่อตา

ตอนแรก Tina คิดว่ามีใครประสงค์ร้าย คนแรกที่พุ่งเป้าคืออดีตสามี แต่พอไปคุยด้วย กลับพบว่าผัวเก่าไม่รู้เรื่องนี้เลย ... Tina คิดไม่ออกเลยว่ามีใครแกล้งเธอแรงขนาดนี้

เพื่อให้จิตใจเธอสงบ และมูฟออนต่อไปได้ Tina จึงมีไอเดียที่จะขอให้แฟนทนาย Elliot ยื่นคำร้องต่อผู้พิพากษาขอเปิดโลงศพของ Danny ค่ะ เพราะเธอคิดว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ อาจเกิดจากใจเธอไม่สงบ และรู้สึกผิดที่ตอนที่ลูกชายตาย เธอเชื่อคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ตอนนั้นเจ้าหน้าที่บอกว่าร่างของ Danny เละมาก แนะนำว่าแม่อย่างเธอไม่ควรเปิดขอดูศพลูกชายค่ะ ดังนั้น Tina จึงไม่เคยเห็นร่างไร้วิญญาณของลูกเลย ดังนั้นเป็นไปได้ว่าจิตใต้สำนึกของเธอจะปฏิเสธว่าลูกชายได้ตายไปแล้ว

Elliot รับเรื่อง และนำไปขอร้องเพื่อนที่เป็นผู้พิพากษาค่ะ Elliot คิดว่าคำขอของ Tina ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร ผู้พิพากษาน่าจะอนุญาตอย่างไม่มีปัญหา ... แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นค่ะ เพื่อนผู้พิพากษาบอกว่าขอเวลาคิด และจะโทรมาบอก ... แล้วพอ Elliot ออกจากงานเลี้ยง กลับบ้าน เขาก็เจอกับคนบุกรุกหมายที่จะฆ่าปิดปาก!!!

.

ทำไมเรื่องง่ายๆ กะแค่แม่ผู้โศกเศร้าจะขอดูศพลูกชาย จึงกลายเป็นเรื่องฆ่าตัดตอนไปได้? มาถึงตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าในโลงศพจะมีร่างของ Danny อยู่จริงมั้ย ... 

.

ต่อจากนั้นก็กลายเป็นเรื่องของการตามล่าค่ะ Tina กับ Elliot ต้องหนีการตามล่าของคนของรัฐกลุ่มหนึ่ง พร้อมๆ กับต้องหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ... Tina เริ่มรู้สึกว่า หรือจริงๆ แล้ว Danny จะยังมีชีวิตอยู่? 

.

จากลาสเวกัส Tina และ Elliot ตามล่าหาความจริงไปที่ Reno เมืองที่คณะลูกเสือและ Danny ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ... ที่นั่น พวกเขาพบว่า รัฐบาลมีความลับสำคัญซ่อนอยู่!!!

.

นิยายสนุกค่ะ พล็อตเบาๆ (เมื่อเทียบกับเรื่องหลังๆ ของ Dean Koontz) คือมันมีกลิ่นอายโรแมนติกอยู่ ในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง Tina กับ Elliot ... แต่หลายเรื่องเหมือนจะบังเอิญ perfect ไปหมดน่ะค่ะ เช่น มันต้องบังเอิญเหตุเกิดตอนวันหยุดช่วงก่อนปีใหม่ มันต้องบังเอิญที่งานโชว์ของ Tina ประสบความสำเร็จด้วยดีและ Tina อยู่ในช่วงพัก และบังเอิญที่ Elliot อดีตเคยทำงานในหน่วยราชการลับ เลยรู้วิธีหลบหนี วิธีต่อสู้ ... เพราะถ้าให้ Tina ฉายเดี่ยว คงตายตั้งแต่ต้นเรื่องแหละค่ะ คือพล็อตเรื่องไม่ค่อยแน่น ไม่ค่อยพีกอารมณ์ ดูหวานๆ ไปค่ะ แต่เนื้อหาสนุกค่ะ อารมณ์เหมือนบทภาพยนตร์ฮอลลีวูด


Sunday, November 7, 2021

End of Summer

 


หนังสือชื่อ  :  End of Summer

ผู้แต่ง  :  Anders de la Motte

ผู้แปล  :  Neil Smith

สำนักพิมพ์  :  Zaffre


เมื่อหน้าร้อนปี 1983 ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Reftinge ของสวีเดน เด็กน้อย Billy วัย 5 ขวบเดิมตามหากระต่ายป่าแล้วก็หายสาบสูญไป ปลายปีปีเดียวกันนั้นเอง แม่ผู้โศกเศร้าก็ทนความเศร้าไม่ไหว ฆ่าตัวตายในทะเลสาบแถวบ้าน ... ทิ้งลูกชายวัย 16 ลูกสาววัย 14 และสามีผู้โศกเศร้าไว้ข้างหลัง

20 ปีผ่านไป ลูกสาวเปลี่ยนชื่อจาก Vera Nilsson มาเป็น Veronica Lindh และทำงานเป็นนักบำบัดกลุ่มที่กรุงสตอกโฮห์ม เป็นนักบำบัดแบบที่เราเคยเห็นในหนังน่ะค่ะ แบบเอาคนที่มีความทุกข์มานั่งล้อมวงกัน และเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟัง และฟังเรื่องของคนอื่น ซึมซับความทุกข์ของกันและกัน ... 

ชีวิตของวีร่าเองก็มีบาดแผลจากเหตุที่แม่ทิ้งฆ่าตัวตายไปเหมือนกัน คือมันมีคำถามเต็มไปหมด ทำไมแม่ถึงฆ่าตัวตายทั้งที่หมอบอกว่าแม่เริ่มอาการดีขึ้นแล้ว แม่เริ่มทำใจได้แล้วจากการหายไปของน้อง? ทำไมแม่ถึงฆ่าตัวตายเพราะน้องหายไป แล้วทิ้งลูกอีกสองคนไว้ข้างหลัง? อีกสองคนนั้นก็ลูกแม่นะ ก็ต้องการแม่เหมือนน้องที่หายไปนั่นแหละ

ก่อนหน้ามาเป็นนักบำบัดกลุ่ม ชีวิตวีร่าเหลวแหลกมาก่อนค่ะ ติดเหล้า ตอนวัยรุ่นก็เป็นสาวล่าแต้ม แล้วล่าสุดก็ตามราวีแฟนเก่าไม่เลิก จนศาลสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้แฟนเก่าอีก ... ตอนที่หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่อง วีร่าก็ยังทำใจเลิกลาขาดกับแฟนเก่าได้ไม่สนิทนะคะ 

ในคลาสบำบัดของวีร่านั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าร่วมวงด้วยค่ะ เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อ Isak ปมความทุกข์ของเขาคือเมื่อตอนเขาอายุห้าขวบ เพื่อนของเขาหายสาบสูญไปค่ะ และตั้งแต่นั้นมาหมู่บ้านที่เขาอยู่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

มาถึงตรงนี้ ในฐานะคนอ่าน ปมของ Isak ที่เล่ามามันไม่เมคเซ้นต์เลยค่ะ คือมันไม่น่ากลายมาเป็นบาดแผลที่มีผลต่อชีวิต ตอนเกิดเหตุเขาอายุแค่ห้าขวบเอง ยังเด็กมาก ตัวเองไม่ได้โดนลักพาตัว คนที่หายไปก็แค่เพื่อน ไม่ใช่พี่น้อง ...​แต่สำหรับวีร่าแล้ว สิ่งที่ Isak เล่า กลับไปกระตุ้นปมของเธอเอง ที่เธอไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เธอไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าเธอเป็นพี่สาวของ Billy ค่ะ (ข่าว Billy หายตัวไปเป็นข่าวดังระดับประเทศที่ใครๆ ก็จำได้ค่ะ) ...​สิ่งที่ Isak เล่า กระตุ้นให้วีร่าคิดว่า บางที Billy อาจจะยังมีชีวิตอยู่??? ประกอบกับวีร่าไปอ่านเจอบทความที่วาดภาพทำนายว่า ถ้า Billy ยังมีชีวิตและโตขึ้น Billy จะมีหน้าตาอย่างไร ... ภาพ Billy ในอนาคตในข่าวชิ้นนั้น หน้าตาคล้ายกับ Isak มาก!!!

เหล่านี้นี่เองทำให้วีร่าขับรถกลับบ้านค่ะ หลังจากไม่มาเหยียบบ้านกว่าห้าปี ตอนนี้พี่ชายของวีร่า คือ Mattias  เป็นตำรวจและกลับมาทำงานที่หมู่บ้านแล้วค่ะ วีร่ากลับบ้านมาร่วมในงานวันเกิดแม่ (แม่ที่ตายไปแล้วนั่นแหละค่ะ แต่พ่อยังไม่ลืม) และอาศัยช่วงเวลาที่อยู่บ้านนี้ สืบหาความจริงค่ะ ที่บ้าน วีร่าพบว่าพ่อมีอะไรบางอย่างแปลกไป เหมือนมีอะไรที่พ่อกำลังกลัว?

ตอนเกิดเหตุ Billy หายตัวไปนั้น ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งที่ว่าจะลักพาตัว Billy ไปคือ Tommy Rooth พรานป่าในหมู่บ้าน ... แต่ไม่มีหลักฐานอะไรมัดตัวเขาเลยค่ะ Tom กับน้าของ Billy ชื่อ Harald เป็นศัตรูกัน ไม่ชอบขี้หน้ากันอย่างมาก 

น้า Harald เป็นผู้มีอิทธิพลค่ะ เขาเป็นน้องชายของแม่ บ้านฝั่งแม่ของ Billy รวย มีที่ดินเยอะ หลายคนในหมู่บ้านเป็นลูกจ้างของ Harald ... ดังนั้นพอ Harald หมายหัวว่า Tom เป็นคนลักพาตัวหลานไป Tom ก็ไม่มีใครคบ

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ...​ไม่มีใครเจอ Billy อีกเลยค่ะ รวมถึง Tom ด้วย จู่ๆ ก็หายสาบสูญไป ข่าวว่าไปทำงานในเรือ

ในหนังสือเล่าถึงการสืบสวนหาความจริงของวีร่า ความทรงจำที่เธอมีต่อแม่ ความเศร้าของพ่อ ความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นนักระหว่างเธอกับพี่ชาย ... ผู้เขียนบรรยายเรื่องได้ดีค่ะ เห็นภาพ เรื่องดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่เราไม่รู้สึกอึดอัด เรารู้สึกถึงบรรยากาศและความรู้สึกของวีร่าที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ ... และวีร่าก็ไม่ใช่ซุปเปอร์เกิร์ล คือแบบให้สืบอะไรคนเดียว (ถึงมีพี่ชายเป็นตำรวจให้ปรึกษาได้บ้างก็ตาม) แต่เธอสืบไม่ถึงไหน ดูไม่ค่อยคืบหน้านักค่ะ

หมดวันหยุด วีร่ากลับมาสต็อกโฮล์มอีกครั้ง เจอกับ Isak หนนี้ Isak เล่าเรื่องชีวิตของเขาให้เธอฟังค่ะ ทั้งคู่สงสัยว่า บางทีทั้งคู่อาจจะเป็นพี่น้องกัน คือ Isak อาจจะคือ Billy ที่หายตัวไป ...​มาถึงตรงนี้ คนอ่านอย่างเราไม่เชื่อค่ะ คือมันไม่มีหลักฐานเลย คนนอกมองออกว่ามันทะแม่งๆ แต่กับคนในอย่างวีร่า เวลาที่เราอยากได้อย่างใดอย่างหนึ่งมากๆ อย่างในกรณีนี้ วีร่าอยากให้น้องของเธอยังมีชีวิตอยู่ ... เราก็มักจะตาบอด มองไม่เห็นพิรุธที่อยู่ตรงหน้าค่ะ

ทั้งคู่ (วีร่า กับ Isak) ตัดสินใจที่จะกลับไปที่หมู่บ้านอีกครั้ง วีร่าจะพา Isak ไปพบพ่อค่ะ และจะขอเข้าไปห้องของ Billy กับห้องของแม่ด้วย (พ่อล็อคสองห้องนี้ไว้อย่างดี) 

การกลับมาของทั้งคู่ กระตุ้นให้ความลับที่ถูกปิดฝังมานานแล้วให้กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และมีใครบางคนไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้น

... สุดท้ายก็อย่างที่เราคนอ่านเดาได้แหละค่ะ ว่า จริงๆ แล้ว Isak กับวีร่าไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้ Isak รู้ดีอยู่แล้ว แต่ที่เป็นปริศนาให้เราต้องอ่านต่อคือ แล้ว Isak คือใคร? มีเจตนาอะไรถึงมาเข้าหาวีร่า? แล้วตอนนี้ Billy อยู่ไหน? ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว? พ่อของวีร่ากลัวอะไร? Tom Rooth หายไปไหน? ทิ้งเมียและลูกอีกสองคน แล้วก็หายไปเลย น้า Harald ของวีร่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรือไม่?

คำถามทั้งหมดนี้ต้องอ่านมาจนจะจบเล่มค่ะ จึงจะเริ่มกระจ่าง คนเขียนเขียนเก่งมาก บางบทเนี่ยตอนแรกๆ เหมือนวีร่าจะค้นพบอะไรบางอย่าง แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเพียงชิ้นส่วนปริศนา ที่เราคนอ่านก็งงว่ามันสำคัญอย่างไร มากระจ่างก็ตอนจบค่ะ เมื่อจิ๊กซอว์ทุกชิ้นถูกต่อเข้าด้วยกัน

อ่านไปแล้วติดใจอยู่เรื่องหนึ่งคือ ช่วงที่กำลังหา Billy กันนั้น มีการทอดแหลากในบึง (คือตอนนั้นทุกคนคิดว่า Billy อาจจะตายแล้ว เลยพยายามหาศพกัน) แล้วมีการเจอศพของผู้ใหญ่คนหนึ่ง หนังสือตัดแค่นี้ ไม่เล่าว่านั้นคือศพของใคร ตัดจบและไม่เขียนถึงอีกเลย ...มันเลยรู้สึกคาใจน่ะค่ะ

ตำรวจในเรื่องก็สอบสวนภายใต้อิทธิพลของน้า Harald ที่เข้ามาวุ่นวายชี้นำ เพราะปักใจเชื่อว่า Tom คือคนลักพาตัวหลานไป 

แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อความจริงกระจ่าง มันคือโศกนาฎกรรมของครอบครัวนี้จริงๆ ค่ะ น่าสงสารสุดก็คงจะเป็นพ่อของวีร่า สามีที่ภักดี...




 

Thursday, November 4, 2021

The Good Daughter

 


หนังสือชื่อ  :  The Good Daughter

ผู้แต่ง  :  Karin Slaughter

สำนักพิมพ์  :  Harper Collins Publishers Ltd.


เป็นหนังสือเล่มหนามากค่ะ เจ็ดร้อยกว่าหน้า เริ่มเรื่องเฉื่อยๆ แต่พอผ่านกลางเรื่องไปแล้ว กลับวางไม่ลง ต้องอ่านรวดเดียว ไม่เป็นอันทำงานทำการเลยค่ะ แบบว่าอยากรู้จัด


ไม่ใช่หนังสือสืบสวนแบบนักสืบอะไรนะคะ ออกแนวดราม่าภายในครอบครัวมากกว่าค่ะ ... คือเรื่องมันเริ่มจากเมื่อ 28 ปีก่อน ตอนสองศรีพี่น้อง แซม คนพี่อายุ 15 ปี และแครี่ อายุ 13 ปี บ้านของทั้งคู่เพิ่งโดนไฟไหม้มากค่ะ เสียหายหมดเลย ..ที่โดนไฟไหม้เพราะรัสตี้ พ่อของทั้งคู่ทำงานเป็นทนายให้กับอาชญากร และเพิ่งรับว่าความให้แก่นักข่มขืนไป คือที่นั่นเป็นเมืองเล็กๆ น่ะค่ะ คนรู้จักกันทั่วถึง ดังนั้นใครทำดีทำชั่วเขาก็รู้กันหมด แล้วเหยื่อที่ถูกนายคนนี้ข่มขืนก็ทนความกดดันไม่ไหว แขวนคอตาย กลายเป็นข่าวดังไปทั่วเมือง ดังนั้นเรียกได้ว่า ชาวบ้านเกลียดรัสตี้ รองลงจากตัวคนร้ายเลยล่ะค่ะ 

.

พอบ้านโดนไฟไหม้ ทั้งครอบครัวก็เลยต้องย้ายมาอยู่บ้านฟาร์ม เป็นบ้านฟาร์มที่เจ้าของเก่าฆ่าตัวตายแล้วฟาร์มก็เลยทิ้งร้าง คือแบบบ้านไม่มีใครเอาว่างั้น ... 

เรื่องเริ่มขึ้นในวันหนึ่ง ที่รัสตี้คนพ่อไม่อยู่บ้าน อยู่แต่แกมม่า (แม่) และลูกทั้งสอง ...โจรสองคนสวมชุดไอ้โม่งบุกเข้าบ้านค่ะ ต้องการจะมาเอาตัวรัสตี้ แต่รัสตี้ไม่อยู่ไง แล้วโจรเผลอยิงแกมม่าตาย ต่อหน้าต่อตาลูกทั้งสอง ณ ตอนนั้นเอง เด็กๆ จำชื่อโจรหนึ่งในสองได้ โจรเลยใช้ปืนจี้ให้เด็กทั้งสองเดินเท้าเข้าป่าหลังบ้าน ที่ในป่านั้น พวกโจรขุดหลุมรอไว้แล้วค่ะ ตั้งใจเอาไว้ฝังรัสตี้ แต่ตอนนี้จะฝังเด็กๆ แทน ... แซมพี่สาวส่งสัญญาณให้แครี่หนีไป วิ่งให้เร็วที่สุด และไม่ต้องมองมาข้างหลัง ...ตัวแซมนั้นโดนโจรทำร้ายจนมองไม่เห็นค่ะ ไม่สามารถวิ่งหนีได้ เธออยากให้อย่างน้อยน้องสาวปลอดภัย 

.

ตัดมา 28 ปีถัดมา นิยายเริ่มเล่าในมุมของแครี่ เธอยังอยู่ที่เมืองเดิม ทำงานเป็นทนาย เปิดสำนักงานกฏหมาย ใช้อาคารเดียวกับรัสตี้ ... แครี่มีนัดไปโรงเรียนเพื่อไปเอาโทรศัพท์ที่เผลอหยิบสลับกับของคู่นอนคืนเดียวไป บังเอิญว่าคู่นอนเป็นครูที่โรงเรียน คือเรื่องมันควรเป็น one night stand ก็เลยกลายเป็นอิหลักอิเหลื่อต้องมาเจอกันอีกวันรุ่งขึ้น

ความซวยดันเกิดตรงที่เกิดเหตุยิงกันในโรงเรียนขึ้น (อเมริกาอ่ะนะ) ทั้งแครี่และคู่นอนคืนเดียวอยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นพยานเห็นเหตุการณ์ ...เหตุการณ์นั้นมีคนตาย 2 คน คนหนึ่งเป็นครูผู้ชาย อีกคนเป็นเด็กผู้หญิง จับคนยิงได้ในที่เกิดเหตุ เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 18 ปี ชื่อแคลลี่

.

ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องการสืบสวนในมุมของทนายค่ะ เพราะรัสตี้จะเป็นทนายให้กับแคลลี่ (ฆาตกร) ส่วนแครี่นั้นพอเรื่องกลายเป็นข่าวใหญ่ เลยกลายเป็นว่า เบ็น สามี (ที่ตอนนี้ทะเลากัน แยกกันอยู่ แต่ยังไม่หย่ากัน) ก็รู้ว่าแครี่นอกใจ ดราม่าไป

แต่รัสตี้ยังไม่ทันได้คุยกับลูกความ เขาก็โดนแทงค่ะ ... เบ็นเลยส่งอีเมล์บอกให้แซมกลับบ้าน

ก่อนหน้านี้ หนังสือไม่ได้เล่าถึงแซมเลยค่ะ ว่าหลังจากถูกยิงที่หัว และโดนฝังทั้งเป็นแล้ว เธอรอดชีวิตหรือเปล่า ต้องทนอ่านไปร้อยกว่าหน้า จึงถึงคิวแซม ...แซมทำได้ดีค่ะ เธอเป็นทนายความกฎหมายลิขสิทธิ์ รวย เก่ง แต่ได้รับผลกระทบทางร่างกายจากเหตุการณ์นั้นนิดหน่อย เช่น เดินไม่คล่อง ตามองไม่ค่อยดี 

.

ความสัมพันธ์ระหว่างแซม กับแครี่และพ่อรัสตี้ ไม่ดีค่ะ แซมไม่คุยกับเขาทั้งคู่มาเป็นสิบๆ ปี คือไม่ได้เกลียดกันนะคะ ยังรักกัน แต่เข้ากันไม่ได้มากกว่า แซมชอบคิดว่า แครี่คือลูกสาวที่ดีของพ่อ เพราะดำเนินตามรอยพ่อทุกอย่าง ส่วนเธอนั้นเหมือนแม่ ในขณะที่แครี่คิดว่าพ่อรักแซม เลยปล่อยให้แซมเป็นอย่างที่อยากเป็น ... แต่พอแซมรู้ว่าพ่อโดนแทง ก็เลยคิดว่า แวะมาเยี่ยมสักหน่อย ... แต่กลายเป็นว่ารัสตี้ ขอให้แซมช่วยว่าความคดีของแคลลี่ที่จะเกิดขึ้นนัดแรกในวันรุ่งขึ้นให้หน่อย (แครี่ทำไม่ได้เพราะเธอเป็นพยานค่ะ ทนายที่เหลือของเมืองก็ขี้เหล้า แคลลี่คงตายเร็วขึ้นถ้าให้เขาทำ)

พอแซมสัมภาษณ์แคลลี่ ก็เลยได้รู้ว่า แคลลี่เป็นเด็กหัวอ่อน อ่อนแบบชักจูงให้ทำอะไรก็ได้ ใครพูดอะไรก็เชื่อหมด ใส่อะไรไปในหัวก็ทำตาม ก็เชื่อ ...คือน่าจะมีปัญหาด้านสติปัญญา ทำให้เรื่องมันดูทะแม่งๆ ค่ะ รวมถึงกระสุนที่ยิงเข้าครูผู้ชายทั้งสามนัดแม่นๆ และอีกหนึ่งนัดเข้าเด็กผู้หญิง แต่ทำไมมีสองนัดที่ยิงพลาด คือมันเหมือนไม่ได้ยิงสุ่มมั่วๆ แถมหลังเกิดเหตุ ปืนที่ใช้ก่อเหตุก็หายไปอีก ไม่รู้ใครเอาไป?

.

ถ้าดูจากปกหนังสือ เขียนว่า "กว่า 28 ปีที่เธอซ่อนความลับไว้" แต่อ่านมาจนถึงกลางเล่มยังไม่เห็นว่าอะไรคือความลับเมื่อ 28 ปีก่อนเลย คือหนังสือเล่าแต่เหตุการณ์ในปัจจุบัน ส่วนเรื่องย้อนอดีตเล่ามาสองบท ในมุมของแซม และมุมของแครี่ ก็ดูชัดเจนดีว่าเกิดอะไรขึ้น 

.

แต่อ่านไปเรื่อยๆ ถึงได้รู้สึกว่า แครี่มีอะไรในใจค่ะ ซึ่งส่งผลต่อชีวิตคู่ของเธอกับเบ็น ... แครี่ไม่ได้เสียใจที่เธอวิ่งหนีไปโดยไม่หันมาช่วยพี่สาว แต่เธอเสียใจที่วิ่งไม่เร็วพอต่างหาก...

.

หลังกลางเล่มไปแล้ว จึงได้เฉลยว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นเมื่อ 28 ปีก่อน แครี่โดนหนึ่งในคนร้ายข่มขืนค่ะ คิดสิคะว่าเธออายุแค่ 13 ปี คนร้ายไม่ได้ยัดแค่อวัยวะ แต่ยัดกำปั้น ยัดมีด เข้าในอวัยวะของเธอ ทารุณสำหรับเด็กน้อยมากๆๆ ...แต่เรื่องทั้งหมดคือความลับ รัสตี้ไม่อยากให้แครี่ผ่านกระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ เพราะไม่ต่างจากเธอโดนข่มขืนอีกรอบ ยิ่งแครี่เป็นลูกของทนายความที่เพิ่งว่าความให้นักข่มขืนไป คิดดูสิคะ ทั้งเมืองคงสมน้ำหน้า แทนที่จะเห็นใจ ... เรื่องนี้จึงเป็นความลับในใจของแครี่ และเธอโทษว่าเพราะสิ่งที่เธอโดนทำให้มดลูกเธอเสียหาย และแท้งถึงสี่ครั้ง

.

พอมาปลายเล่มก็เริ่มขมวดปม และเริ่มวางไม่ลงค่ะ ต้องอ่านให้จบ เรื่องในอดีตเมื่อ 28 ปีที่แล้ว ที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ยิงในปัจจุบัน กลับมีความเชื่อมโยงบางอย่าง ...รัสตี้ ที่ตอนอ่านแรกๆ นึกภาพเป็นทนายเจ้าเล่ห์ เอาชีวิตลูกเมียมาเสี่ยง ... พอตอนจบกลับต้องเปลี่ยนความคิด รัสตี้กลายเป็นทนายผู้มีอุดมการณ์และคอยอยู่ข้างคนด้อยโอกาสในสังคม รัสตี้ผู้เชื่อในการให้โอกาสคนครั้งที่สอง ผู้มีหัวใจให้อภัยที่ยิ่งใหญ่

.

หนังสือสนุกค่ะ แต่พร่ำเพ้อมากเกินไป บางทีก็รู้สึกว่ามีแต่น้ำ แต่ละบทก็ยาวเป็นสิบๆ หน้า บางทีอ่านไปก็ลืมไปเลยว่าจุดพีกของบทนี้คืออะไร เพราะบรรยายมากเกินไป ... แต่ข้อดีก็คือ ทำให้เราคนอ่านรู้สึกผูกพันกับตัวละครมากขึ้น เข้าใจถึงความคิดของแต่ละคน (หนังสือบางบทเขียนในมุมของแครี่ และบางบทเขียนในมุมของแซมค่ะ)

.