Monday, September 2, 2024

The Diary of a CEO

 



หนังสือชื่อ  :  The Diary off a CEO
ผู้แต่ง  :  Steven Bartlett
สำนักพิมพ์  :  Ebury Edge

จัดว่าเป็นหนังสือ How-to ที่ดีที่สุดที่เคยอ่านในปีนี้เลยล่ะค่ะ ปกติหนังสือพวก How-to เนี่ยจะน้ำท่วมทุ่ง เนื้อหาใจความสำคัญมีแค่นิดเดียว ที่เหลือทั้งเล่มเขียนหนาๆ คือการพยายามใช้สำนวนการเขียนให้คนอ่านคล้อยตามประเด็นที่คนเขียนต้องการสื่อ

แต่หนังสือเล่มนี้ต่างออกไปค่ะ ไม่เชิงเป็นหนังสือ How-to ซะทีเดียว แต่กึ่งๆ เป็นหนังสือแนะนำการทำ marketing ในโซเชียลมีเดีย รวมถึงการสร้างทีม การทำงานร่วมกับคนอื่นให้บรรลุผลที่ต้องการ

ผู้เขียนแบ่งหนังสือออกเป็น 4 ภาค หรือ 4 เสา และในแต่ละภาคก็มีบทย่อยๆ เป็นกฎต่างๆ และแต่ละกฎก็น่าสนใจอ่านทั้งนั้นเลย กลายเป็นหนังสือ how-to ที่เหนือหาอัดแน่นเลยค่ะ
ภาคที่ 1 คือตัวเอง 
การปรับปรุงตัวเอง ผู้เขียนมองว่า การจะบรรลุความสำเร็จใดๆ ควรเริ่มต้นด้วยทัศนคติในตัวเองก่อน เริ่มจากเติมเต็มความรู้ให้แก่ตัวเอง และเพิ่มทักษะความสามารถ จากนั้นค่อยหาเน็ตเวิร์ค ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และค่อยหาทรัพยากร เงินทุนลงทุน แล้วสุดท้ายค่อยคิดถึงภาพลักษณ์ที่ต้องการแสดงให้โลกเห็น -- เราควรทำทั้งหมดนี้ตามขั้นตอน อย่าลัดทำอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เพราะจะกลายเป็นว่าเราเริ่มธุรกิจทั้งที่ยังไม่พร้อมในภาคนี้ ผู้เขียนเน้นในการปรับปรุงตัวเอง วิธีการสร้างนิสัยที่ดี หรือเลิกนิสัยที่เสีย 

ภาคที่ 2 เรื่องราว
ในบทนี้ คือการเล่าเรื่องของเราหรือบริษัทของเราให้ผู้คนรับรู้ -- คนจะจำเรื่องเหลวไหล ขบขันที่เราทำได้ง่ายกว่าสาระประโยชน์ ดังนั้นถ้าอยากจะให้บริษัทเป็นที่รู้จัก ก็ควรหาจุดขายขำๆ ให้คนจำได้ 
ภาคนี้มีหลายกฏ และน่าสนใจทั้งนั้นเลยค่ะ เพราะผู้เขียนเชี่ยวชาญเรื่องการโฆษณาในโซเชียลมีเดีย ดังนั้นอ่านแล้วได้ความรู้นำมาปรับใช้กับธุรกิจได้เลยล่ะค่

ภาคที่ 3 ปรัชญา
เป็นเรื่องของปรัชญาในการทำงาน ทัศนคติในการรับมือกับปัญหาต่างๆ ในที่ทำงาน และการวางเป้าหมายในการทำงานค่ะ

ภาคที่ 4 ทีม
การสร้างทีมงาน สร้างเพื่อนร่วมงาน ในฐานะผู้จัดการ เราควรทำตัวเหมือนของเหลว รับมือกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องแต่ละคนแตกต่างกัน ตามนิสัยเฉพาะตัวของลูกน้องคนนั้นๆ เพื่อให้พวกเขาร่วมมือทำงานและบรรลุเป้าหมายของทีม 
ผู้จัดการที่ดีต้องสามารถหาคนที่เก่งกว่าในเฉพาะทางนั้นๆ มาทำงานให้เราค่ะ และทำงานโดยประเมินความสำเร็จจากความก้าวหน้าของงาน ที่อาจจะเขยิบทีละน้อยๆ แต่ก็ก้าวหน้า (งานบางอย่างต้องใช้เวลา) แทนที่จะประเมินผลงานจากการทำงานเสร็จ 
.
เป็นหนังสือที่ดีเลยล่ะค่ะ อ่านเถอะ อ่านแล้วได้แง่คิดอะไรแน่นอน

Sunday, August 25, 2024

Three Little Birds

 


หนังสือชื่อ  :  Three Little Birds

ผู้แต่ง  :  Sam Blake

สำนักพิมพ์  :  Corvus


เป็นนิยายสืบสวนสอบสวนค่ะ เรื่องเกิดขึ้นในประเทศไอร์แลนด์ 

ตัวเอกของเรื่องคือ Carla Steele เป็นหัวหน้าสถาบัน ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยานิติเวช  Carlar สามารถใช้ดินเหนียวปั้นจำลองใบหน้าของเหยื่อจากโครงกระดูกหัวกระโหลกได้ ซึ่งช่วยอย่างมากสำหรับการตามระบุตัวศพนิรนาม

เรื่องมันเริ่มจาก มีคนบังเอิญเจอหัวกระโหลกในทะเลสาบน้ำจืด Cross -- ตำรวจในพื้นที่จึงนำหัวกระโหลกมาให้ Carla ช่วยระบุตัว ตำรวจคิดว่าน่าจะเป็นกระโหลกของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งหายตัวไป แต่เมื่อ Carla เห็นหัวกระโหลก ก็ระบุได้ทันทีว่าต้องเป็นคนหายที่นานกว่านั้นเป็นปีๆ และน่าจะเป็นผู้หญิง...ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา เมือง Coyne's Cross เป็นเมืองที่สงบมาก ไม่เคยมีเหตุอะไรร้ายแรง ในอดีตมีผู้หญิงหายตัวไปแค่ 2 คน คือ Gemma Langan หายไปเมื่อปี 2009 และ Kellie Murphy หายไปเมื่อปี 2018 -- ซึ่งคดีของ Gemma ตำรวจจับคนร้ายได้ แต่ไม่เจอศพของเธอ

ตำรวจเอากระโหลกมาให้ในวันทำงานก่อนวันหยุดประจำปี ทะเลสาบ Cross ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว จุดประกายให้ Carla และ Grace เพื่อนสนิทอยากไปพักผ่อนในช่วงวันหยุดค่ะ เพราะเดินทางไม่ยาก ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง แถมได้ดูสถานที่จริงที่เจอหัวกระโหลกด้วย 

และไม่น่าเชื่อว่า กระโหลกที่จมอยู่ก้นทะเลสาบเป็นปีๆ เมื่อโผล่ขึ้นมา ทำให้เหตุการณ์ในอดีตที่คิดว่าถูกฝังกลบไปกับศพนั้น โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง! 

ที่ทะเลสาบ ระหว่างเดินเล่น Carla กับตำรวจ Jack ก็บังเอิญเจอศพ! เป็นน้องสาวของเจ้าของรีสอร์ตที่ Carla กับ Grace เช่าพักอยู่ ศพอยู่ในสภาพถูกทารุณ แขวนอยู่กับต้นไม้ หัวใจของศพหายไป!

วันถัดมา เจ้าของรีสอร์ท (ซึ่งเป็นพี่สาวของศพแรก) ก็ถูกฆ่าตายในเรือบ้านของเธอเอง! สภาพศพคล้ายกัน ถูกควักหัวใจออกมาเหมือนกัน สามีของเธอเป็นผู้พบศพ

ดูเหมือนจะไม่ใช่การฆ่าแบบสุ่มแล้วล่ะค่ะ

เมื่อ Carla กลับมาที่ทำงาน เธอก็รีบปั้นใบหน้าจำลองของหัวกระโหลกทันที ...และพบว่า กระโหลกนั้นเป็นของ Gemma Langan หญิงสาวอายุ 17 ปี ที่หายไปในปี 2009 ... และดูเหมือนฆาตกรที่ทำให้เธอตายจะยังลอยนวลอยู่ข้างนอก ตำรวจจับคนร้ายผิดคน คนร้ายที่ตอนนี้อยู่ในคุก ไม่มีทางที่จะเป็นคนร้ายตัวจริง 

.

สนุกค่ะ ร่วมลุ้นว่า Carla จะสามารถระบุคนร้ายตัวจริงได้หรือไม่ ก่อนที่จะมีเหยื่อรายต่อไป 

และมีเล่าภูมิหลังของ Carla ที่ทำให้เธอมาทำงานด้านนี้ ก็เนื่องจากเพื่อนสนิทของเธออีกคน คือ Lizze หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนที่พวกเธอเรียนอยู่ปีสามในมหาวิทยาลัย เรื่องนี้มีผลต่อสภาพจิตใจของ Carla เป็นอย่างมาก ...นอกจากไปเรียนต่อจนเชี่ยวชาญด้านมนุยศาสตรแล้ว เมื่อเรียนจบ Carla ก็ขอซื้อ และอาศัยอยู่ที่บ้านหลังที่เคยอยู่กับ Lizze เพื่อให้แน่ใจว่าถ้า Lizze กลับมา จะยังมีคนรออยู่ที่บ้านเสมอ 

Three Little Birds คือรอยสักนกเล็กๆ 3 ตัว กางปีกบินอยู่ อันเป็นตัวแทนของ ตัว Carla เอง, Lizze และ Grace เพื่อนของเธอ


Monday, July 15, 2024

The Silent Corner


 หนังสือชื่อ  :  The Silent Corner

ผู้แต่ง  :  Dean Koontz

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


นี่คือหนังสือที่เป็นต้นกำเนิดของทฤษฎีสมคบคิดที่เกี่ยวกับวัคซีนโควิด!

Dean Koontz ผู้แต่งจินตนาการล้ำมากค่ะ หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปี 2017 ก่อนการระบาดของโรคโควิดค่ะ

ตัวเอกของเรื่องคือ Jane Hawk เป็นเจ้าหน้าที่ FBI สวย เก่ง เคยตามล่าฆาตกรฆ่าต่อเนื่องมาแล้ว ... แต่ตอนนี้ Jane อยู่ในช่วงลาพักร้อนค่ะ ...สามีของ  Jane คือ Nick เพิ่งฆ่าตัวตายไป ฆ่าตัวตายอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีสัญญาณของการเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อน ชีวิตทั้งส่วนตัวและหน้าที่การงานก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น 

Jane ไม่เชื่อว่าสามีของเธอฆ่าตัวตายโดยสมัครใจ ดังนั้นเธอจึงทำการสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น และพบว่า ในระยะเวลาไม่นานนี้ ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา มีคนฆ่าตัวตายอย่างปริศนาเพิ่มขึ้น เป็นการฆ่าตัวตายโดยคนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าตัวตาย ไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าจะคิดสั้น และวิธีการจบชีวิตก็ไม่เข้ากับบุคลิกของผู้ตายเป็นอย่างยิ่ง

สืบไปสืบมา กลายเป็นว่า Jane โดนคุกคาม มีคนมาขู่ โดยผ่านทาง Travis ลูกชายวัยห้าขวบของ Jane ทำให้ Jane ระแวงเรื่องความปลอดภัยของลูกชาย และเริ่มรู้แล้วว่า การฆ่าตัวตายของ Nick มีเบื้องหลัง และองค์กรหรืออะไรก็ตามที่บงการเรื่องนี้ มีอิทธิพลสูงมาก ..ดังนั้นไม่ว่า Jane จะพูดจะแฉอะไรออกไปก็ยากจะมีคนเชื่อ 

Jane ไม่คิดจะหยุดการสอบสวนเรื่องนี้ เพราะเมื่อมีคนขู่ แสดงว่าเรื่องที่สงสัยเป็นเรื่องจริง Jane จึงต้องเอาลูกชายไปฝากไว้กับคนที่ไว้ใจ และจากนั้นก็โชว์เดี่ยว สอบสวนเรื่องนี้คนเดียว เดินทางทั่วอเมริก เพื่อสัมภาษณ์ญาติใกล้ชิดของคนที่ฆ่าตัวตายปริศนา เพื่อหาว่าเบาะแสเชื่อมโยง

มันเป็นเรื่องทฤษฎีสมคบคิดที่ชวนให้ระแวงทุกคนเลยค่ะ คือเราไม่รู้ว่าใครที่โดนองค์กรนี้บงการสมองบ้าง ไม่สามารถดูได้จากภายนอก ... แถมทุกคนที่ฆ่าตัวตาย ก็มีหลักฐานชัดว่าฆ่าตัวตายจริงๆ ไม่ใช่ฆาตกรรมอำพรางแต่อย่างใด มีบางคนเขียนจดหมายลาตาย แต่จดหมายลาตายก็ไม่มีใครอ่านเข้าใจ แม้แต่ตัวคนใกล้ชิดของผู้ตายก็ไม่เข้าใจว่าผู้ตายต้องการสั่งเสียอะไร 

ตัวอย่างเช่น Jane ขับรถไปสัมภาษณ์ภรรยาหม้ายของนายพลในกองทัพที่ฆ่าตัวตายปริศนา ระหว่างสนทนากัน ภรรยาหม้ายคนนี้ขอตัวไปรับโทรศัพท์ แล้วเธอก็ยิงตัวตายเฉยเลย! เหมือนนึกอยากจะตายก็ฆ่าตัวตายซะงั้น ...ซึ่งมันไม่ปกติค่ะ คนเราก่อนจะคิดถึงขั้นจบชีวิตตัวเอง มันต้องผ่านกระบวนการหลายอย่างเป็นสัญญาณให้เห็นก่อน แต่นี่ไม่เลย???

.

.

สปอยด์ : มีกลุ่มอิลีท กลุ่มคนรวยมีอิทธิพลของประเทศ (ซึ่งในหนังสือไม่ได้บอกว่ามีใครบ้าง เพราะนี่คือเล่มหนึ่ง) คนกลุ่มนี้ต้องการบงการโลก เชื่อว่า มนุษย์ และ AI ด้วยความช่วยเหลือของนาโนเทคโนโลยี จะช่วยให้โลกสงบสุขขึ้น พวกเขาได้สร้างนวัตกรรมที่เป็น nanomachines เครื่องจักรนาโน -- ในหนังสือไม่ได้เรียกมันว่าวัคซีน mRNA นะคะ แต่บอกว่าเป็นนวัตกรรมตัดแต่งไรโบโซม (ไรโบโซม ทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีนในเซลล์) ซึ่งเมื่อฉีดสารนี้เข้าไปในร่างกาย แต่ละเซลล์จะสร้างสารที่เป็นกลไกขึ้นมา และเมื่อรวมกันคล้ายๆ จิ๊กซอว์มาต่อๆ กัน กลไกนี้ก็จะสามารถโปรแกรมและควบคุมสมองได้ เป็นโครงข่ายในสมองเหมือนใยแมงมุม ทำให้คนที่ได้รับสารเชื่อฟัง ทำตามที่ได้โปรแกรมไว้ เช่น มีผู้หญิงสวยที่ถูกโปรแกรมให้เป็นโสเภณี ทำงานในซ่องชั้นสูง หาเงินเข้ากระเป๋านักวิทยาศาสตร์คนคิดสารนี้ หรือโปรแกรมให้คนเป็นนักฆ่า 

.

หลักฐานที่จะพิสูจน์การกระทำของคนกลุ่มนี้ ไม่มีเลยค่ะ คือไม่มีอะไรที่สามารถเล่าให้คนอื่นฟังแล้วน่าเช่ือถือเลย ที่ Jane สัมภาษณ์หมอนิติเวชที่ผ่าสมองของคนฆ่าตัวตายคนหนึ่ง หมอบอกว่า ในสมองของผู้ตายมีโครงข่ายเหมือนใยแมงมุมพันรอบ แต่อยู่แค่ไม่กี่วินาที ใยแมงมุมนั้นก็หายไปกับตา หมอไม่มีหลักฐานอื่นใดนอกจากนี้ แถมหลังจากนั้น ก็โดนไล่ออกจากงานด้วยค่ะ 

.

สนุกค่ะ แต่ไม่จบแค่เล่มเดียว เล่มนี้คือเล่มแรก Dean Koontz ไม่เคยทำให้ผิดหวังค่ะ


Friday, June 21, 2024

The Man Who Died Twice

 


หนังสือชื่อ  :  The Man Who Died Twice

ผู้แต่ง  :  Richard Osman

สำนักพิมพ์  :  Viking (an imprint of Penguin Books)


สนุกค่ะ อารมณ์ขันแบบอังกฤษ ตัวละครหลักเป็นผู้สูงวัย (70+) ดูเหมือนนี่จะเป็นเล่มที่สองในซีรีย์นี้ แต่อ่านแยกได้ไม่งงค่ะ อาจจะมีบ้างที่ไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ของตัวละครบางคน แต่ไม่ใช่ประเด็นหลักค่ะ 

แก๊งส์ The Thursday Murder Club เป็นกลุ่มผู้สูงวัย ประกอบไปด้วย

- Joyce Meadowcroft

- Ron Ritchie

- Ibrahim Arif

- Elizabeth Best

เริ่มจาก Elizabeth ได้รับจดหมายขอนัดเจอจากคนที่ตายไปแล้ว ซึ่งเป็นคนที่ Elizabeth ชันสูตรศพด้วยตัวเองด้วย ด้วยความอยากรู้ เธอจึงไปพบ ...และกลายเป็นว่า เจอกับอดีตสามี Douglas

Douglas เป็นสายลับ MI5 ปฏิบัติภารกิจพลาด ในระหว่างเข้าไปสืบในบ้านของอาชญากร Martin Lomax แล้วเพชรดันหายไป (ภารกิจราชการให้เข้าไปสืบในบ้านเฉยๆ แต่ Douglas ดันถือโอกาสขโมยเพชรมาด้วย ตั้งใจเอาไปใช้เป็นทุนตอนเกษียณ) ...ความซวยคือ Lomax ดันจับได้จากกล้องวงจรปิดว่าใครเป็นขโมย ดังนั้น Douglas ก็เลยต้องซ่อนตัว และขอให้อดีตภรรยา Elizabeth ช่วย

Martin Lomax คือนายประกันในโลกอาชญากรรม เป็นคนกลาง อย่างในเรื่อง มาเฟียอเมริกาจะซื้อยาจากพ่อค้ายา ในเมื่อทั้งคู่อยากทำธุรกิจกัน แต่ต่างไม่ไว้ใจกันและกัน ดังนั้นจึงต้องมีคนกลางที่น่าไว้ใจเป็นคนค้ำประกัน มาเฟียอเมริกาเอาเพชรมาค้ำประกันกับ Lomax และถ้าพ่อค้ายาส่งยาให้มาเฟีย Lomax ก็จะมอบเพชรให้พ่อค้ายา ...แต่ในกรณีนี้ เพชรดันมาหายตอนที่อยู่ในมือคนกลางอย่าง Lomax 

ตอนแรก Elizabeth ปฏิเสธ 

แต่ต่อมา Ibrahim โดนวัยรุ่นเหลือขอทำร้ายร่างกาย เพื่อขโมยโทรศัพท์ ถึงแม้ตำรวจจะรู้ว่าวัยรุ่นที่ก่อเหตุคือ Ryan Baird ...แต่กฎหมายทำอะไรไม่ได้มาก ไม่มีหลักฐานกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น Ryan เลยรอดคุก เดินออกไปสวยๆ 

Elizabeth เลยตกลงช่วย Douglas เพื่อเอาเงินมาแก้แค้นให้ Ibrahim -- วิธีโครตลงทุน โดยการซื้อโคเคนล็อตใหญ่ แล้วแอบวางไว้ในห้องน้ำในบ้าน Ryan แล้วก็แจ้งตำรวจมาจับ 

เหมือนเรื่องจะจบ แต่กลายเป็นว่า Douglas พร้อมผู้คุ้มกันถูกยิงเสียชีวิต โดย Lomax ไม่เกี่ยวข้องด้วย ไม่ได้สั่งฆ่า ...และตอนนี้ที่ซ่อนเพชรก็หายไปกับการตายของ Douglas

Elizabeth ต้องไขปริศนา หาเพชรให้เจอ และคลายความแคลงใจว่าตกลง Douglas ตายจริงไหม หรือแกล้งตายเหมือนที่เคยทำมาก่อน

ขณะเดียวกัน Ryan Baird ที่โดนจับข้อหามีโคเคนในครอบครอง ก็ดันหนีประกันตัว หายเข้ากลีบเมฆ แก๊งส์ผู้สูงวัย Thursday Murder Club ก็ต้องร่วมกันไขปริศนาตาม Ryan กลับมารับโทษให้ได้

Sunday, June 9, 2024

Such a Quiet Place

 



หนังสือชื่อ  :  Such a Quiet Place

ผู้แต่ง  :  Megan Miranda

สำนักพิมพ์  :  Corvus


สนุกค่ะ อ่านเสียการเสียงาน เรื่องไม่ยาวมาก เดินเรื่องเร็ว ตัวละครไม่เยอะ แต่พลิกไปพลิกมา และเดาแทบไม่ออกว่าใครคือฆาตกรตัวจริงกันแน่

เรื่องเกิดขึ้นที่หมู่บ้านชื่อ Hollow's Edge ในอเมริกา เป็นหมู่บ้านที่มีกันแค่ 10 หลังเองค่ะ (ในหนังสือมีแผนที่แสดงที่ตั้งของบ้านให้) คนในหมู่บ้านอยู่กันมานาน ส่วนใหญ่ทำงานในวิทยาลัย หรือที่โรงเรียนใกล้ๆ คือเป็นทั้งเพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมงานที่ทำงานที่เดียวกัน หมู่บ้านที่เงียบสงบ ลูกบ้านเป็นคนมีการศึกษา ช่วยเหลือกัน และสอดส่องความปลอดภัยของกันและกัน เป็นยิ่งกว่าเพื่อน เป็นยิ่งกว่าคนในครอบครัว รู้ทั้งด้านมืดและด้านสว่างของกันและกัน ... จนกระทั่ง เกิดคดีฆาตกรรมยกครัวในบ้านหลังหนึ่งเมื่อ 14 เดือนก่อน และผู้ต้องสงสัยก็คือเพื่อนบ้านนั่นเอง

เรื่องเล่าในมุมของ Harper ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านติดกับบ้านของ Brandon & Fiona Truett สองสามีภรรยาที่เสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน ทั้งคู่เสียชีวิตด้วยคาร์บอนมอนออกไซต์ มีคนติดเครื่องยนต์รถของ Fiona ที่จอดในโรงรถในบ้าน และควันเข้าไปในบ้าน ทั้งคู่นอนอยู่ชั้นล่าง เสียชีวิตจากการได้รับก๊าซคาร์มอนมอนออกไซต์

Harper เป็นคนเจอศพ เพราะเนื่องจากเธออยู่บ้านติดกัน เลยได้ยินเสียงหมาของเพื่อนบ้านเห่าทั้งวัน อารมณ์รำคาญ เลยไปเคาะประตูเพื่อคุยกับเพื่อนบ้าน ...กลายเป็นแจ็คพอตเจอศพ 

คนในหมู่บ้านสงสัยว่าการตายของสองสามีภรรยา Truett เป็นการฆาตกรรมค่ะ เพราะตัววัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ของบ้านหลังนั้นหายไป สงสัยว่าฆาตกรจะถอดไป 

ทุกคนพากันสงสัย Ruby Fletcher เพื่อนร่วมบ้านของ Harper เพราะ Ruby ออกไปนอกบ้านคืนนั้น กล้องวงจรปิดหน้าบ้านของหนึ่งในลูกบ้านบันทึกไว้ รวมถึงคำให้การของ Harper ว่าได้ยินเสียง Ruby กลับเข้าบ้านทางหลังบ้าน และอาบน้ำตอนตีสอง

Ruby เป็นที่รู้จักของคนในหมู่บ้านมานานแล้วค่ะ ก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่กับ Harper ด้วยซ้ำ เคยเป็นนักศึกษาในวิทยาลัย เดินเข้าเดินออกหมู่บ้าน รับจ้างพาหมาเดินเล่น หรืออะไรๆ เล็กๆ น้อยๆ ตามแต่ที่คนในหมู่บ้านจะจ้าง และก็ตามจีบ Mac หนึ่งในสมาชิกในหมู่บ้าน 

Ruby ย้ายมาอยู่กับ Harper หลังจากที่วันหนึ่ง Aiden จู่ๆ ก็ขอแยกทางกับ Harper และที่ช็อค Harper มากที่สุดคือดูเหมือนเธอจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องว่าผัวตัวเองจะขอเลิก ดูเหมือนเพื่อนบ้านที่สนิทกับเธอที่สุดก็รู้ก่อนเธอเสียอีก 

--

Ruby ถูกจับ ติดคุกอยู่ 14 เดือน และต่อมาศาลปล่อยตัวเพราะหลักฐานอ่อน ... และ Ruby ตัดสินใจกลับมาที่ Hollow's Edge อีกครั้ง กลับมาอยู่กับ Harper

หนังสือบรรยายถึงความช็อค ความเคลือบแคลงใจของ Harper ว่า Ruby มีเจตนาอะไร ทำไมจึงกลับมายังสถานที่ที่ทุกคนปรักปรำเธอ (รวมถึงตัว Harper เองด้วย) .. คนอ่านจะรู้สึกว่า Harper เป็นพวกใจดี แต่เป็นพวกไม่กล้าทำอะไรเด็ดขาด ไม่กล้าทำร้ายจิตใจใคร ในขณะ Ruby เป็นพวกฉวยโอกาสจากคนที่อ่อนแอกว่า 

.

สนุกและได้ข้อคิดอะไรดีๆ จากหนังสือเล่มนี้ ความน่ากลัวของพลังแห่งกลุ่ม ความที่แต่ละคนต่างเจตนาดี แต่พอรวมเป็นกลุ่ม ขับเคลื่อนและสร้างระบบขึ้นมา และกลุ่มเริ่มเล่นบทผู้พิพากษา ตัดสินคนอื่น จนทำลายชีวิตของคนๆ หนึ่งได้เลย .... อย่างในกรณีนี้ มันง่ายที่ทุกคนจะเบลมและสงสัยว่า Ruby เป็นฆาตกร เพราะ Ruby คือคนเดียวในหมู่บ้านที่ไม่ใช่เจ้าของบ้าน เป็นกึ่งๆ ผู้เช่าและแขกระยะยาว ...เมื่อเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น เราก็ไม่อยากโทษคนที่เรารู้จัก ดังนั้นจึงง่ายกว่าที่จะชี้นิ้วกล่าวหาคนนอก 




Thursday, June 6, 2024

Humble Pi

 


หนังสือชื่อ  :  Humble Pi : A Comedy of Maths Errors

ผู้แต่ง  :  Matt Parker

สำนักพิมพ์  :  Penguin Books


ได้ความรู้ถึงความผิดพลาดต่างๆ จากนวัตกรรมที่เกิดขึ้นเนื่องจากการคำนวณพลาดทางคณิตศาสตร์ แต่หนังสือภาพไม่ชัดมากๆ ค่ะ ภาพเล็ก และเนื่องจากเป็นหนังสือกระดาษ ดังนั้นจะซูมดูภาพให้ชัดๆ ก็ไม่ได้ (เป็นภาพขาว-ดำ) เนื้อหาบางเรื่องก็เกินเข้าใจ ผู้เขียนพยายามอธิบายแต่เป็นการอธิบายด้วยการเขียน ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้เข้าใจได้ ... เอาเป็นว่าถ้าอ่านเอาสนุก เสริมปัญญาก็แนะนำค่ะ 

หนังสือเร่ิมด้วยการบอกว่า มนุษย์เราไม่เก่งในการประเมินตัวเลขจำนวนมากๆ คือเราจินตนาการได้ว่า 10 หรือ 100 หรือ 1,000 เยอะแค่ไหน แต่ถ้าจำนวนมันใหญ่ขึ้นเป็น ล้านล้าน เรานึกไม่ออกค่ะ เรารู้แค่ว่ามันเยอะมาก แค่นั้น 

ค่ากลางระหว่างเลข 1 กับ 9 คือ 5 คนที่ตอบ 5 คือคนที่เคยเรียนคณิตศาสตร์ บวกลบคูณหารเลขเป็นค่ะ แต่ถ้าเอาคำถามนี้ไปถามเด็กน้อยที่ยังไม่เข้าโรงเรียน คำตอบจะคือ 3 ... ที่เป็นเช่นนี้เพราะการรับรู้เรื่องจำนวนตัวเลขของคนเราไม่ได้เป็นเส้นตรง

หนังสือเล่าถึงความผิดพลาดที่เกิดจากการใช้ปฏิทินคนละแบบกัน ทำให้ทีมชาติรัสเซียพลาดการร่วมแข่งขันโอลิมปิกในปี 1908 ที่ลอนดอนเป็นเจ้าภาพ

หรือปัญหา Y2038 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 19 มกราคม ปี 2038 เวลา 3.14 am ชิปในเครื่องใช้ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์จะหยุดทำงาน เพราะหน่วยความจำที่ใช้เก็บเวลาในเครื่องหมด (หน่วยความจำที่เก็บเวลาใช้ 32-bits และนับมาตั้งแต่ปี 1970 ดังนั้นจึงจะหมดเวลาลงในปี 2038) 

หนังสือเล่าเรื่องความผิดพลาดทางวิศวกรรม มีการเปลี่ยนแบบสร้างสะพานระหว่างก่อสร้าง แล้ววิศกรลืมคำนวณค่าบางอย่างที่ควรเปลี่ยนเมื่อแบบเปลี่ยน 

หรือการที่ผู้ใช้ใช้ excel เก็บข้อมูลสำคัญ ทำเหมือนเป็น database และความผิดพลาดจึงเกิดขึ้น เพราะ excel ไม่ใช่ database ไม่ว่าจะเป็นทศนิยม หรือ autocorrect ใน excel ที่สร้างปัญหา

ผู้เขียนเล่าเรื่องที่เขาพยายามชี้แจงกับทางราชการว่า ป้ายลูกฟุตบอล (ผู้เขียนอยู่อังกฤษ) ที่ชี้แนะนำสนามฟุตบอลทั่วอังกฤษนั้นไม่ถูกต้อง ลูกฟุตบอลจริงๆ ประกอบด้วยทรงห้าเหลี่ยมมาต่อๆ กัน แต่ในป้ายจราจรเป็นหกเหลี่ยม รูปหกเหลี่ยมไม่สามารถต่อกันเป็นลูกฟุตบอลได้ ดังนั้นป้ายจราจรนี้จึงไม่ถูกต้องตามหลักคณิตศาสตร์ ... แต่เทศบาลก็ไม่นำพาค่ะ เพราะการเปลี่ยนใช้เงินงบประมาณมากกว่าการปล่อยให้ผิดไปอย่างนั้น

หรือบทที่ว่าด้วยการโฆษณาเกินจริงของร้านค้าต่างๆ เช่น แมคโดนัลเคยโฆษณาว่ารายการอาหารของร้าน สามารถออเดอร์ผสมเป็นเมนูได้กว่า 40,312 เมนู แต่นักคณิตศาสตร์แย้งว่า จริงๆ แล้วทำได้แค่ 256 เมนูเท่านั้น 

หรือปัญหา roll-over error คือถ้าความจุเต็ม มันจะวนกลับมา 0 อีกครั้ง จึงทำให้ Whatsapp group ต้องจำกัดว่ามีแชทในกลุ่มได้ไม่เกิน 256 คน

หรือบทที่ว่าด้วยเรื่องหน่วย การคำนวณที่ใส่หน่วยพลาด ทำให้เครื่องบินต้องลงจอดฉุกเฉินมาแล้ว เนื่องจากช่างคำนวณและเติมน้ำมันเครื่องบินในหน่วยปอนด์ที่คุ้นเคย แทนที่จะเป็นกิโลกรัมตามข้อปฏิบัติมาตรฐาน 

ส่วนตัวคิดว่าบทที่สนุกที่สุดคือ เรื่องการสุ่มค่ะ การสุ่มมีความสำคัญมากในการเขียนโปรแกรม แต่การสุ่มอย่างไรให้สุ่มจริงๆ เราต้องมีการสุ่มทางกายภาพ มีเครื่องสุ่มจริงๆ เช่น ทอยเหรียญ ทอยลูกเต๋า ฯลฯ เพราะการสุ่มโดยคอมพิวเตอร์ สามารถทำนายได้  

ผู้เขียนเล่าเรื่องการป้องกันความผิดพลาด เปรียบความผิดพลาดเหมือนรูในสวิตส์ชีส เอาแผ่นชีสมาวางทับๆ กัน ยากมากที่รู้ในชีสจะตรงกันจนมองทะลุ ...ก็เหมือนความผิดพลาดหากมีการทวนสอบตามขั้นตอน ก็ยากมากที่ความผิดพลาดนั้นจะหลุดไปจนสร้างความเสียหายได้ --- แต่ขณะเดียวกัน มีความผิดพลาดอีกอย่างที่เปรียบเหมือนการหยดของร้อนลงบนชีส ของร้อนก็ทะลุลงข้างล่างได้ เปรียบเหมือนความผิดพลาดของอุปกรณ์ที่ระบบป้องกันไม่ดีพอ เช่น error message อ่านไม่เข้าใจ หรืออุปกรณ์ไม่หยุดการทำงานเมื่อไม่ปลอดภัยและอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ เป็นต้น

สนุกค่ะ แต่อย่างที่เขียนไป ไว้อ่านเบาๆ ประดับความรู้ค่ะ ไม่ได้ดีขนาดไว้อ่านเป็นหนังสืออ้างอิงวิชาการอะไรจริงจัง


Thursday, May 16, 2024

The Woman in the Window


 

หนังสือชื่อ  :  The woman in the window

ผู้แต่ง  :  A. J. Finn

สำนักพิมพ์  :  HarperCollins


แอนนา (Anna) อดีตจิตแพทย์เด็ก ที่มีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นในชีวิตของเธอ ทำให้เธอได้รับความกระทบกระเทือนทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทางร่างกายนั้นหายดีแล้ว แต่ทางจิตใจยังคงอยู่ ทำให้แอนนากลายเป็นโรคอะโกราโฟเบีย (agoraphobia - โรคกลัวที่ชุมชน) ทำให้แอนนาต้องขังตัวเองอยู่ภายในบ้าน ไม่สามารถก้าวเท้าออกนอกบ้านได้ แม้แต่สวนหลังบ้านก็ไม่ได้ค่ะ จะเป็นแพนิคทันที 

แอนนากินยาจิตเวชเยอะมาก ดื่มเหล้าก็เยอะ ดูดีวีดี และขังตัวอยู่ในบ้านอพาร์ทเมนต์ขนาด 4 ชั้น มานานกว่าสิบเดือนแล้ว เธอปิดหน้าต่าง ปิดม่านมิดชิด อยู่มืดๆ กับแมวหนึ่งตัว และก็มีผู้เช่าคือ เดวิด (David) เช่าห้องใต้ดินอยู่ แต่อยู่แยกกันเป็นสัดส่วน เดวิดจะขึ้นมาเช็คเธอเป็นครั้งคราวว่ามีอะไรให้ช่วยไหม -- ส่วนลูกสาวกับสามีของเธอนั้นย้ายไปอยู่อีกเมืองหนึ่งแล้ว คือสามีได้งานที่เมืองใหม่ และมีการวางแผนย้ายอะไรเรียบร้อยแล้ว แต่กลับเกิดเหตุกับแอนนากระทันหัน ทำให้แอนนาไม่สามารถย้ายไปรวมอยู่กับสามีและลูกได้ ได้โทรคุยหากันทุกวัน

การฆ่าเวลาของแอนนาก็ด้วยการดูดีวีดีหนังเก่าๆ ดื่มไวน์ เข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับโรคกลัวที่ชุมชนนี้ในเว็บบอร์ด และก็แอบส่องเพื่อนบ้านทางหน้าต่างค่ะ แอนนามีกล้องซูมของนิคอน เธอใช้เลนส์ซูมส่องดูเพื่อนบ้าน

ต่อมามีเพื่อนบ้านคนใหม่ย้ายมาอยู่ฝั่งตรงข้ามทางหลังบ้าน มีสวนคั่นกลาง คือครอบครัว Russell อันประกอบไปด้วย Alistair คนพ่อ Jane แม่ และ Ethan ลูกชายวัย 17 ปี

Ethan เอาของขวัญมาให้กับแอนนา  เพื่อเป็นการแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนบ้านใหม่

Jane คนแม่ ก็ช่วยแอนนาจากสถานการณ์ที่เธอแพนิคอยู่หน้าบ้านตัวเอง Jane พาแอนนากลับบ้าน และก็มีการคุยกัน ถือได้ว่า Jane เป็นเพื่อนคนแรกของแอนนาหลังจากเกิดอุบัติเหตุ

ความเผือกเรื่องชาวบ้าน ทำให้แอนนาเห็น Jane ถูกแทง และถูกลากศพออกไป แต่ไม่เห็นว่าใครคือคนทำ แอนนาสงสัยว่า Alistair คนพ่อ คือฆาตกร แอนนารีบโทรแจ้งตำรวจ และพยายามออกจากบ้านไปที่บ้านตรงข้ามของพวก Russell แต่ไปได้ไม่ถึงเกิดแพนิค เสียสติไปก่อน แต่โชคดีเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินที่ได้รับแจ้งเหตุมาถึงพอดี เลยพาแอนนาส่งโรงพยาบาล

แต่กลายเป็นว่า เรื่องที่แอนนาเห็น ไม่มีใครเชื่อเลยค่ะ ตำรวจไปเช็คที่บ้าน Russell ก็พบว่าทุกคนยังอยู่กันดี แต่กลายเป็นว่า Jane Russell คนแม่คืออีกคน ไม่ใช่คนที่แอนนาเจอด้วยและเคยคุยเล่นด้วยกัน!

แอนนายืนยันว่าเธอเห็นการฆาตกรรมจริงๆ แต่หลักฐานกลับแสดงให้เห็นว่าเธออาจมีอาการหลอนจากการทานยาจิตเวชหลายขนาน และทานร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอลด์ด้วย ...​จนหลายๆ คนพูดเข้า แอนนาก็ชักเริ่มไม่มั่นใจในตัวเองแล้ว ว่าตัวเองอาจจะมีปัญหาจริงๆ 

จนกระทั่ง แอนนามีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเธอไม่ได้หลอนคิดไปเอง Jane Russell คนที่มาเยี่ยมแอนนาที่บ้านมีอยู่จริง! 

---

สนุกค่ะ ดำเนินเรื่องฉับไว อ่านสนุก เหตุที่ทำให้แอนนาได้รับกการกระทบกระเทือนทางจิตใจจนกลายเป็นโรคกลัวที่ชุมชนก็ดูมีเหตุผล ฆาตกรก็เป็นคนที่คิดไ่ม่ถึง แม้แต่จิตแพทย์อย่างแอนนาก็ดูไม่ออก ...​ขัดใจก็ความซื่อของแอนนา ที่เธอคิดว่าตำรวจน่าจะไม่เชื่อหลักฐานที่เธอเจอ ก็เลยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ Ethan ฟังแทน เพราะแอนนาสงสัยว่าพ่อของ Ethan คือฆาตกร ... คือคิดว่าลูกจะเชื่อแอนนาจนยอมปรักปรำใส่ร้ายพ่อหรือไง? อีกอันที่สงสัยคือ เดวิดไปไหน? ในหนังสือบอกว่าโมโหแอนนาและออกจากบ้านไป แล้วก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย คือหายไปเลย ตัวละครนี้ทิ้งไปเลย???