Tuesday, November 12, 2013

ฤกษ์งาม ยามเชือด : The Devil's Star



หนังสือชื่อ : ฤกษ์งาม ยามเชือด (The Devil's Star)
 ผู้แต่ง : Jo Nesbo
ผู้แปล : นันทวัน เติมแสงสิริศักดิ์
สำนักพิมพ์ : น้ำพุ



       นานแล้วค่ะ ที่ไม่ได้อ่านหนังสือนิยายสนุกๆ ชนิดที่ว่าวางไม่ลง ไม่เป็นอันทำงานทำการ จนกว่าจะอ่านจบ และรู้ให้ได้ว่าใครคือฆาตกร...นิยายเล่มนี้มีคุณสมบัติที่ว่ามานี้เลยค่ะ
          สารภาพว่าซื้อมาเพราะ ได้ข่าวว่าผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ดังมาก และขายดีมากในต่างประเทศ มีการแปลจากต้นฉบับภาษานอร์เวย์ มาเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก (น่าสนใจเพราะ ไม่ใช่หนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษ แต่มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ แสดงว่าต้องสนุกจริง)...และเมื่อซื้อมาอ่าน ก็ปรากฏว่า ไม่ผิดหวังค่ะ เป็นนิยายฆาตกรรมที่ผูกเรื่องไว้ดีมาก เดาไม่ถูกเลยว่าใครคือฆาตกร 
          เนื้อเรื่องในนิยายเล่มนี้ เกิดขึ้นที่กรุงออสโล ของนอร์เวย์ค่ะ ตัวเอกของเรื่องคือ สารวัตร แฮร์รี โฮล ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องที่มีเสน่ห์ เพราะไม่ได้เก่งกาจอะไรไปกว่าคนธรรมดาเลย แถมเรียกได้ว่า ติดขอบปากเหวของการกลายเป็นคนล้มเหลวในชีวิตเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากเริ่มมีอาการติดเหล้า เลิกกับแฟนที่คบกันมานาน เป็นตัวตลกของเพื่อนร่วมงานหลายคน...ไม่ได้มีบุคลิกของฮีโร่นักสืบในนิยายหลายเล่มที่เราเคยอ่านมาเลยค่ะ ทำให้ยิ่งมีเสน่ห์ ดูเป็นคนธรรมดาเเบบที่เราสัมผัสได้
          คดีฆาตกรรมแรกเกิดขึ้นเมื่อมีผู้พบศพหญิงสาวถูกฆ่าในห้องพักของเธอเอง ปริศนาที่น่าฉงนของนักสืบคือ นิ้วมือของศพถูกตัดกุดไปหนึ่งนิ้ว ใต้เปลือกตาของศพถูกยัดด้วยเพชรสีแดง และต่อมาก็มีพัสดุส่งมาถึงตำรวจ ภายในกล่องคือ...นิ้วมือของหญิงสาวที่ตายคนนั้น สวมแหวนเพชรสีแดง!!!
          และหลังจากศพแรก อีกห้าวันต่อมา ก็มีสามีผู้ร้อนใจมาแจ้ง ว่าภรรยาของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย หายไปทั้งๆ ที่นุ่งบิกีนี่!!! แต่กลับไม่มีใครพบเห็นเลย
          สารวัตรแฮร์รี ต้องสืบสวนเงื่อนงำของคดีเหล่านี้ โดยต้องทำงานร่วมมือกับสารวัตรทอม โวลเลอร์ สารวัตรหนุ่มอนาคตไกล ที่แฮร์รีแสนจะชิงชัง เนื่องจากแฮร์รีเชื่อว่าทอม มีส่วนในการตายของตำรวจคู่หูของเขา และทอมมีเบื้องหลังที่ดำมืด
           แฮร์รีพบความเชื่อมโยงของการฆาตกรรมกับสัญลักษณ์ดาวห้าแฉก นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนตายอันเป็นตัวแทนของดาวแต่ละแฉกไปจนครบห้า!!!
          แฮร์รีจะสามารถหยุดการฆาตกรรมต่อเนื่องครั้งนี้ได้หรือไม่ และฆาตกรต้องการสื่อถึงอะไร ต้องการอะไร ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องทำงานภายใต้ความหวาดระแวงกับคนที่เขาไม่ชอบหน้า ปัญหาความสัมพันธ์กับแฟนเก่า ปัญหาเรื่องการติดเหล้าของเขา และปมเรื่องความตายของน้องสาว
           โครงเรื่องสลับซับซ้อนค่ะ เป็นหนังสือที่อ่านสนุก อยากแนะนำให้อ่านเมื่อคุณมีเวลาว่าง เนื่องจากคุณอาจจะวางไม่ลงจนกว่าจะอ่านจบ!!!   

          
 

Friday, August 23, 2013

Micro



หนังสือชื่อ :  Micro
ผู้แต่ง :  Michael Crichton และ Richard Preston
สำนักพิมพ์ :  Harper Collins Publishers
ออยเป็นแฟนคลับหนังสือของ Michael Crichton ค่ะ ติดตาม และซื้ออ่านทุกเล่ม ซึ่งหนังสือเล่มนี้ เป็นเล่มสุดท้ายของผู้แต่ง Michael Crichton ค่ะ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ในปี 2008 ค่ะ จริงๆ แล้วเล่มนี้ เขาเขียนไม่จบเสียด้วยซ้ำ จึงต้องมี Richard Preston มาเขียนต่อจนจบ
หนังสือของ Michael Crichton ที่มีชื่อเสียง เนื่องจากนำมาทำเป็นภาพยนตร์ ที่รู้จักกันดีก็เช่น จูราสสิส ปาร์ค, คองโก เป็นต้น หนังสือของเขามักออกแนว Si-fi ค่ะ ซึ่งเป็นแนวที่ออยชอบอ่าน
หนังสือเรื่อง Micro เล่มนี้ เป็นเรื่องราวของนักศึกษาปริญญาเอก 7 คน ของมหาวิทยาลัยเคมบริจด์ นักศึกษาทั้ง 7 คนนี้ ศึกษา และทำวิจัยในสาขาต่างๆ กันไป เช่น Rich Hutter - ศึกษาเรื่องยาสมุนไพรที่ชนพื้นเมืองใช้, Karen King - ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเกี่ยวกับพวกแมงมุม แมงป่อง และไร, Peter Jansen - ศึกษาเรื่องพิษวิทยาของสัตว์มีพิษ, Erika Moll - ผู้เชี่ยวชาญด้านด้วง, Amar Singh - นักพฤษศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับฮอร์โมนของพืช Janny Linn - นักศึกษาชีวเคมี ศึกษาเกี่ยวกับฟีโรโมน ที่พืชและสัตว์ใช้ในการส่งสัญญาณระหว่างกัน และ Danny Minot - นักศึกษาปริญาเอกที่กำลังเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการใช้ภาษาในหมู่นักวิทยาศาสตร์
เรื่องราวเริ่มต้นที่เมื่อ พวกเขาทั้งเจ็ด ได้รับเชิญจากผู้บริหารของ Nanigen Micro Technologies ให้ไปเยี่ยมชมห้องปฎิบัติการในโรงงานที่ฮาวาย เพื่อประกอบการตัดสินใจทำงานร่วมกัน ซึ่งหนึ่งในผู้บริหารของ Nanigen ก็เป็น พี่ชายแท้ๆ ของ Peter Jansen ค่ะ
หากแต่ว่า ก่อนถึงวันเดินทาง Peter Jansen ได้รับ SMS จากพี่ชาย ว่า "Don't come" คือแปลว่า อย่ามาที่ฮาวาย และหลังจากนั้น Peter ก็ไม่สามารถติดต่อกับพี่ชายได้ จนกระทั่งได้รับโทรศัพท์จาก CFO ของ Nanigen (ซึ่ง CFO คนนี้เป็นแฟนสาวของพี่ชายของ Peter ด้วยค่ะ) เธอโทรมาแจ้งว่า พี่ชายของ Peter ประสบอุบัติเหตุจากการเล่นเรือ จนคาดว่าน่าจะเสียชีวิต แต่ยังค้นหาศพไม่เจอ
Peter จึงต้องเดินทางไปฮาวายคนเดียว ก่อนหน้าเพื่อน 1 วัน เพื่อให้ปากคำแก่ตำรวจ ดูวีดีโอที่บังเอิญมีนักท่องเที่ยวบันทึกภาพขณะที่พี่ชายของ Peter กำลังประสบเหตุไว้ได้  จากภาพในวีดีโอ และท่าทีมีพิรุธของแฟนสาวของพี่ชาย ทำให้ Peter รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นภายใน บริษัท Nanigen
วันรุ่งขึ้น Peter ก็ออกไปสมทบกับเพื่อนๆ และเข้าเยี่ยมชมภายในบริษัท Nanigen ค่ะ บริษัทนี้ ทำงานวิจัยทางด้านชีววิทยา (อธิบายเท่าที่ออยเข้าใจนะคะ) ...คือ บริษัทได้รับสัมปทานพื้นที่ในป่าในฮาวาย เข้าเข้าไปสำรวจหา ดิน แมลง หนอน แบคทีเรีย ฟังไจ  รา อะไรก็ได้ เก็บมาศึกษา คุณสมบัติ วิจัย เพื่อการค้นพบยาตัวใหม่ๆ (คล้ายกับ Drug discovery)
เทคนิคการค้นหาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กของบริษัท Nanigen ไม่ธรรมดาค่ะ ภายใต้การคิดค้น ของพี่ชายของ Peter บริษัทค้นพบ การย่อส่วนสิ่งมีชีวิต! ทำให้คนตัวเล็กลง และเดินทางไปสำรวจโลก Micro ได้อย่างถนัดขึ้น
เรื่องราวในวันนั้น ชุลมุนพันเกค่ะ (หาอ่านเองนะคะ อิ อิ) และสุดท้าย Peter และเพื่อนๆ ถูกบังคับให้เข้าเครื่องย่อส่วน และทำให้ตัวเล็กลง เหลือแค่ 1 นิ้ว! จริงๆ แล้ว พวกเขาจะต้องถูกสังหารต่อจากนี้ แต่พวกเขาหนีมาได้ แต่ก็ต้องผจญภัยในป่าในฮาวาย
ลองนึกภาพตามนะคะ ถ้าเราต้องตัวเล็กจนเหลือแค่สูงประมาณ 1 นิ้ว ทุกอย่างรอบตัวเราจะดูมหึมาไปหมด... มด แมลง ผึ้ง ซึ่งเมื่อก่อน เราสามารถเหยียบทิ้งได้ ตอนนี้กลายมาเป็นศัตรูที่น่ากลัวของเรา ในโลก Micro เหมือนสงครามชีวภาพดีๆ นี่เอง! ...มด แมลง ผึ้ง ต่างๆ ต่างป้องกันตัว หรือล่าเหยื่อ ด้วยการปล่อยสารเคมี ซึ่งตอนที่เราตัวใหญ่ สารเคมีเหล่านั้น ไม่สามารถทำอะไรเราได้ แต่เมื่อเราตัวเล็ก และอยู่ในวงล้อมของโลก Micro สารเคมีพวกนี้ อันตรายที่เดียวค่ะ
อ่านหนังสือเล่มนี้ เเล้วย่อโลกไปตามตัวอักษรด้วยเลยค่ะ ทำให้รู้สึกว่า บางทีเราหลงลืมสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ต่างดิ้นรนเพื่อชีวิตรอดตามวิถีเหมือนอย่างเรา เป็นหนังสือที่เพิ่มจินตนาการในสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวดีค่ะ
สุดท้ายแล้ว พวกเขาทั้ง 7 คน จะรอดชีวิตหรือไม่? และพวกเขาสามารถกลับมาเป็นร่างปกติได้หรือไม่? เพราะถ้าพวกเขาต้องติดอยู่ในโลก Micro นานเกินไป พวกเขาจะประสบปัญหาเรื่องการแข็งตัวของเลือด! ซึ่งนั่นก็จะทำให้พวกเขาต้องจบชีวิตเช่นกัน...และ Peter จะสามารถหาเงื่อนงำการตายของพี่ชายได้หรือไม่? ...หามาอ่านเลยค่ะ!!!
ส่วนหนังสือฉบับภาษาไทย นักแปลชั้นครูอย่าง คุณสุวิทย์ ขาวปลอด ได้แปลไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ สามารถสั่งซื้อได้ทาง http://looknambookshop.lnwshop.com


Thursday, August 22, 2013

ปริศนาหัวกระโหลก : Grave Secrets



หนังสือชื่อ :  ปริศนาหัวกระโหลก (Grave Secrets)
 
ผู้แต่ง :  Kathy Reichs
 
ผู้แปล :  มนันยา
 
สำนักพิมพ์ :  มติชน
 
 
ราคา 310 บาท  ลด 70% !!!
 
เหลือ 110 บาท ค่าจัดส่งทาง EMS 50 บาท
 
สนใจติดต่อ kasibanoy@gmail.com
 
 
มาอ่านหนังสือนิยายแปลกันบ้างค่ะ เคยไหมคะ ที่อ่านหนังสือเล่มไหน แล้วสนุกจนวางไม่ลง...เล่มนี้เลยค่ะ สำหรับคอนิยายสืบสวนสอบสวน  อ่านสนุก เนื้อหาตื่นเต้นตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ออยอ่านเล่มนี้ แทบจะรวดเดียวจบเลยค่ะ นานแล้วค่ะ ที่ไม่ได้อ่านนิยายสนุกๆ อย่างนี้ (มีบางเล่มที่ไปสนุกเอาตอนใกล้จบ ครึ่งเล่มแรก น่าเบื่อ แต่ทำเอาวางไม่ลงตอนใกล้จบ...แต่เล่มนี้ ตื่นเต้น ลุ้นตั้งแต่หน้าแรกเลยค่ะ)
 
 
เนื้อเรื่องเกิดขึ้นที่ประเทศกัวเตมาลาค่ะ หลังจากที่ประเทศนี้ประสบปัญหาสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมายา) นางเอกของเรา ซึ่งเป็นนักนิติเวชผู้เชี่ยวชาญด้านโครงกระดูก ได้รับการขอความช่วยเหลือจากองค์กรของกัวเตมาลาให้มาช่วยในการระบุบุคคลจากกระดูกของผู้เสียชีวิตจากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น
 
ในหนังสือ มนันยา แปลได้ดีเลยทีเดียวค่ะ สามารถถ่ายทอดอารมณ์อ่อนไหวที่นางเอกของเรารู้สึก จากการพบเห็นร่องรอยของการฆ่าหมู่ผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยม ผู้แปลได้ทำการบ้านมาอย่างดี ทั้งในการอธิ
บายศัพท์ทางนิติเวช ชีววิทยา ที่เข้าใจยาก และทำให้เข้าใจง่าย แถมข้อมูลก็ถูกต้องด้วย!
 
นางเอกของเราข้ามฟ้าจากแคนาดามากัวเตมาลาเพื่อการพิสูจน์บุคคลของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่หมู่บ้าน "ชูปัง ย่า" ระหว่างการขุดค้น ก็มีอุปสรรคต่างๆ เช่น การไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากเจ้าหน้ารัฐบางคนที่มีอำนาจในปัจจุบัน ในอดีตเคยมีส่วนร่วมในการสังหารหมู่ครั้งนั้น! ...และไปๆ มาๆ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของกัวเตมาลา ขอให้ช่วยในการสืบสวนการหายไปของหญิงสาว 4 คน ที่พักอาศัยอยู่ในย่านเดียวกัน!
 
หญิงสาววัยรุ่นหายออกจากบ้าน ไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นสำหรับกัวเตมาลา หากแต่กรณีนี้ หญิงสาวที่หายไป ทั้งสี่ต่างมีครอบครัว มีคนที่ห่วงใย ครอบครัวก็มีฐานะ และหนึ่งในสี่นั้น ก็เป็นถึงลูกสาวของท่านฑูต! ...จากการสอบสวน ตำรวจได้พบศพที่เหลือแต่โครงกระดูกอยู่ในบ่อบำบัดน้ำเสียระบบปิดของโรงแรมแห่งหนึ่ง และนี่คือเหตุผลที่ตำรวจต้องมาขอให้นางเอกของเราช่วย เนื่องจากเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านนี้นั่นเอง
 
เรื่องเริ่มต้นจาก ผลของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อหลายปีก่อน เพื่อนร่วมงานถูกลอบสังหาร ไปสู่การหายไปของเด็กสาว 4 คน ไปสู่.... จนถึงเรื่องของ สเต็มเซลล์  ทั้งหมดเกี่ยวข้องกันอย่างไร หาอ่านได้จากหนังสือเล่มนี้ค่ะ
 
สนใจซื้อต่อจากออยได้นะคะ ในราคาลดถึง 70% คือ 110 บาท และค่าจัดส่งทาง EMS อีก 50 บาทค่ะ สนใจติดต่อมาได้ที่ kasibanoy@gmail.com
 
 
 
 
 
 


Monday, August 12, 2013

ลูกค้าอัจฉริยะ : Customer genius



หนังสือชื่อ :   ลูกค้าอัจฉริยะ (Customer Genius)
ผู้เขียน :  Peter Fisk
ผู้แปล :  วัฒนา มานะวิบูลย์
สำนักพิมพ์ :  เนชั่นบุ๊คส์
ขายแล้วค่ะ!!!
 
      เป็นหนังสือทางด้าน marketing ที่ทันสมัย และน่าสนใจค่ะ เนื่องจากในปัจจุบันนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้น การตลาดเเบบเก่าๆ ที่เราเคยเรียนอาจจะใช้ไม่ได้ผลแล้วล่ะค่ะ ในยุคอินเตอร์เน็ต การทำธุรกิจแบบเก่าๆ ที่เคยได้ผล อย่ามาหวังว่าจะได้ผลอีกตลอดไป ในสมัยนี้ ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างกว้างขวาง อินเตอร์เน็ตสามารถเชื่อมโยงลูกค้าที่มีความสนใจคล้ายคลึงกัน สร้างเป็นชุมชนออนไลน์ (ที่ผู้ใช้แต่ละคนอยู่กันคนละมุมโลก!) 
       หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอการตลาดยุคใหม่ ที่บริษัทชั้นนำที่ประสบความสำเร็จในโลกเขาใช้กัน โดยมีกว่า 50 บริษัททั่วโลก ในหนังสือ มีทฤษฎีทางด้านการตลาดมากมายเข้ามาอธิบายความสำเร็จเหล่านี้ (คือทฤษฏีทางการตลาดที่เราเรียนมา ยังคงเป็นจริง และใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้เสมอค่ะ หากแต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน การโฟกัสเป้าหมายก็เปลี่ยน เท่านั้นเอง) เช่น แผนภาพคาโน ได้ถูกนำมาอธิบายความสำเร็จของการสร้างความแตกต่าง เป็นต้น
       จากที่อ่านนะคะ สรุปได้ว่า ในยุคนี้ ลูกค้ามีอำนาจมากขึ้นค่ะ สินค้าหลายอย่าง ถึงแม้จะผลิตออกมาเป็น mass production หากแต่ก็ต้องมีความหลากหลาย และต้องพยายามจำเพาะเจาะจงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนให้ได้!!! เพราะลูกค้าทุกคนมีความจำเพาะตัว ไม่มีใครเหมือนใคร และลูกค้าก็ต้องการแสดงให้ผู้ผลิตเห็นว่า นี่ฉันคือฉัน! ฉันไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนฉัน! ดังนั้น แชมพูของฉัน ก็จึงต้องเป็นแชมพูเพื่อแก้ปัญหาเส้นผมของฉันเท่านั้น... ประมาณนี้ล่ะค่ะ
     สมัยก่อนที่เราเรียน การประสบความสำเร็จคือ การพยายามผลิตสินค้าที่ใช้ได้กับทุกคน แต่ปัจจุบัน เปลี่ยนไปแล้วค่ะ เราต้องผลิตสินค้า ที่ตรงกับความต้องการของแต่ละคน หรือทำให้แต่ละคนรู้สึกว่า ฉันได้รับสินค้าที่พิเศษ เหมือนผลิตมาเพื่อฉันโดยเฉพาะ...ท้าทายนะคะ...การผลิต และการบริการจึงเป็นแบบเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น
     การทำธุรกิจสมัยนี้ จึงต้องให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางค่ะ หนังสือเล่มนี้บอกไว้ รวมถึงบทวิเคราะห์ความสำเร็จของธุรกิจชั้นนำกว่า 50 บริษัท ในการชนะใจลูกค้า...น่าสนใจอ่านนะคะ
      ขออนุญาติขายต่อหนังสือเล่มนี้ ในราคาลด 50% ค่ะ คือ 160 บาท และค่าจัดส่งหนังสือทาง EMS อีก 50 บาทค่ะ สนใจติดต่อมาได้ที่ kasibanoy@gmail.com
  


Sunday, August 11, 2013

งำประกาย : กโลบายไร้ผู้ต่อต้าน



หนังสือชื่อ :  งำประกาย
ผู้แต่ง :  เห่ง อู๋อั๊ง
ผู้เรียบเรียง :  อธิคม สวัสดิญาณ
สำนักพิมพ์ :  เต๋าประยุกต์
ขายแล้วค่ะ!!!
     กลับมา update blog แล้วค่ะ หลังจากหายไปต่างประเทศเสียนาน หนังสือเล่มนี้ อ่านมาได้สักพักแล้ว ก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศค่ะ เห็นว่ามีประโยชน์กับการพัฒนาตนเอง เเละดำเนินชีวิตในสังคมการทำธุรกิจยิ่งนัก จึงอยากนำมาแนะนำค่ะ
      จากที่อ่านนะคะ งำประกาย หมายถึง บางครั้งเราต้องซ่อนความปรารถนาอันแรงกล้าของเราไว้ในใจ เพื่อที่จะให้เราบรรลุผลบางอย่าง ยอมอ่อนแอบ้าง ยอมอ่อนน้อมกับผู้ที่ด้อยกว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเรา เคล็ดลับคือ ทำให้คู่แข่งยโสประมาท ในขณะที่ตัวเราเองนั้น มุมานะ มุ่งพัฒนาตน โดยในหนังสือมีตัวอย่างในประวัติศาสตร์ของแต่ละเคล็ดลับ "งำประกาย" (ซึ่งส่วนใหญ่ตัวอย่างที่ยกมาในหนังสือ จะเป็นตัวอย่างของประวัติศาสตร์ชนชาติจีน) คือได้ใครเคยอ่านหนังสือตำราพิชัยสงครามซุนวู คงจะนึกแนวออกนะคะ
      หนังสือได้เเบ่งออกเป็น 10 บทค่ะ ขอสรุปมาให้อ่านกันนะคะ
บทที่ 1 : เป้าหมาย - ไม่ทนเรื่องเล็ก จะเสียแผนใหญ่
          
     - อย่ายั่วให้คู่ต่อสู้โกรฐ จงหลีกเลี่ยงการสละชีพที่ไม่จำเป็น
     - หากจำเป็นต้องสละบางส่วน พึงทิ้งรถศึกรักษาแม่ทัพไว้
     - อย่าทำให้ศัตรูรู้สึกว่า การไว้ชีวิตเรานั้น จะเป็นภัยต่อพวกเขาในภายหน้า
บทที่ 2 : บทบาท - กองทัพที่ยโสประมาท มักพ่ายแพ้ กองทัพที่เจ็บแค้นรันทด มักกำชัย
     - ทำให้ศัตรูยโสประมาท กระตุ้นให้ฝ่ายเรามุมานะ
บทที่ 3 : ยุทธวิธี - ยอมถอยหนึ่งก้าว อนาคตเปิดกว้าง
     - ยุทธวิธีถอย คือ แสร้งโง่ไม่เลอะ อนาคตเปิดกว้าง, ซุ่มซ่อนไม่เปิดเผย รอจังหวะโอกาส, ตั้งรับอำพราง ถอยเพื่อรุกฆาต
บทที่ 4 : วิธีการ - พลาดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน
      - พูดจาต้องระวัง ไม่พูดล่วงเกินผู้อื่น, อย่าจับผิดค่อนแคะมากเกินไป และอย่าพูดจาอวดรู้ เปิดเผยความลับของผู้อื่น
        - ทำการต้องระวัง อย่าหลงระเริง, วางด้วยให้ดี จัดการปัญหาด้วยความรอบคอบระวัง และพยายามใช้ชีวิตอย่างสมถะ
บทที่ 5 : ข้อห้าม - ไม่เด่นสง่าเหนือป่า ลมพายุมามักหักโค่น
      - ยามเล็กอ่อนด้อย ต้องไม่เผยปณิธานยิ่งใหญ่
      - ยามเริ่มผงาดเด่น ต้องไม่เผยกำลังทั้งหมด
      - หลังเข้มแข็งเกรียงไกรแล้ว ต้องไม่อวดศักดาบารมี
บทที่ 6 : ฝึกฝนพัฒนาตนเอง - ตัวมีวิชาความรู้ ราศีย่อมเป็นสง่า
      - ฝึกใน 5 ด้าน : อุดมคติที่ยิ่งใหญ่, ความประพฤติอันดีงาม, สติอารมณ์อันเยือกเย็น, เจตจำนงค์แน่วแน่ และ วิชาความรู้เหนือธรรมดา
บทที่ 7 : พลังอันลึกล้ำ - ศึกษาเรียนรู้จากทุกฝ่าย ไขว้คว้าแสวงหามิได้หยุด
      - เสริมสร้างเจตจำนง มีศรัทธาเชื่อว่าทำได้
      - ศึกษาเล่าเรียน ทั้งในตำรา ความรู้เฉพาะทาง และศึกษาจากสังคม
      - ครุ่นคิดไตร่ตรองเป็นนิสัย และประสานนิสัยครุ่นคิดไตร่ตรองนี้กับการศึกษาเข้าด้วยกัน
      - บากบั่น ต่อสู้ ขยัน กล้าฝ่าฟันอุปสรรค ไม่กลัวความลำบาก
บทที่ 8 : เมื่อถึงจุดที่ยอมไม่ได้อีก - เรื่องอย่างนี้ยังยอมทน ก็ต้องยอมทนเรื่องทุกอย่างตลอดไป
      - ยืนหยัดรักษาศักดิ์ศรี
      - ยืนหยัดหลักการผลประโยชน์ ยอมเสียเพื่อผลประโยชน์ที่มากกว่า ไม่เสียใหญ่เพราะเล็ก
บทที่ 9 : เมื่อถึงคราวต้องยุติ - คือเมื่อถึงคราวต้องหยุด "งำประกาย" ถึงเวลาลงมือ แสดงอำนาจ
      - ทำเมื่อต้องการการยอมรับนับถือ
      - เมื่อต้องการปลุกขวัญกำลังใจแก่ฝ่ายตน
      - ยามต้องการข่มขวัญศัตรู
บทที่ 10 : สภาวะบรรลุความสำเร็จยิ่งใหญ่ - ชนะใจคน ให้ชนะด้วยคุณธรรม
      - ขยันและประหยัด จะเป็นปัจจัยที่ประกันมิให้ล้มเหลว
      - ซื่อสัตย์ รักษาสัจจะ เป็นรากฐานแห่งความสำเร็จ นำมาซึ่งความน่าเชื่อถือ เป็นเคล็ดป้องกันความเสื่อม
      - มีท่าทีเป็นมิตร จะทำให้ได้รับการสนับสนุนและปกป้องอย่างกว้างขวาง ช่วยให้ผู้ที่เข้มแข็งอยู่แล้ว เข้มแข็งยิ่งขึ้น
      - รู้จักพอ ย่อมมีความสุขตลอดไป!!!
     รายละเอียด และตัวอย่างความสำเร็จของแต่ละเคล็ดลับ "งำประกาย" หาอ่านได้ในหนังสือค่ะ และหากท่านใดสนใจที่จะซื้อต่อ ในราคาลด 50% เหลือ 190 บาท และค่าจัดส่งทาง EMS 50 บาท ก็สามารถติดต่อมาได้นะคะ ที่ kasibanoy@gmail.com



Saturday, March 16, 2013

The Alchemist : A beautiful book



หนังสือชื่อ : The Alchemist

ผู้แต่ง : Paulo Coelho

สำนักพิมพ์ : HarperCollins



       หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีไว้ขายค่ะ แต่อยากรีวิว เนื่องจากเป็นหนังสือที่ดีมากกกก สวยมากกก... หนังสือเล่มนี้ได้รับการแนะนำจากแฟนให้อ่านค่ะ แนะนำตั้งแต่คบกันใหม่ๆ ถึงขั้นเอามาให้ยืมอ่านด้วย หากแต่ว่า...สามปีผ่านไป พึ่งหยิบมาอ่านค่ะ แหะ แหะ

        หนังสือเล่มนี้ต้นฉบับเป็นภาษาโปรตุเกสค่ะ เนื่องจากคนแต่งเป็นคนบราซิล และหนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลไปมากกว่า 63 ภาษาทั่วโลก ขายได้มากกว่า 30 ล้านเล่ม (ข้อมูลได้จากปกหลังของหนังสือ ปี 2006 ค่ะ ป่านนี้น่าจะขายได้มากกว่านี้) สำหรับเวอร์ชั่นภาษาไทยของหนังสือเล่มนี้ ชื่อ "ขุมทรัพย์ที่ปลายฟ้า" แปลโดย คุณชัยวัฒน์ สถาอานันท์ สำนักพิมพ์คบไฟ ค่ะ

         หนังสือเล่มนี้ มีอิทธิพลกับชีวิตของใครหลายๆ คนเลยค่ะ ประธานาธิบดีคลินตันก็อ่านนะ มาดอนนาก็อ่านค่ะ :)  จึงอยากให้คนที่ยังลังเล รีบหามาอ่านกันค่ะ ได้อะไรกับชีวิตแน่นอนค่ะ

         หนังสือเล่มนี้ เล่าเรื่องเด็กหนุ่มเลี้ยงเเกะชาวสเปนคนหนึ่ง ชื่อ Santiago (ซานดิเอโก) ซี่งพ่อของเขาอยากให้เขาเป็นพระ หากแต่เขายังไม่แน่ใจนักว่านั่นคืออนาคตที่เขาตั้งการจริงๆ เขาอยากเป็นนักผจญภัยมากกว่า พ่อผู้ซึ่งใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในแต่หมู่บ้าน ไม่เคยไปไหนไกล แต่กลับซื้อฝูงแกะให้เขา และให้เขาเริ่มอาชีพเด็กเลี้ยงเเกะ เนื่องจากเป็นอาชีพเดียวที่จะได้เดินทาง ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ

          ซานดิเอโกมีความฝันซ้ำๆ ถึงขุมทรัพย์ที่อยู่ที่ปิรามิดในอียิปต์ เขาจึงไปหายิปซี เพื่อให้ทำนายฝัน ยิปซีทำนายฝันให้โดยให้เขาสัญญาว่าจะต้องเเบ่งสมบัติที่ค้นพบนั่น 1 ใน 10 ส่วนให้กับเธอ ซานดิเอโกตกลง เธอจึงทำนายฝันของเขาว่า "เมื่อเขาฝันว่ามีสมบัติที่ใต้ฐานปิรามิด ถ้างั้น เขาก็ต้องเดินทางไปอียิปต์ เพื่อหาสัมบัติที่นั่น"  (เป็นคำทำนายที่ลุ่นๆ ง่ายๆ มาก)

        ขณะที่ซานดิเอโกกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะไปตามความฝันของตนเองดีไหม เขาก็ได้พบกับชายคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นกษัตริย์แห่ง Salem ชื่อ Melchizedek กษัตริย์บอกกับซานดิเอโกว่า หลายๆ คนทิ้งความฝันของตัวเองโดยยังไม่แม้แต่จะลองดู เพราะมันดูเสี่ยง ดูยากที่สำเร็จ ทุกคนมีความฝัน แต่มีใครเลยจะพยายามให้ถึงฝัน กษัตริย์ได้บอกเคล็ดลับ (โดยเเลกกับแกะ 10 ตัว) ว่า ใช้เชื่อในลางสังหรณ์ของตน มีประโยคหนึ่งที่กษัตริย์พูดกับซานดิเอโก และออยประทับใจมากกก...ประโยคนั้นคือ

"...When you want something, all the universe conspired in helping you
to achieve it"

        แปลน่าจะได้ว่า เมื่อคุณต้องการสิ่งใด ทั้งจักรวาลจะพยายามช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ (แอบสงสัยว่าหนังสือ The Secret อาจจะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือเล่มนี้ก็เป็นได้)

           ซานดิเอโกจึงขายแกะของเขา และเดินทางตามโชคชะตาไปยังประเทศอียิปต์ เพื่อค้นหาสมบัติที่อยู่ใต้ฐานปิรามิด เขาสูญเสียเงินที่ได้จากการขายแกะไปกับคนโกง เมื่อไม่มีเงิน เขาจึงต้องทำงาน โดยไปเป็นลูกจ้างที่ร้านขายเครื่องแก้วคริสตัล

       ชายเจ้าของร้านเครื่องแก้วคริสตัล ก็มีความฝันเหมือนกันค่ะ ตลอดทั้งชีวิตเขาใฝ่ฝันที่จะได้ไปเมกกะ หากเเต่เมื่อกิจการร้านคริสตัลของเขา ภายใต้การช่วยเหลือของซานดิเอโก ดีวันดีคืน จนเขามีเงินมากพอที่จะไปเมกกะได้ เขากลับปฏิเสธที่จะเดินทาง เนื่องจากเขากลัวค่ะ ชายเจ้าของร้านคริสตัลกลัวว่า เมื่อเขาบรรลุสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาทั้งชีวิตแล้ว เขาจะรู้สึกว่างเปล่า และปราศจากความฝันอีกต่อไป (เหมือนเราบางคนนะคะ บางคนมีฝัน แต่ไม่ได้พยายามมากมายนักที่จะทำให้ตัวเองบรรลุฝันนั่น เนื่องจากกลัวความสำเร็จ และเขามีความสุขที่จะได้ฝันมากกว่า) 

          ซานดิเอโกทำงานในร้านคริสตัล จนเก็บเงินได้มากพอ เขาจึงบอกลาเจ้าของร้าน และเดินทางข้ามทะเลทรายเพื่อไปยังปิรามิด โดยเดินทางไปกับกองคาราวาน และในกองคาราวานนี้เอง เขาได้รู้จักกับชายชาวอังกฤษ ผู้คงแก่เรียนและมีความฝันเหมือนกันค่ะ และกำลังเดินทางหาฝันนั้น 

     ชายชาวอังกฤษฝันที่จะเป็นผู้รอบรู้ในการเล่นแร่แปรธาตุค่ะ สามารถเปลี่ยนตะกั่วราคาถูกให้เป็นทองคำได้ ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางมาหา "Alchemist"  เพื่อขอเรียนวิชานี้ค่ะ ซึ่งเขารู้มาว่า Alchemist พักอยู่ที่โอเอซิส กลางทะเลทรายแห่งนี้

          การเดินทางผ่านทะเลทรายเพื่อไปยังปิรามิดของซานดิเอโก มีการผจญภัยมากมายค่ะ ทั้งสงครามระหว่างชนเผ่าในทะเลทราย การพบรักกับฟาติมา สาวสวยที่โอเอซิส การเจอกับ Alchemist และเรียนรู้สิ่งที่ Alchemist สอน การพบกับหัวหน้าโจรและถูกปล้น

         ไม่อยากสปอยหนังสือไปมากกว่านี้ค่ะ สามารถหาซื้ออ่านต่อกันได้นะคะ ถ้าอยากรู้ว่าในที่สุดความฝันของซานดิเอโกเป็นจริงหรือไม่ เขาได้พบสมบัติหรือไม่

           ออยเองไม่แน่ใจว่า ฉบับภาษาไทยยังมีจำหน่ายอยู่หรือไม่ หากไม่มีแล้ว แนะนำว่า ฉบับภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ยากเลยค่ะ อ่านง่าย และสวย ... หนังสือที่ใช้ภาษาที่สวยเป็นยังไง ลองอ่านเล่มนี้ดูนะคะ




      


Thursday, March 14, 2013

ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ







หนังสือชื่อ : ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ

ผู้แต่ง : ติช นัท ฮันท์

ผู้แปล : พระประชา ปสนนธมโม

สำนักพิมพ์ : มูลนิธีโกมลคีมทอง



     หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้คิดจะขายค่ะ เพราะพิจารณาแล้วคงไม่คุ้ม เนื่องจากราคาจากหน้าปกก็ 95 บาทเองค่ะ ถึงลดราคาให้ 50% แต่บวกค่าขนส่งแล้ว ก็จะเกินราคาหนังสือเอา แต่อยากแนะนำให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ เพราะบางครั้ง ถึงโลกจะก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ไปเพียงใด แต่ทางด้านจิตใจ เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องมี "ศาสนา" เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวค่ะ

       สิ่งแรกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่เคร่งศาสนาอย่างออยก็คือ หนังสือเล่มนี้ เหมาะกันทุกศาสนา อยากเรียกว่าเป็นหนังสือปรัชญาซะมากกว่า ผู้แต่งคือ พระอาจารย์ติช นัท ฮันท์ ท่านเป็นพระชาวเวียดนาม หากแต่ลี้ภัยสงครามไปอยู่ที่ฝรั่งเศส แต่ก่อตั้งสำนักสงฆ์ที่ชื่อ "หมู่บ้านพลัม" ที่นั่น เพื่อเผยแพร่หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา 

      ในหนังสือเล่มนี้ ได้บอกกับเราว่า "เวลา ณ ปัจจุบัน คือเวลาที่สำคัญที่สุด" เนื่องจาก อดีต ได้ผ่านไปแล้ว จงไม่ใช่ของเราอีกต่อไป และ อนาคต ก็ยังมาไม่ถึง จึงยังไม่เป็นของเรา เราทุกคนจึงมีเพียงปัจจุบันขณะเท่านั้น ที่เป็นของเรา เราจึงต้องอยู่กับปัจจุบัน ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเรา ณ ขณะนี้ให้ดีที่สุด และนี่คือวิธีที่เรียกว่า "การฝึกสติ"

      เราควรมีสติ รู้ตัวทุกๆ การกระทำของเรา หนังสือได้ยกตัวอย่าง "การล้างจาน เพื่อล้างจาน" คือการล้างจานอย่างมีสติ อย่างรับรู้ว่าขณะเรากำลังล้างจาน ทำการล้างจานให้ดีที่สุด ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าจานสกปรกที่อยู่ตรงหน้าเรา หรือการหาความสงบจากชิ้นส้ม คือการที่เมื่อเรากินอาหาร หากแต่ใจเรากลับไม่ได้ลิ้มรสอาหารที่อยู่ตักเข้าปากนั้น ใจเรากลับคิดไปถึงสิ่งที่เราจะทำหลังจากทานอาหารเสร็จ หรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งนั่นน่าเสียดาย ทำให้เราพลาดความรู้สึกมหัศจรรย์ในรสชาดของอาหาร ดื่มด่ำความสุขของการทานส้มชิันหวานชิ้นนั้น

      ผู้แต่งบอกว่า ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในทุกวัน ทุกนาที คือ ปาฏิหาริย์ของการเกิดมา รับรู้ และมีสติ ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง การรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง เมื่อโกรธ ก็รู้ว่าฉันกำลังโกรธ (เขาไม่ได้บอกให้ระงับโกรธ หรือเสแสร้งว่าไม่ได้โกรธนะคะ) แต่ให้พิจารณาอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองนั่น แล้วเดี๋ยวอารมณ์นั่นก็จะหายไปเองแหละค่ะ (คงเหมือนเวลาเราอ่านเรื่องลึกลับ เรื่องผี แล้วเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาอธิบาย อารมณ์กลัวก็จะหายไปเอง)

      ในหนังสือมีนิทานด้วยค่ะ เรื่อง "คำตอบอัศจรรย์ 3 ประการ" เรื่องมีอยู่ว่า จักรพรรดิองค์หนึ่งต้องการรู้คำตอบของ 3 ปัญหา โดยเชื่อว่า หาได้คำตอบแล้ว จะทำให้พระองค์เป็นคนที่ทำอะไรไม่เคยผิดพลาดเลย คำถาม 3 ข้อนี้คือ
        1. เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง
        2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย
        3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา

      มีคนพยายามหาคำตอบแก่พระจักรพรรดิ์หลายคนเลย แต่คำตอบก็ยังไม่ถูกใจ พระจักรพรรดิ์ทราบมาว่า มีพระฤาษีตนหนึ่งอาศัยอยู่บนเขา อาจรู้คำตอบต่อปัญหาทั้งสามนี้ พระองค์จึงเสด็จไปหา ตามลำพัง โดยให้องครักษ์รออยู่ที่ตีนเขา ส่วนตัวพระองค์เองก็ปลอมตัวเป็นชาวนาเข้าไป

      เมื่อถึงที่พักของพระฤาษี พระองค์พบว่า ฤาษีผู้ชรากำลังขุดดินอยู่ จึงอาสาเข้าไปช่วย พร้อมทั้งถามคำถามทั้งสามข้อนั่นไปด้วย หากแต่ฤาษีก็ไม่ตอบ พระจักรพรรดิ์จึงต้องขุดดินต่อจนบ่ายคล้อย และขณะที่จะถามคำถามอีกครั้งนั้นเอง มีชายคนหนึ่งถูกแทง วิ่งเตลิดมา และล้มหมดสติลง 

      พระจักรพรรดิ์จึงต้องทำการปฐมพยาบาลชายผู้นั่น และคอยเฝ้าไข้ชายผู้นั่นตลอดทั้งคืน เมื่อชายผู้นั่น ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็สารภาพต่อพระจักรพรรดิ์ว่า จริงๆ แล้วเขาตั้งใจที่จะมาลอบสังหารพระองค์ เพื่อแก้แค้นให้พี่ชาย ที่ถูกฆ่าตายในสงคราม หากแต่ถูกองครักษ์ของพระจักรพรรดิ์พบเข้า และถูกแทง จนหนีมา จนเจอพระจักรพรรดิ์ ผู้ช่วยชีวิตตน จึงขอประทานอภัยโทษ พระจักรพรรดิ์ก็ดีใจ ที่ศัตรูกลับมาเป็นมิตร จึงให้อภัย

       เมื่อพระจักรพรรดิ์จะเสด็จกลับ จึงถามคำถามสำคัญสามข้อนี้ กับฤาษีเป็นครั้งสุดท้าย ฤาษีก็ตอบว่า ท่านได้รับคำตอบทั้งหมดแล้วนี่

         1. เวลาที่เหมาะในการทำกิจแต่ละอย่าง คือ เวลาในช่วงปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลาเดียวเท่านั้นที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

         2. คนที่สำคัญที่สุด ที่ควรทำงานด้วย คือ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา คนที่เรากำลังติดต่ออยู่ เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับเขาอีกหรือไม่

       3. สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา คือ ภารกิจการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นมีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต!!!


       สนใจหนังสือเล่มนี้ หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปนะคะ (งานสัปดาห์หนังสือ น่าจะมีลดราคา) หรือสั่งซื้อที่ book@komol.com ค่ะ




      

Tuesday, March 12, 2013

ทวิภพ






หนังสือชื่อ  :  ทวิภพ

ผู้แต่ง : ทมยันตี

สำนักพิมพ์ : ณ บ้านวรรณกรรม

ขายแล้วค่ะ!!!



      หลังจากที่ได้รีวิวหนังสือเครียดๆ วิชาการๆ มาหลายเล่มแล้ว คราวนี้ เรามาโรแมนติกกันบ้าอะไรบ้างค่ะ

      ทวิภพเล่มนี้ ซื้อมานานแล้วค่ะ ซื้อสมัยละครที่คุณสิเรียม เล่นคู่กับคุณศรัณยู แต่หนังสือสภาพยังดีอยู่นะคะ และรับประกันความโรแมนติกก็ยังไม่ลดลงค่ะ

      อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว รับรองว่าจะได้อมยิ้มกับความน่ารักของแม่มณีกับคุณหลวจะได้เห็นว่า คนสมัยก่อนเวลาเขาจีบกัน รักกัน ชอบกันนี่ ช่างล้ำลึกนัก!!!   รับรู้ว่ารัก โดยไม่ได้บอกรัก การกระทำ สำคัญกว่าคำพูด 

        ในหนังสือเล่มนี้ ผู้แต่งยังได้สอดแทรกวัฒนธรรม ความเชื่อ ของคนไทยสมัยรัชกาลที่ 5 ไว้ด้วย ทำให้เรานึกภาพตามถึงชีวิตที่ร่มเย็น สงบ และไม่เร่งรีบ 

   เนื่องด้วยช่วงเวลาในยุคเเม่มณีกับคุณหลวงนั่น เป็นยุคล่าอาณานิคมของฝรั่ง ทางใต้ของไทย มาเลเซียก็ถูกครอบครองด้วยอังกฤษ เช่นเดียวกับพม่า ในขณะที่เพื่อนบ้าน ทางอีสาน กัมพูชา และลาวก็โดนยึดโดยฝรั่งเศส ไทยจึงเป็นไข่แดงอยู่ตรงกลาง หนังสือเล่มนี้ จึงไม่ได้เป็นแค่นิยายที่บอกเล่าเรื่องราวรักเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความรักชาติของคนในสมัยก่อนด้วย ความรักชาติที่อยากให้ย้อนเวลากลับมาในสมัยนี้จัง ในหนังสือ เราจะได้เห็นกลยุทธ์ที่บรรพบุรุษของเรา พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะรักษาเอกราชของประเทศไว้!!!

       สนใจหนังสือเล่มนี้ ขายต่อในราคาลด 50% ค่ะ เหลือ 220 บาท มีสองเล่มจบ และค่าจัดส่งทาง EMS อีก 50 บาทค่ะ สนใจติดต่อ kasibanoy@gmail.com


Sunday, March 3, 2013

TEAN THINKING : แนวคิดแบบลีน



หนังสือชื่อ : แนวคิดแบบลีน

ผู้แต่ง : James P. Womack และ Daniel T. Jones

ผู้แปล : ดร.วิทยา สุหฤทดำรง และ ยุพา กลอนกลาง

สำนักพิมพ์ : อี.ไอ.สแควร์

ราคา 450 บาท  ลด 50%!!!

เหลือ 225  บาท ค่าจัดส่ง 50 บาท

สนใจติดต่อ kasibanoy@gmail.com


 หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนที่สนใจการจัดการเเบบลีนค่ะ ถือเป็นหนังสือคัมภีร์สำหรับการจัดการเเบบลีนเลยก็ว่าได้ เป็นหนังสือการจัดการแบบลีนเล่มนี้เป็นที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกค่ะ สำหรับคนที่ทำงานด้านการจัดการควรมีเก็บไว้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ทำงานด้านการจัดการทางอุตสาหกรรมเท่านั่นนะคะ เพราะการจัดการด้านการบริการ ตอนนี้ก็มีการนำการให้บริการแบบ "ลีน" เข้าไปใช้เเล้วค่ะ

     ลีน - Lean ถ้าเเปลตรงตัว จะแปลว่า ไม่มีส่วนเกิน ดังนั้นการจัดการแบบลีน คือการจัดการให้ผลิตภัณฑ์สามารถลื่นไหลไปในสายธารคุณค่า โดยลดการสูญเสียให้มากที่สุด ลดการผลิตเกินจำเป็น หากแต่ว่า ก่อนที่จะนำการจัดการแบบลีนมาใช้ได้ เราก็ต้อง "คิดแบบลีน - Lean Thinking"  ให้ได้เสียก่อน

         การคิดแแบบลีนช่วยให้ผู้จัดการสามารถระบุ "คุณค่า - Value" ของสินค้าหรือบริการของตัวเองได้อย่างชัดเจน เพื่อนำไปจัดเรียงกิจกรรมตาม "สายธารคุณค่า - Value Stream" และช่วยให้เกิด "การไหล - Flow" ของคุณค่า ตาม "การดึง - Pull" ของลูกค้า

         รายละเอียด ความหมาย ของแต่ละคำศัพท์ เช่น "คุณค่า" "สายธารคุณค่า" "การไหล" มีคำอธิบายอยู่ภายในหนังสือเล่มนี้แล้ว ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย มีการยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัด จากความสำเร็จของโรงงานที่นำลีนไปใช้ เช่น โตโยต้า เป็นต้น

       หนังสือเล่มนี้ ออยซื้อมาสมัยที่เรียนปริญญาโท สาขาการจัดการอุตสาหกรรมค่ะ อ่านแล้ว และพบว่ามีประโยชน์มากมาย แต่เนื่องจากตอนนี้ มีโครงการย้ายไปต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถขนหน้งสือหลายๆ เล่มไปด้วยได้ ประกอบกับมีแผนที่จะเปลี่ยนสายงานไปทำงานทางด้านสายคอมพิวเตอร์แทน จึงคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆ เลยนำมาเสนอขายต่อ ในราคาลด 50% ค่ะ เหลือ 225 บาท บวกค่าจัดส่งทาง EMS  50 บาทค่่ะ สนใจติดต่อมาที่ kasibanoy@gmail.com ค่ะ
   

Thursday, February 14, 2013

โลกของโซฟี





หนังสือชื่อ : โลกของโซฟี

ผู้แต่ง : โยสไตน์ กอร์เดอร์

ผู้แปล : สายพิณ ศุพุทธมงคล

สำนักพิมพ์ : คบไฟ

ขายแล้วค่ะ!!!
 
 


มีคนเคยบอกว่า "ถ้ามีเงินสองบาท จงเอาหนึ่งบาทไปซื้อข้าว และอีกหนึ่งบาทไปซื้อดอกไม้ อย่างแรกทำให้เรามีชีวิตอยู่ อย่างหลังเป็นเหตุผลให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป" เป็นจริงยิ่งนัก สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อหนังสือเล่มนี้ไปอ่านค่ะ

หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมีเจตนาที่จะเขียนหนังสือปรัชญาที่เข้าใจง่ายให้เด็กๆ อ่านกัน แต่แก่ๆ ก็อ่านได้ อย่างสนุกค่ะ และก็พว่า ไม่ได้น่าเบื่อ หรือดูง่ายเกินไปเลยค่ะ หนังสือเล่าตั้งแต่แนวคิดของนักปรัชญาช่วงเริ่มต้น ตั้งแต่สมัยกรีก เริ่มจาเดโมคริตุส โสกราตีส อริสโตเติล ไปเรื่อยตามลำดับช่วงเวลาในประวัติศสตร์ จนถึง ดาร์วิน ฟรอยด์ และปรัชญาในยุคปัจจุบันของเรา ผ่านตัวละครที่เป็นเด็กหญิงอายุ 14 ย่างเข้า 15 ชื่อโซฟี

มนุษย์เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในโลกนี้ ที่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เราเกิดมาเพื่ออะไร?" ำถามนี้มีมาตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติค่ะ และคำตอบต่อคำถามนี่ ก็หลากหลายกันไปตามช่วงเวลาเช่นกัน หนังสือนี้จะนำพาเราไปหาคำตอบในแต่ละช่วงเวลาค่ะ 

บางทีการอ่านหนังสือเล่มนี้ อาจทำให้เราได้ค้นพบปรัชญาในชีวิตของเราเองบ้างค่ะ ว่าเรา "เกิดมาเพื่ออะไร?" สำหรับตัวเอง หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ก็ได้ข้อคิดค่ะว่า ชีวิตนี้สั้นนักค่ะ อย่าเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา ทำอะไรเพื่อให้ใครอื่นพอใจ เราควรค้นหาให้เจอว่า อะไรคือสิ่งที่เราทำแล้ว มีความสุข จากนั้นก็ทุ่มเททั้งหมดที่มีให้กับสิ่งนั้นดีกว่า

หากสนใจหนังสือเล่มนี้ ยินดีขายต่อค่ะ ในราคาลด 60% (เพราะอยากให้ได้อ่านกันค่ะ เป็นหนังสือที่ดีเลยทีเดียว) เหลือ 120 บาทค่ะ บวกค่าจัดส่งทาง EMS อีก 50 บาทค่ะ สนใจ e-mail มาได้ที่ kasibanoy@gmail.com ค่ะ

 
 


Sunday, January 20, 2013

รวยได้ไม่ต้องเอาถ่าน



หนังสือชื่อ : รวยได้ไม่ต้องเอาถ่าน 
                                                        (How come THAT idiot's rich and I'm not?)

ผู้แต่ง : Robert Shemin

ผู้แปล : มินตา ภณปฤณ

สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น


ขายแล้วค่ะ!!!


      หนังสือเล่มนี้ เหมาะกับใครก็ตาม ที่รู้สึกว่าตัวเองทำทุกอย่าง อย่างถูกต้องตลอดมาทั้งชีวิต แต่ก็ยังรู้สึกว่า ตัวเองไม่รวยเสียที ในขณะที่คนรอบข้าง ที่เคยรู้จัก ที่ดูเหมือนเรียนโง่กว่าเรา ดูตกต่ำกว่าเราในขณะนั้น กลับร่ำรวย ได้ดิบได้ดี จึงทำให้เราต้องหาหนังสือ อย่างเช่นหนังสือเล่มนี้ มาอ่านค่ะ ว่าเราพลาด อะไรไปตรงไหน

       สิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ คือ ทั้งหมดนั้น มันเป็นเรื่องของทัศนคติ!!!  ลองสำรวจตัวเองดูสิคะ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น คุณเพียรพยายามเก็บเงิน มุ่งมั่นกับการไต่เต้าในหน้าที่การงานมาตลอดชีวิต ถึงขั้น บางครั้งลงทุนซื้อหนังสือ หรือเข้าชั้นเรียนอบรม เพื่อการพัฒนาตัวเอง แต่ทุกสิ่งที่ทำลงไป ก็ยังทำให้คุณยัง "ถังแตก" อยู่หรือเปล่า 

        หนังสือเล่มนี้ บอกว่า บางทีนั่นอาจเป็นเพราะ คุณ "เถรตรง" เกินไปหรือเปล่า!!! จุดอ่อนของคุณคือ คุณอยากมีเงิน แต่ไม่อยากเป็นคนรวย คุณคิดว่าคนรวยเห็นแก่ตัว บลา บลา... แต่ตัวคุณเองอยากมีเงิน นั่นเป็นความคิดที่ขัดแย้งกัน และลึกๆ มันจะขวางทางคุณจากความสำเร็จ

         ในหนังสือ บอกให้คุณเตรียมความพร้อม มีความมั่งคั่งทางด้านจิตใจก่อน ซึ่งเป็นสิ่งง่ายๆ ไม่ต้องใช้เงินลงทุน เช่น การยิ้มให้กับลูกค้าของคุณ การใส่ใจบริการ การมีทัศนคติที่ดีต่องานของตัวเอง เหล่านี้เป็นต้น ตั้งเป้าหมายความสำเร็จของตัวเอง สนุกกับชีวิตทุกวันของคุณ (ทำเหมือนคุณเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว) วางแผนการเงินอย่างฉลาด หาทางให้เงินทำงานให้คุณ (อย่าเข้าใจผิดนะคะ หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้แนะนำให้คุณไปขายตรง หรืออะไรอย่างนั้น แต่เพียงให้คุณรู้จักวางแผนการเงิน ทำเงินที่ได้ไปลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่คุณถนัด และคุณเป็นเพียงแค่ผู้ควบคุม ไม่ใช่คนลงมือทำ) จากนั้นหาทางกำจัดหนี้เสียของคุณซะ เริ่มศึกษาเรื่องการเล่นหุ้น (หุ้นได้กำไรดีจริงๆ นะคะ แต่ต้องศึกษาเรื่องความเสี่ยง ไม่งั้นเขาจะว่า "คนรวยเล่นหุ้น" หรือคะ) และสุดท้าย หาทางมีกิจการของตัวเอง


       จากกันไปด้วยข้อคิดของคนไม่เอาถ่าน จากหนังสือเล่มนี้ค่ะ 

คนไม่เอาผู้มั่งคั่ง ไม่เคยคิดหรือพูดว่า "ฉันทำไม่ได้"
พวกเขาจะถามว่า "ฉันจะทำได้อย่างไร" แทน 
จงลบคำว่า "ทำไม่ได้" ออกไปจากพจนานุกรมของคุณเสีย


         คุณยังไม่เคยทำ คุณไม่รู้หรอกว่า คุณจะทำได้หรือไม่ จะรู้ก็ต่อเมื่อคุณลงมือทำเท่านั้น "วิธีที่ดีที่สุดในการทำนายอนาคต ก็คือการสร้างมันขึ้นเอง"  สนใจหนังสือเล่มนี้ ซื้อต่อจากออยได้นะคะ ในราคาลด 50% ค่ะ คือ 100 บาท และค่าส่ง 50 บาทค่ะ สนใจติดต่อ kasibanoy@gmail.com ค่ะ

Thursday, January 17, 2013

Predictably Irrational : พฤติกรรมพยากรณ์



หนังสือชื่อ : พฤติกรรมพยากรณ์ (Predictably Irrational)

ผู้แต่ง : Dan Ariely

ผู้แปล :  พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ

สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น


ขายแล้วค่ะ !!!


      หนังสือเล่มนี้ เล่าเรื่องราวของ "เศรษฐศาสตร์พติกรรม" ค่ะ แต่ไม่ใช่ตำราเรียนนะคะ เป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวันของเรานี่แหละ รับรองว่าอ่านสนุกค่ะ อ่านไป ก็คิดตามไป แล้วก็พูดกับหนังสือว่า "เออ...จริงแหะ" 

      
    หนังสือเล่มนี้ นำเสนองานวิจัย การทดลอง (แบบสนุกๆ) ถึงพฤติกรรมการบริโภคของคนเรา ที่ดูเหมือนไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แสดงให้เห็นว่า คนเราไม่ได้ตัดสินใจซื้อของ อย่างที่ตำราบอก เช่น ตำราเคยบอกว่า ลูกค้าจะซื้อสินค้า เมื่อเขามีความต้องการ และจะเลือกซื้อสินค้าที่ตอบสนองความพึงพอใจ ในด้านคุณภาพ รูปลักษณ์ และราคา แต่ชีวิตจริง ไม่ใช่เช่นนั้น!!!

        ตัวอย่างเช่น เราจะรู้สึกตื่นเต้น และซื้อ (ทั้งที่ไม่ได้ต้องการ) หากเจอโปรโมชั่น "ซื้อ 1 แถม 1"  - หนังสือเล่มนี้บอกว่า นั่นก็เป็นเพราะเราไม่ได้รู้มูลค่าที่แท้จริงของของสิ่งนั้น เรารู้จากการเปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆ เท่านั้น ดังนั้น เมื่อของสิ่งนั้น เดิมมีราคาหนึ่ง และอยู่มาวันหนึ่ง ราคานั้นลดลงครึ่งหนึ่ง เราจึงคว้าไว้ก่อน ถึงแม้ว่าตอนนั้น เราไม่ได้มีความต้องการมันเลยก็ตาม

        หมายความว่า เราจะตัดสินใจ "ซื้อ หรือไม่ซื้อ" จากการเปรียบเทียบ เชื่อมโยงกับข้อมูลที่เรามีอยู่เท่านั้น ดังนั้น คนสองคนจึงตัดสินที่จะซื้อสินค้า หรือรู้สึกว่าสินค้านี้คุ้มหรือไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของคนทั้งสองน้้น นั่นคือ สมองคนเราไม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ เพียงแต่จะต่อยอดจากสิ่งที่รู้แล้วเท่านั้น

         หรือบทที่ว่าด้วยพลังของ "ของฟรี" มันจะดึงดูดเรามาก เเละทำให้เราซื้อ โดยไม่ได้คิดคำนวณให้รอบคอบถึงผลระยะยาว หรือบทเรียนที่ว่า หากจะชนะใจใครแล้ว อย่าใช้เงินเป็นอันขาด เช่น หากคุณกำลังออกเดทกับสาวสวยสักคน แล้วคุณดันร่ายยาวถึงราคาอาหารในเมนูที่คุณกำลังจะเลี้ยงเธอ นั่นไม่ได้ทำให้เธอประทับใจอะไรเลย แต่กลับทำให้เธอแผ่นแน่บ!

         หนังสือเล่มนี้ มีคำอธิบายกับพฤติกรรมแย่ๆ ของคนเรา เช่น การผลัดวันประกันพรุ่ง นิสัยไม่ซื่อสัตย์ของคนเรา และการจับปลาสองมือ (คือกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าตัดสินใจทิ้งอย่างใด อย่างหนึ่งเพื่อเลือกทุ่มเททำอีกอย่างหนึ่ง เพราะกลัวการล้มเหลว) และบอกถึงวิธีการรับมือกับพฤติกรรมเหล่านั้น

      หนังสือยังได้เล่าเรื่องอิทธิพลของคำโฆษณาที่มีผลต่อความคาดหวังของคนเราได้อย่างไร หรือบทที่ว่า ทำไมยาเอสไพรินราคาถูกถึงไม่สามารถทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เท่ากับที่กินยาราคาแพงๆ เป็นต้น

          อ่านหนังสือเล่มนี้จบ ทำให้เข้าพฤติกรรมการชอปปิ้งของตัวเองเลยค่ะ :) และเข้าใจด้วยว่า เราเองก็ตกเป็น "เหยื่อ" ของการตลาดแบบพฤติกรรมศาสตร์นี้ด้วย และในหนังสือยังแนะนำวิธี "ตั้งสติ" ให้อีกด้วย 

      เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก บอกว่ามนุษย์มีเหตุมีผล เรารู้ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับการตัดสินใจของเราเอง เราสามารถคำนวณมูลค่าทางเลือกต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าได้ และประเมินรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละทางเลือกได้... ไม่จริงค่ะ ... เพราะถ้าตอนนี้ มีประกาศโปรโมชั่น "ซื้อ ipad 1 เครื่อง แถมอีก 1 เครื่อง ฟรี!" ออยก็จะกระโจนไปซื้อทันทีค่ะ! โดยไม่มาประเมินทางเลือกว่า ตัวเองมี ipad อยู่แล้ว จะซื้อมาอีก 2 เครื่องทำไม!!!

       เเนะนำให้อ่านค่ะ ทั้งขาช้อป และไม่ใช่ขาช้อป ซื้อต่อจากออยได้ค่ะ ในราคาลด 50% คือ 120 บาท บวกค่าจัดส่งอีก 50 บาทค่ะ สนใจ ติดต่อ kasibanoy@gmail.com

Tuesday, January 15, 2013

สู่ความเป็นอัจฉริยะ ด้วยการพัฒนาพลังสมอง



ชื่อหนังสือ :  สู่ความเป็นอัจฉริยะ ด้วยการพัฒนาพลังสมอง
                                                         (Jerome becomes a genius)

ผู้แต่ง : Eran Katz

ผู้แปล  : เจิดจรัส

สำนักพิมพ์ : อินสปายร์ 


ขายแล้วค่ะ !!!


    
      ทำไมคนยิวฉลาด?   เป็นคำถามที่น่าคิดค่ะ และก็เป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ด้วย อะไรทำให้คนยิวฉลาด? แล้วเราสามารถฝึกฝนตามวิธีแบบยิว แล้วฉลาดเหมือนคนยิวได้ไหม?  คำถามเหล่านี้ น่าสนใจนะคะ และหนังสือเล่มนี้มีคำตอบค่ะ

       หนังสือดำเนินโครงเรื่องเหมือนนิยายค่ะ ทำให้อ่านสนุก ลื่นไหล เป็นเรื่องของ "เจอโรม" และเพื่อนๆ ของเขา พวกเขาเป็นคนยิวที่อยู่ในประเทศอิสราเอลค่ะ เรื่องราวเริ่มต้นด้วย เพื่อนๆ ของเจอโรมถกกันถึงเรื่องที่ว่า ทำไมผู้คนจึงเชื่อว่าคนยิวฉลาด และสุดท้าย พวกเขาจึงทำการทดลอง หาเคล็ดลับความฉลาดของคนยิว โดยใช้เจอโรมเป็นหนูทดลอง!!!

       เจอโรม ชายซึ่งฐานะปานกลาง มีธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง และเรียนจบเเค่ชั้นมัธยม (เป็นตัวแทนของคนธรรมดา ที่ไม่ได้ฉลาดมากนัก) รับคำท้าเพื่อที่จะกลายเป็นอัจฉริยะ ภายใต้เทคนิคของคนยิว!!!

      

       เคล็ดลับในความฉลาดของคนยิว เท่าที่อ่าน พอจะสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ค่ะ

1.  สร้างจินตนาการสภาพความเป็นจริงที่แตกต่างออกไป โดยไม่ต้องสนใจกับความรู้สึกเกี่ยวกับตรรกวิทยาและโอกาส - เพื่อนๆ ให้เจอโรมเขียนรายการของสิ่งที่เขาต้องการในอีก 3 ปีข้างหน้า เจอโรมเขียนไปว่า เขาต้องการมีเงิน 50 ล้านดอลลาร์!!!

2. คุณไม่ควรรู้สึกพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ แม้กระทั่งความสะดวกสบาย ความมั่นคงทางการเงิน (เพราะถ้าเราพอใจสิ่งที่เรามีอยู่ เราก็จะไม่ดิ้นรนที่จะหลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่) อย่ารู้สึกสะดวกสบาย เดินทางอยู่เสมอ ทั้งทางกายและจิตใจ เพื่อพบกับดินแดนอื่นๆ

3. จงตั้งคำถาม และอย่าเชื่ออะไรโดยไม่คิด เพราะยิ่งคิดมาก ยิ่งพัฒนาสมอง

4. จงเป็นนักเลียนแบบที่มีคิดสร้างสรรค์ ไม่ต้องคิดเริ่มใหม่ แต่ใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้สอดคล้องกับความต้องการ

5. หาแหล่งสร้างแรงบันดาลใจ หรือคนต้นแบบสำหรับลอกเลียนแบบ ซึ่งต้องเป็นคนที่มีคุณค่าด้วย

6. พยายามมั่นพัฒนาความจำเสมอ นี่คือเทคนิคที่ทำให้ชาติยิวยังคงเป็นยิวถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าในอดีตจะประสบเคราะห์กรรมมากมาย แต่ยิวก็ยังรำลึกถึงวัฒนธรรม ศาสนาของตนอย่างเคร่งครัด

7. ใช้เทคนิคการเขียนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้จำ ใช้หมึกดำบนกระดาษขาว เนื้อเรื่องที่เข้าใจยาก ให้เขียนด้วยตัวอักษรแบบแยกๆ กัน ไม่เขียนติดกัน

8. เคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีความสุข ทำให้เรารู้สึกกระตือรือร้น หรือไม่เช่นนั้น ก็สร้างความกระตือรือร้นเทียมขึ้นมาก็ได้ เช่น ตะโกนอย่างมีความสุข หรือเรียนรูู้ โดยพูดออกมาดังๆ เพื่อช่วยส่งเสริมความจำ

9. เมื่อเรียน จงทุ่มเทกับการเรียนอย่างจริงจัง และเมื่อพัก จงอย่าคิดถึงเรื่องที่เรียน อย่าเรียนเมื่อรู้สึกโกรธ หรือมีเรื่องกวนใจ เรียนเมื่อรู้สึกผ่อนคลาย และการสวดมนต์ ช่วยให้การเรียนดีขึ้น

10. เราจะจดจำอะไรบางอย่างได้ดีขึ้น เมื่อเราแปลงสิ่งนั้นให้เป็นภาพ

11. เชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่เราสร้างขึ้น ให้เป็นภาพเหตุการณ์ สิ่งนี้จะช่วยให้เราจำเรื่องราวยาวๆ ได้ดี

12. วิธีจำคำศัพท์ และเรียนภาษา ชาวยิวจะใช้เทคนิคนำคำภาษาอื่นมาแทนที่คำในภาษายิว แล้วเพิ่มจำนวนคำมากขึ้นเรื่อยๆ

13.  ชาวยิวจำชื่อ และใบหน้าคน ด้วยการสนใจในตัวบุคคล และตระหนักถึงความรู้สึกที่มีต่อเขา หาสิ่งที่เชื่อมโยงชื่อและหน้าตา และลาจากแต่ละคนด้วยวิธีการที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะบุคคล


    หนังสือเล่มนี้ นอกจากจะเล่าเคล็ดลับการเป็นคนเก่งของชาวยิวแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ศาสนาของคนยิวอีกด้วย ทำให้อ่านสนุก และทำให้เราสามารถร้อยเรื่อง จดจำเทคนิคต่างๆ ที่หนังสือเล่มนี้ต้องการสื่อได้เป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ

        สนใจหนังสือเล่มนี้ ซื้อต่อจากออยได้นะคะ ในราคาลด 50% คือ 120 บาทค่ะ และบวกค่าจัดส่งทางไปรษณีย์ (EMS) 50 บาทค่ะ สนใจติดต่อ kasibanoy@gmail.com ค่ะ



Thursday, January 3, 2013

Outliers : สัมฤทธิ์พิศวง


หนังสือชื่อ : Outliers สัมฤทธิ์พิศวง

ผู้แต่ง : Malcolm Gladwell

ผู้แปล : พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ, วิโรจน์ ภัทรทีปกร และ วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา

สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น

ขายแล้วค่ะ!!!
 

      คุณเชื่อในเรื่องกฏ 10,000 ชั่วโมงหรือเปล่าคะ?  อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วคุณจะเชื่อ!!!

      หนังสือเล่มนี้ จะบอกให้คุณรู้ว่า ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยบังเอิญ โชคช่วย หรืออะไรทั้งนั้น ความสำเร็จของทุกๆ คนที่เราเห็น ล้วนมาจากการทำงานอย่างทุ่มเท ไม่น้อยกว่า 10,000 ชั่วโมงกันทั้งนั้น!!!

       ตัวอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ (และเราคิดว่า เขาโชคดี เพราะเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย) อย่างเช่น บิกตส์ หนังสือเล่มนี้ได้เจาะลึกให้เราดูค่ะ ว่า บิล เกตส์ ไม่ได้โชคดีมากอย่างที่คิด เขเอง็ทำงานหนัก เขาได้มีโอกาสเริ่มเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งเเต่เรียนอยู่ชั้นเกรดแปด และทุ่มเทเวลาหมดไปกับสิ่งที่เขาหลงใหล เขาให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงนั้นเขาน่าจะใช้เวลาคลุกกับคอมพิวเตอร์ไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน ทั้ง 7 วันในสัปดาห์!!! เขาถึงขนาดตื่นตีสาม เพื่อไปใช้คอมพิวเตอร์ฟรีที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน และแล้วเมื่อโอกาสมาถึง เมื่อเขาได้ตั้งบริษัทเป็นของตนเอง เขาก็ได้เขียนโปรแกรมแบบไม่หยุดพักมา 7 ปีติดต่อกันแล้ว เขาข้ามผ่านเวลา 10,000 ชั่วโมงของการฝึกฝนไปมากแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะประสบความสำเร็จกับบริษัทไมโครซอฟท์ของเขา

     หาก บิล เกตส์ จะโชคดีในกรณีนี้ บิล เกตส์ ก็โชคดีที่เขามีครอบคัวที่มีฐานะ สามารถซื้อคอมพิวเตอร์ (ที่มีราคาแพงในขณะนั้น) ให้เขาใช้ได้ และมีบ้านที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่ที่เขาสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ฟรี (ถึงเเม้จะต้องไปใช้ตอนตีสามก็ตาม) แต่เขาไ่ได้โชคดีที่สามารถคิดค้นระบบปฏิบัติการ Window แน่นอน!!!

     หนังสือเล่มนี้บอกว่า หากมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ที่เรียกว่า "โชค" สำหรับการประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว แล้วล่ะก็ นั่นคือ ชาติกำเนิด วัฒนธรรม นั่นเอง

       หนังสือได้ยกตัวอย่าง วัฒนธรรมของคนเกาหลี กับเหตุการณ์เครื่องบินตก สืบเนื่องจากช่วงหนึ่งเครื่องบินของสายการบินโคเรียน แอร์ ประสบอุบัติเหตุตกบ่อย ภายหลังจากการสืบสวนสาเหตุของการตก พบว่า เป็นเพราะวัฒนธรรมเคารพอาวุโสของคนเกาหลี (จริงๆ ก็ทั้งเอเชียนั้นแหละ) ทำให้ลูกน้อง (ในที่นี้คือนักบินผู้ช่วย) ไม่กล้าแสดงความไม่เห็นด้วยกับหัวหน้า วิธีแก้ไขที่โคเรียน แอร์ นำมาใช้คือ การให้นักบินทุกคนสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ถึงเเม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนเกาหลีก็ตาม เพื่อทำลายกำแพงทางวัฒนธรรมที่ทำให้เกิดอุปสรรคต่อความปลอดภัยทางการบิน

          หรือในกรณีที่ว่า ทำไมเด็กเชื้อสายเอเชียจึงเก่งเลข หนังสือเล่มนี้บอกว่า นั้นเพราะวัฒนธรรม และภาษา ภาษาที่ใช้เรียกตัวเลข หรือนับเลขของคนเอเชียค่อนข้างตรงไปตรงมา ทำให้เด็กเอเชียสามารถนับเลขได้เร็ว ฝรั่งบางคนคิดว่า เด็กเอเชียเก่งเลขมาตั้งแต่เกิด เป็นพันธุกรรม แต่หนังสือเล่มนี้บอกเรา่า มันไม่ใข่อย่างนั้น หนังสือได้ทำการสืบกลับไปถึงวัฒนธรรมการปลูกข้าวของชาวเอเชีย ที่ต้องขยัน ตื่นแต่เช้า และทำงานทั้งวัน ทำให้เอเชียมีวัฒนธรรมของการเชื่อว่าขยันแล้วจะได้ดี และนั่นก็เช่นเดียวกับวิชาคณิตศาสตร์!!! ถ้าเรามั่นทำโจทย์ ทำแบบฝึกหัด เราก็จะเก่งเลขได้ไม่ยาก

         หนังสือเล่มนี้ ทำให้เรารู้เคล็ดลับความสำเร็จง่ายๆ ค่ะ ดูพื้นฐานชีวิตของเรา เรากำเนิดมาจากครอบครัวพื้นฐานเเบบใด นั่นคือต้นทุนที่เรามี (เป็นโชคของเรา) จากนั้นทุ่มเทเวลาให้กับสิ่งที่เราอยกเป็น ให้ไม่น้อยกว่า 10,000 ชั่วโมง!!! แล้วความสำเร็จก็จะเป็นของแน่นอน!!!

        สนใจอ่านหนังสือเล่มนี้ ซื้อต่อจากออยได้นะคะ ในราคาด 50% ค่ะ คือ 110 บาท บวกค่าจัดส่งอีก 50 บาทค่ะ สนใจติดต่อที่ kasibanoy@gmail.com