หนังสือชื่อ : If cats disappeared from the world
ผู้แต่ง : Genki Kawamura
ผู้แปล : Eric Selland
สำนักพิมพ์ : Picador
ความตายมาถึงเราไม่ช้าก็เร็ว
หนังสือเขียนในลักษณะคล้ายไดอารี่ คนเขียนอายุ 30 ปี ทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ โสด อยู่บ้านคนเดียวกับแมวลายทักซิโด ชื่อ Cabbage มีบุคลิก introvert มีความคิดลึกซึ้ง แต่ไม่พูดอธิบายสิ่งที่ตนรู้สึก ซึ่งพ่อของเขาก็มีนิสัยแบบนี้เช่นกัน ทำให้หลังจากแม่ของเขาเสียไปเมื่อสี่ปีก่อน เขาและพ่อก็ไม่พูดคุยกันอีกเลย
เริ่มจากเขาไม่สบายเรื้อรัง และเมื่อไปหาหมอ หมอวินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินหกเดือน หรือพูดง่ายๆ ว่าแต่ละวันที่เขายังหายใจอยู่ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
เมื่อกลับมาบ้าน เขาเจอกับปีศาจ (ที่เขาตั้งช่ือว่า Aloha) ปีศาจยื่นขอเสนอกับเขา ให้เขาแลกให้สิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหายจากโลกนี้ไปหนึ่งชิ้น แลกกับชีวิตเขายาวนานขึ้นอีกหนึ่งวัน
ตอนแรกปีศาจเสนอแลกให้ชอคโกเลตหายจากโลกนี้ไป แต่พอปีศาจได้ชิมชอคโกเลตก็เปลี่ยนใจ มันอร่อยมาก เลยเกิดเสียดายถ้าของอร่อยแบบนี้จะหายไปจากโลกนี้
ของที่หายไปในที่นี้หมายถึง คนในโลกไม่รู้เลยว่ามันเคยมีอยู่ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการใช้สิ่งของนั้นๆ เลย มีแต่ตัวเจ้าของเรื่องเองเท่านั้นที่จำได้ว่าโลกนี้เคยมีสิ่งนั้นอยู่
วันแรก โทรศัพท์หายไปจากโลกนี้ -- ปีศาจอนุญาตให้เจ้าของเรื่องใช้โทรศัพท์ได้เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อติดต่อคนที่เขาอยากโทรหาเป็นคนสุดท้าย
วันที่สอง ภาพยนตร์หายไปจากโลกนี้ -- เจ้าของเรื่องรักการชมภาพยนตร์ ปีศาจอนุญาตให้เขาเลือกภาพยนตร์ที่อยากชมเป็นเรื่องสุดท้าย
วันที่สาม นาฬิกาหายไปจากโลกนี้ -- ไม่มีเวลา เวลาเป็นการกำหนดของมนุษย์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่เป็นผู้กำหนดมาตรฐานชั่วโมง นาที วันในปฏิทิน
วันที่สี่ แมวหายไปจากโลกนี้ ...
ทั้งเล่มจึงเป็นไดอารี่ความทรงจำของผู้เขียน ชีวิตในอดีตที่ผ่านมา เรื่องราวต่างๆ ... คือเขามีชีวิตที่เรียบง่ายค่ะ ไม่ได้ชายผู้ทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไร เป็นตัวแทนของคนธรรมดาๆ เหมือนเราๆ
คนมักจะคิดว่า คนที่รู้ตัวเองว่ากำลังจะตาย คงจะทำลิสต์รายการที่อยากจะทำก่อนตาย สิ่งที่ไม่เคยทำ เปลี่ยนเป็นคนในแบบที่ไม่เคยเป็นเพราะไม่กล้า แต่งตัวแบบที่อยากแต่งแต่ไม่กล้า เพราะกลัวสายตาชาวบ้าน หรือไม่ก็เสียใจที่ไม่ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ...แต่เอาเข้าจริง คนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย กลับสงบกว่านั้นค่ะ เรื่องพวกนั้นมันไม่สำคัญเลย ไม่ว่าสไตล์การแต่งตัว คำนินทาของคนอื่น ฯลฯ พวกนี้ไม่สำคัญเลย -- no matter how you look at it, life is full of regrets anyway.
หนังสือเล่มนี้จึงเหมือนพินัยกรรมของเจ้าของเรื่อง สอนให้เราขบคิดถึงชีวิต ยังไงในที่สุดคนเราก็ต้องตายอยู่ดี ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า และส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไร...การใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะให้เต็มที่นั่นคือสิ่งเดียวที่เราทำได้
"There's a reason that things exist in this world. And there's no reason good enough for making them disappear."