Tuesday, November 28, 2017

Bloodstream





หนังสือชื่อ : Bloodstream

ผู้แต่ง  :  Tess Gerritsen

สำนักพิมพ์  :  HapperCollinsPublishers


เป็นเล่มแรกของนักเขียนท่านนี้ที่ออยอ่านค่ะ ซื้อมาเพราะเห็นว่า นักเขียนคนนี้มีคนหยิบมาแปลในหลายภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาดัตช์ ก็เลยคิดว่า คงต้องเขียนสนุกแน่เลย ...เมื่ออ่านจบแล้วก็พบว่าไม่ผิดหวังค่ะ เขียนสนุก เล่าเรื่องได้น่าติดตามมากเลยค่ะ

ในเล่มนี้ ตัวเอกของเรื่องเป็นคุณหมอ ชื่อ Clair Elliot ที่เพิ่งสูญเสียสามีไป แล้วก็เลยอพยพพาลูกชายคนเดียว Noah อายุ 14 ปี กำลังเข้าวัยรุ่นเลยค่ะ -- Clair พาลูกชายหนีเมืองใหญ่อันวุ่นวายมาอยู่เมืองเล็กๆ เงียบสงบ ชื่อเมือง Tranquility รัฐ Maine ค่ะ

เมือง Tranquility นี้ ช่วงหน้าร้อน จะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาพักร้อนที่นี่ค่ะ เพราะมีทิวทัศน์สวยงามมาก แต่พอเข้าหน้าหนาว เมืองก็จะเงียบมาก ไม่มีนักท่องเที่ยว มีแต่คนท้องถิ่นอยู่กันเท่านั้นค่ะ -- Clair ย้ายมาอยู่ที่นี่ จึงเหมือนเป็นคนนอกน่ะค่ะ เธอจึงต้องพิสูจน์ตัวเองว่า เธอเป็นหมอที่ดีพอ และจะไม่หนีเมืองนี้ไป เมื่อหน้าหนาวย่างเข้ามา 

เรื่องมันเริ่มวุ่นวาย เมื่อตอนฤดูใบไม้ผลิค่ะ เด็กวัยรุ่นในเมืองเริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าวขึ้น ถึงขั้นบางคนควงปืนมายิงครูและเพื่อนในโรงเรียน !!! -- คือมันไม่ปกติน่ะค่ะ สำหรับเมืองอันสงบสุขแห่งนี้

Clair พยายามหาสาเหตุมาอธิบายพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของวัยรุ่นเหล่านี้ค่ะ และขณะเดียวกัน ก็ดูเหมือนว่า ลูกชายของเธอเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน!!! -- ลูกชายเธอเริ่มพูดยากขึ้น และพูดจาทำร้ายจิตใจเธอมากขึ้นค่ะ ทำให้ดูเหมือนช่องว่างระหว่างเธอกันลูกชายจะยิ่งเริ่มห่างกันไปทุกที (ปกติตั้งแต่พ่อตาย ลูกชายก็ห่างเหินอยู่แล้วค่ะ Clair เคยคิดว่า การย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้จะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น)

และจากการพยายามขุดคุ้ยสืบสวนของ Clair พบว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกค่ะที่หมู่บ้านแห่งนี้มีความรุนแรงเกิดขึ้น -- มันเคยมีพฤติกรรมวัยรุ่นในหมู่บ้านก่อความรุนแรงเพิ่มขึ้น และถึงขั้นมีคดีฆาตกรรม โดยผู้ก่อเหตุเป็นวัยรุ่นมาก่อน เมื่อหลายสิบปีก่อน!!!

คุณหมอ Clair จะสามารถค้นพบสาเหตุที่สามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของวัยรุ่นในหมู่บ้านได้หรือไม่? ท้ายที่สุดเธอจะยังอยู่ที่หมู่บ้านนี้ต่อไปหรือไม่? เธอจะทนแรงต่อต้าน ความเฉยชาไม่ต้อนรับ ของชาวบ้านได้หรือไม่? และเธอจะได้ลูกชายที่อ่อนโยนคนเก่าของเธอคืนมาหรือไม่? -- ลองหามาอ่านกันดูได้ค่ะ

Wednesday, August 30, 2017

Headhunters





หนังสือชื่อ  :  Headhunters

ผู้แต่ง  :  Jo Nesbo

ผู้แปล  :  Don Bartlett

สำนักพิมพ์  :  Vintage Books 


หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มเดียวจบค่ะ ไม่ใช่ชุดของนักสืบแฮรี่ โฮล -- แต่ชื่อคนแต่ง Jo Nesbo ก็รับประกันความสนุกเช่นเคยค่ะ สนุกจนวางไม่ลง ต้องอ่านรวดเดียวจนจบภายในสองวันเลยค่ะ (ไม่เป็นอันทำการทำงาน 55)

เสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังสือของ Jo Nesbo คือตัวเอกของเรื่องไม่ใช่คนดีอะไรค่ะ เป็นคนธรรมดาๆ อย่างเราๆ นี่แหละ ไม่ใช่ฮีโร่อะไร อย่างเรื่องนี้ก็เช่นกัน พระเอกของเรื่องชื่อ Roger Brown ค่ะ ฉากหน้าทำงานเป็นนายหน้าจัดหางาน (Headhunters) เป็นแบบจัดหาคนทำงานในตำแหน่งสูงๆ ในระดับผู้บริหารระดับ CEO ของบริษัท จัดว่าเขาเก่งและประสบความสำเร็จในงานเป็นอย่างมากค่ะ แต่ Roger ก็มีฉากหลังค่ะ เขาเป็นขโมยค่ะ ขโมยภาพศิลปะ

Roger หาเหยื่อจากผู้มาสมัครงานค่ะ เขาจะสัมภาษณ์ ถามนั่นถามนี่ รวมถึงเรื่องส่วนตัว ถามอย่างเนียนๆ ประมาณว่า ชอบงานศิลปะไหม? ที่บ้านใช้ระบบกันขโมยหรือเปล่า? -- เนื่องจากผู้ถูกสัมภาษณ์ในตำแหน่งระดับผู้บริหาร ก็มักจะมีฐานะเป็นทุนเดิมอยู่แล้วน่ะค่ะ

หลังจากนั้น Roger ก็จะนัดให้ผู้ถูกสัมภาษณ์มาสัมภาษณ์อีกรอบกับตัวแทนของลูกค้าค่ะ แล้วก็ใช้เวลานั้นเข้าไปขโมยของในบ้าน -- Roger มีเพื่อนชื่อ Ove Kijkered ทำงานอยู่บริษัทระบบกันขโมย คอยช่วยในการตัดสัญญาณระบบกันขโมยอยู่ค่ะ Roger จะขโมยเอาภาพจริงมา แล้วก็สลับเอาภาพที่ทำปลอมขึ้นไปใส่ไว้แทน ด้วยวิธีนี้กว่าที่เจ้าของภาพจะรู้ว่าภาพของตัวเองโดนขโมยไป ก็อีกนานเลยค่ะ ภาพที่ขโมยได้มา ก็เอาไปขาย เงินที่ได้ก็แบ่งกัน

ชีวิตของ Roger ดูจะประสบความสำเร็จ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ -- จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รู้จักกับ Clas Greve อดีตทหารหน่วยต่อต้านก่อการร้ายดัตช์จากการแนะนำของ Diana ภรรยาของเขาเองค่ะ
Diana คิดว่า Clas เหมาะกับตำแหน่ง CEO ของบริษัททำระบบ GPS ที่ Roger กำลังมองหาให้ลูกค้าอยู่ค่ะ -- และหลังจากที่ Roger ได้สัมภาษณ์ Clas ก็เห็นด้วยกับภรรยาว่า Clas เป็นคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้จริงๆ --และไม่ใช่แค่นั้น Roger ยังได้รู้อีกว่า ที่อพาร์ทเมนต์ของ Clas มีภาพวาดหายากชิ้นหนึ่งอยู่ด้วย -- ทำเอา Roger ตาลุกวาวเลยค่ะ 

Roger เข้าไปขโมยรูปวาดที่บ้าน Clas ค่ะ แผนการสำเร็จลงด้วยดี และนอกจากจะได้ภาพวาดมาแล้ว เขายังพบอีกด้วยว่า Cals เป็นชู้กับเมียของเขาเอง !!!
เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นเมื่อเขามาพบว่า Ove Kijkered คู่หูอาชญากรรมของเขามาโดนฉีดยาพิษตายในอยู่ในรถของเขา -- ปฏิบัติการซ่อนศพจึงเกิดขึ้น และเรื่องวุ่นๆ อื่นๆ ก็เริ่มตามมา
เห็นได้ชัดค่ะว่า Clas คือคนที่ตามล่า Roger ไม่ว่าจะเป็นการฉีดยาพิษ เอาหมามาตามล่า ฯลฯ -- Roger ต้องหนีเอาชีวิตรอด จากเดิมเป็นแค่หัวขโมยธรรมดา เขาต้องสู้ ต้องเลือกเอาระหว่างเป็นผู้ล่า หรือถูกล่า !

Roger จะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่? แล้ว Clas ตามล่า Roger ไปทำไม? มีอะไรเบื้องหลังหรือไม่? เพราะการตามล่าเอาชีวิตมันเกิดกว่าการตามล่าหัวขโมยธรรมดา -- แล้วความสัมพันธ์ระหว่าง Roger กับภรรยาจะเป็นอย่างไร? และความกลัว ปมในใจของ Roger เอง จะคลี่คลายบำบัดได้หรือไม่? (Roger ไม่อยากเป็นพ่อคนค่ะ เขาเคยหว่านล้อมให้ภรรยาทำแท้งมาแล้ว เพราะเขาไม่อยากมีลูก แต่ภรรยาเขาอยากมีลูกมากๆ)

เป็นนิยายที่สนุกค่ะ วางไม่ลง คือเดาไม่ถูกว่าใครเป็นคนร้าย (จริงๆ แล้วคือเดาผิดแหละ จนเฉลย ถึงได้รู้ว่าเดาผิด เหอ เหอ)



Wednesday, May 17, 2017

The low sky, understanding the dutch





หนังสือชื่อ  :  The low sky, understanding the dutch

ผู้แต่ง  :  Han van der Horst

สำนักพิมพ์  :  Scriptum


เนื่องด้วยออยย้ายมาอยู่เนเธอร์แลนด์ค่ะ พอมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ต่างวัฒนธรรม ก็ได้สัมผัสถึงความแตกต่าง แต่ก็จะไม่เข้าใจว่าทำไมคนดัตช์จึงคิด จึงกระทำเช่นนั้น -- หนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะเป็นคำตอบค่ะ

ผู้แต่งเป็นคนดัตช์เองเลยค่ะ แต่เขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ จุดประสงค์เพื่อจะสื่อสารให้คนต่างชาติเข้าใจวิธีคิด เบื้องหลัง พื้นเพที่มาของความคิดนั้นของคนดัตช์ค่ะ

โครงสร้างของหนังสือเริ่มจากบทนำ ที่กล่าวว่า สถาบันทางการศึกษาของดัตช์แห่งหนึ่ง (Royal Tropical Institute) ได้ทำการศึกษาพื้นเพนิสัยของคนดัตช์ และสรุปออกมาสั้นๆ ได้ 5 คำ คือ "egalitarian, utilitarian, organized, trade-oriented, privacy-minded" หรือแปลว่า "ยึดหลักในความเสมอภาคของมนุษย์ทุกคน, ถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ, เป็นระบบ, มุ่งเน้นการค้า และ ถือความเป็นส่วนตัว" -- นี่คือนิสัยคนดัตช์โดยรวมค่ะ

ยึดหลักในความเสมอภาคของมนุษย์ทุกคน (egalitarian)  -- คนดัตช์มี motto ที่ใช้กันอยู่เสมอคือ "doe maar gewoon, dan doe je gek genoeg.'' ออยแปลเองขำๆ ว่า "ทำตัวปกติเถอะ แค่นั้นแกก็แปลกพออยู่แล้ว" 
คนดัตช์ไม่ค่อยมีลำดับชั้นทางสังคมแตกต่างกันมากนัก แม้แต่กษัตริย์เอง ถึงแม้จะมีการให้เกียรติมากกว่าปกติ แต่ก็นิดหน่อยค่ะ วังของกษัตริย์ก็ไม่ได้หรูหราอะไรมากเมื่อเทียบกับวังของราชวงศ์ข้างเคียง -- การอวดรวยในสังคมดัตช์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทำกันค่ะ

คนดัตช์เป็นคนใจกว้างค่ะ ตัวอย่างเช่น พระราชินีของดัตช์องค์ปัจจุบัน คืือ Maxima ซึ่งเป็นคนอาร์เจนตินา หากแต่คนดัตช์ก็เปิดใจรับ และรักเธอ 

ถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ (utilitarian)  -- เนื่องด้วยประเทศเนเธอร์แลนด์มีพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลค่ะ คนดัตช์จึงต้องต่อสู้กับระดับน้ำทะเล เพื่อรักษาพื้นดินไว้ ดังนั้นจึงต้องถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญไปโดยอัตโนมัติ เพราะถ้าไม่ช่วยกัน มั่วแต่ริษยา ขัดขากันไปมา น้ำก็ท่วมจมกันไปทั้งหมดพอดี -- ข้อนี้เลยกลายเป็นนิสัยของคนประเทศนี้ไปค่ะ 

เวลาคนดัตช์มีความเห็นที่ขัดแย้งกัน ด้วยความที่เป็นคนใจกว้าง และยึดหลักความเสมอภาคของทุกคน ดังนั้นเขาจะมานั่งถกกันค่ะ เพื่อหาทางออกทีเป็นผลประโยชน์ต่อส่วนรวมร่วมกัน ทางออกนั้นต้องเป็นฉันทามติด้วย คือทุกคนต้องเห็นพ้องกัน -- วิธีนี้อาจทำให้การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่เป็นวิธีการที่รอบคอบมากค่ะ และจะได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย

เป็นระบบ (organized) -- ผู้เขียนเล่าว่า เนื่องด้วยการรักษาพื้นดินไม่ให้จมใต้ทะเล จำเป็นต้องใช้วิศกรรมที่ซับซ้อน เช่น การสร้างเขื่อน กังหันลม หรือปั๊ม ซึ่งต้องเป็นการทำงานร่วมกันของหลายๆ คน ดังนั้นจึงต้องมีการจัดการที่ดี -- การจัดการที่มีระบบเลยกลายเป็นนิสัยของคนดัตช์ไปเลยค่ะ

เช่น คนดัตช์เป็นคนรักษาเวลาค่ะ ถ้านัดแล้วต้องมาตรงเวลา กำหนดการ งานนัดหมายอะไรทุกอย่างจะถูกเขียนไว้ในไดอารี่ เป็นการวางแผนล่วงหน้า ทำอะไรต้องนัดค่ะ เช่น จะไปติดต่อราชการ ถ้าเดินดุ่มๆ เข้าไป ไม่เกิน 5 นาทีจะต้องออกมาค่ะ พร้อมด้วยกระดาษนัดหมายวันให้มาพบกันใหม่ -- การไปบ้านคนอื่นโดยไม่ได้นัดบอกเขาล่วงหน้า เป็นเรื่องที่เสียมารยาทมากค่ะ แม้กระทั่งคนเป็นญาติหรือเพื่อนสนิทกัน คิดถึงจะไปเยี่ยมเขา ก็ต้องนัดก่อนค่ะ

ในที่ทำงาน คนดัตช์จะเป็นพวกบ้าประชุมค่ะ มีอะไร ก็ประชุมๆๆ กัน หาทางออกที่เป็นฉันทามติร่วมกัน ใครที่อิดออด บ่ายเบี่ยงไม่ยอมเข้าประชุม จะโดนแบนค่ะ คือถ้าอยากจะพูดอะไร ควรไปพูดกันอย่างอิสระในห้องประชุม ถ้าไม่เข้าประชุม หรือเข้าแล้วไม่พูดอะไร มาพูดลับหลัง คำพูดนั้นจะไม่ได้รับความสนใจค่ะ -- ประธานในที่ประชุม ซึ่งก็คือผู้จัดการหรือหัวหน้า มีหน้าที่เพียงแค่ให้แน่ใจว่าผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนได้แสดงความคิดเห็นของตนค่ะ -- ประธานไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินใจนะคะ ที่ประชุมจะตัดสินใจร่วมกัน

คนดัตช์มักเป็นพวกนักวางแผนล่วงหน้า ชอบออกกฎมาป้องกันไว้ก่อน ก่อนที่จะเกิดปัญหาจริงๆ ดังนั้นกฎหมายดัตช์จึงจะมีรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ มากมายค่ะ แล้วก็เปลี่ยนบ่อยด้วย เพราะถ้าสถานการณ์โลกเปลี่ยน กฎหมายดัตช์ก็เปลี่ยน -- แต่ถ้าสมมุติเกิดเรื่องใหญ่ อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดมาก่อนเกิดขึ้นล่ะ -- คนดัตช์จะทำอย่างไร? -- คนดัตช์จะไม่สามารถในการตอบโต้ปัญหาอย่างฉับไวค่ะ จะจัดการ "ตั้งคณะกรรมการสอบสวน" หาสาเหตุที่เกิดขึ้น กว่าสอบเสร็จ ก็โน่นเลย นานเป็นปี -- ดูตัวอย่างอย่างกรณีเครื่องบิน MH17 ที่โดนยิงตกที่เหนือดินแดนของยูเครนสิคะ พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น ดัตช์ก็ตั้งกรรมการสืบสวน -- ตอนนั้นออยจำได้ว่า ข่าวทั้งสำนักข่าวอเมริกัน และคนไทยก็กังวลว่า ดัตช์จะขอความร่วมมือกับนาโต้ เพื่อถล่มรัสเซีย แล้วอาจจะเป็นชนวนเกิดสงครามโลกขึ้น เพราะมีบทเรียนจากเหตุการณ์ 911 ที่อเมริกาสั่งบอมอัฟกานิสถานแทบจะทันทีหลังเกิดเหตุ -- แต่นี่ไม่ค่ะ คนดัตช์ขอเวลาสืบสวน จนรู้ชัดว่าใครทำ จากนั้นก็จะหาตัวคนทำ นำไปขึ้นศาลโลก สู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

มุ่งเน้นการค้า (trade-oriented) -- ดัตช์เป็นชาติพ่อค้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่า เช่นจากเดิมที่คนดัตช์ออกเรือไปหาปลา เอาปลามาขายในตลาด แต่ปัจจุบันดัตช์พยายามมุ่งนั้นให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางในการขายปลามากกว่าหาปลามาขายเอง -- หัวการค้าไหมล่ะคะ -- เป็นพ่อค้าคนกลางใช้สมองมากกว่า แต่ได้เงินมากกว่าคนหาปลาเอง

เนื่องด้วยความเป็นนักค้าขายโดยนิสัย คนดัตช์จึงเปิดกว้างกับการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศค่ะ นับได้ว่าคนดัตช์ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ (ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่นะคะ) ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า หนังสือภาษาต่างด้าวที่ไม่ใช่ภาษาดัตช์ สามารถหาซื้อได้ง่ายในเนเธอร์แลนด์ แม้แต่ในร้านหนังสือเล็กๆ ในหมู่บ้านห่างไกลก็ยังมีขาย -- นิสัยคนค้าขายนี้ ทำให้คนดัตช์เป็นมิตรกับทุกคนค่ะ ใจกว้าง ไม่สร้างศัตรู โดยมีคำกล่าวเก่าแก่ที่ว่า "Know your neighbours, for they are all potential customers" -- รู้จักกับเพื่อนบ้านของคุณ ไม่แน่เขาอาจจะมาเป็นลูกค้าของคุณก็เป็นได้

ความมีนิสัยรักการค้าขาย ทำให้คนดัตช์มีเปอร์เซ็นต์ของคนที่เป็นเจ้าของกิจการสูงค่ะ คือคนดัตช์ถือเป็นเรื่องปกติที่จะเริ่มดำเนินธุรกิจเป็นของตัวเอง 

เนื่องด้วยวัฒนธรรมแบบนี้ เครดิตจึงเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ สำหรับคนดัตช์แล้ว การถูกศาลสั่งล้มละลาย หรือเป็นคนล้มละลาย เป็นเรื่องใหญ่ค่ะ เพราะเป็นเรื่องของเครดิต ดังนั้นคนดัตช์จึงค่อนข้างระมัดระวังกับการใช้เงิน จะไม่ค่อยเห็นคนดัตช์ใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้า ส่วนใหญ่จะใช้เดบิตค่ะ -- นิสัยไม่ชอบเป็นหนี้นี้ ไม่ได้เป็นแต่คนดัตช์ปกตินะคะ ระดับรัฐบาลก็เป็นค่ะ รัฐบาลดัตช์มีหนี้น้อยกว่ารายได้มากค่ะ

ถือความเป็นส่วนตัว (privacy-minded) -- อันนี้ดูจะแตกต่างกับวัฒนธรรมไทยมากที่สุดค่ะ คนดัตช์ไม่ชอบสร้างความรำคาญให้คนอื่นด้วยเรื่องส่วนตัวของตนเอง เช่น คนแก่ดัตช์ ก็จะพยายามช่วยตัวเองให้ได้มากที่สุด อาจจะมีลูกหลานแวะมาเยี่ยม แต่ถึงขั้นเลี้ยงดู อยู่ดูแล แบบสังคมไทย อันนี้ไม่มีค่ะ 

หรือในเรื่องโศกเศร้า การเล่าเรื่องตัวเอง ความทุกข์ของตัวให้คนอื่นทั่วไปฟัง ไม่ใช่เรื่องที่คนดัตช์ทำกันค่ะ (ถ้าเขามีปัญหา เขาก็ควรไปเล่าให้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ ฟัง -- นี่อาจจะคือเหตุผลที่คนดัตช์เป็นโรคซึมเศร้ากันเยอะก็ได้มั่งคะ เก็บกด ไม่เล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังถ้าไม่ใช่คนที่สนิทกัน)

เนื่องด้วยคนดัตช์ไม่เปิดเผยอารมณ์ส่วนตัวแบบนี้ และไม่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของคนอื่นเช่นนี้ ดังนั้นคนดัตช์จึงจะไม่ให้ความช่วยเหลือคนอื่นค่ะ ถ้าเขาไม่ได้ร้องขอ (เพราะกลัวว่าจะไปรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเขา) -- ก็พอกันเลย -- เช่น ปัญหาของผู้อพยพที่ย้ายเข้าอยู่เนเธอร์แลนด์ พวกเขาต้องสอบภาษาดัตช์ระดับพื้นฐานให้ผ่าน แต่มันยากสำหรับบางคนไงค่ะ ผู้อพยพก็ไม่รู้จะขอความช่วยเหลืออย่างไร ส่วนคนดัตช์เองก็ไม่กล้าเข้าไปช่วย เพราะเขาไม่ได้ขอ

และด้วยความที่คนดัตช์เป็นคนใจกว้างนี้ การโจมตีคนอื่นด้วยเรื่องส่วนตัว (เช่น เขาเป็นเกย์ รสนิยมการแต่งกาย อาหาร) จึงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้โดยสิ้นเชิงค่ะ

บทสุดท้ายของหนังสือเป็นบทสรุปค่ะ เล่าถึงปัญหาของประเทศเนเธอร์แลนด์ ความขัดแย้งในอดีต ปัจจุบัน และคาดการณ์ว่า ความขัดแย้งในปัจจุบันที่มีอยู่นี้ จะเริ่มบานปลายใหญ่ขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น xenophobia ความกลัวคนมุสลิม จนกลายเป็นการเหยียดชาติพันธุ์ไป ความกลัวการหลั่งไหลมาของผู้อพยพจากชาติมุสลิม -- สิ่งเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มขึ้นๆ ค่ะ 

ในบทนี้หนังสือได้กล่าวถึง ช่วงเวลาที่รุ่งเรืองของดัตช์ ที่เกิดจากการค้าทาส (อ่านแล้วโมโหหน่อยๆ เลยค่ะ -- แบบพี่แกค้ามนุษย์ และปฏิบัติกับพวกเขาไม่ต่างจากวัวควาย ซึ่งกลายมาเป็นบาดแผลอันเจ็บปวดของคนผิวดำในปัจจุบัน) หรือช่วงเวลาที่ดัตช์มีอาณานิคม และยุคปลดปล่อยอาณานิคม -- คือ คนเขียนเป็นคนดัตช์นะคะ เขาอาจจะพยายามเขียนให้เป็นกลางที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีโทนของการปกป้องประเทศตัวเองอยู่ค่ะ

ส่วนตัวคิดว่า หนังสือเล่มนี้อ่านยากค่ะ คือถ้าไม่ได้คุ้นเคย หรือใช้ชีวิตอยู่ในยุโรปมาสักระยะ จะอ่านไปก็งงไปกับชื่อคน หรือเหตุการณ์ต่างๆ อ่านไปก็ต้องพึ่ง google ค้นหารายละเอียดของชื่อ หรือเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นที่ผู้เขียนยกมาเล่าแค่สั้นๆ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียด

แนะนำว่า ถ้าจะอ่าน ให้อ่านบทแรกที่เป็น บทนำ (Introduction) ก่อนค่ะ จากนั้นก็พลิกไปอ่านบทสุดท้าย เพราะอันนั้นจะเล่าประวัติศาสตร์ของประเทศเนเธอร์แลนด์โดยเรียงตามลำดับเหตุการณ์ จะได้ไม่งง จากนั้นค่อยมาอ่านบทที่ 2,3,4 ... ต่อไปตามปกติค่ะ

Friday, March 17, 2017

The Dogs of Riga





หนังสือชื่อ  :  The Dogs of Riga

ผู้แต่ง  :  Henning Mankell

ผู้แปล  :  Laurie Thompson

สำนักพิมพ์  :  Vintage Books, London


เป็นครั้งแรกที่อ่านหนังสือของนักเขียนท่านนี้ค่ะ ... ส่วนตัวคิดว่าเล่มนี้ อ่านได้ แต่ไม่ค่อยสนุกสุดๆ 

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สอง ในชุดของนักสืบ Wallander ค่ะ... พระเอกของเรื่องก็คือนายตำรวจ Kurt Wallander ตำรวจประจำสถานีตำรวจเมือง Ystad ประเทศสวีเดนค่ะ ... ในเรื่องพระเอกของเราเพิ่งสูญเสียคู่หูตำรวจไปเนื่องจากโรคมะเร็ง ดังนั้นในเรื่องจะมีการกล่าวถึงเพื่อนคนนี้ตลอดค่ะ 

เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อพระเอกของเราต้องรับผิดชอบคดีที่มีคนพบศพ 2 ศพ ตายอยู่ในแพชูชีพลอยมาเกยชายฝั่งประเทศสวีเดนค่ะ ทั้งสองศพถูกยิงตาย ผู้ตายทั้งสองแต่งตัวใส่สูทเป็นนักธุรกิจเลยค่ะ ดูยังไงก็ไม่ใช่ชาวประมง -- เนื่องจากศพถูกพบในแพชูชีพ ดังนั้นมันจึงจะมาจากเรือลำใหญ่ลำไหนก็ได้ในทะเลบอลติกค่ะ พระเอกของเราก็เลยต้องทำการสอบสวนในระดับระหว่างประเทศ -- จนในที่สุดก็ได้เรื่องค่ะ พบว่า ทั้งสองศพเป็นนักค้ายาข้ามชาติชาวลัตเวีย ดังนั้นทางการลัตเวียจึงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาร่วมสืบสวนคดีนี้กับพระเอกของเราค่ะ

เจ้าหน้าที่่ตำรวจลัตเวียที่มาสืบสวนคดีร่วมกับพระเอกของเรา ชื่อ Liepa ค่ะ การสืบสวนก็ไม่ได้มีอะไรคืบหน้ามากนัก แต่อย่างน้อย ทั้ง Wallander กับ Liepa ก็รู้สึกดีต่อกัน แบบประมาณเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่เคารพซึ่งกันและกันน่ะค่ะ ... 

แต่พอ Liepa กลับถึงลัตเวียเพียงแค่วันเดียว ปรากฎว่า เขาโดนฆาตกรรม! ใครเป็นคนฆ่า Liepa ?  แล้วเกี่ยวข้องอะไรสิ่งที่ Liepa เจอที่สวีเดนหรือไม่ ? -- มันจึงทำให้ทางการลัตเวีย ต้องขอให้ Wallander ไปช่วยร่วมสืบสวนคดีฆาตกรรมนี้ที่ลัตเวียด้วยค่ะ

เมื่อพระเอกของเรามาถึงลัตเวีย ปรากฏว่าลัตเวียในช่วงที่หนังสือเล่มนั้นเขียนนั้น คือปี 1991 ค่ะ เยอรมันตะวันออกกับตะวันตก เพิ่งจะรวมกันใหม่ๆ สหภาพยุโรปกำลังจะเกิด แต่ยังไม่เกิด เป็นเพียงไอเดียอยู่ และภายในประเทศลัตเวียเองก็มีปัญหาการเมืองภายในจากการแทรกแซงของโซเวียต -- ดังนั้นพระเอกของเราจึงตกอยู่ท่ามกลางปัญหาภายในของลัตเวีย ตำรวจคอรั่ปชั่น รวมกับขบวนค้ายาระหว่างประเทศ และปัญหาการเมือง มีคนลัตเวียบางคนขายชาติ ฝักใฝ่โซเวียต ประมาณนี้แหละค่ะ


มาถึงตอนนี้ จึงเริ่มเข้าใจความหมายของชื่อเรื่องแล้วค่ะ (ตอนแรกเข้าใจว่า Riga คือชื่อผู้หญิง แต่จริงๆ แล้ว Riga คือชื่อเมืองหลวงของลัตเวียค่ะ) --- ส่วน the dogs ก็หมายถึงตำรวจที่คอรั่ปชั่น และตามล่าพระเอกกับพวกน่ะค่ะ

พอพระเอกมาถึงลัตเวีย ภาษาก็ต่างกัน ก็ช่วยอะไรทางฝ่ายลัตเวียได้ไม่มาก แถมยังมีทางฝ่ายภรรยาหม้ายของสารวัตร Liepa และพวกของเธอ (จะเรียกว่าเป็นกลุ่มปลดปล่อยลัตเวียก็คงได้ คือเป็นกลุ่มทางการเมืองที่ต้องการให้ลัตเวียเป็นเอกราช และไม่ขึ้นกับโซเวียตอีกต่อไป ซึ่งขบวนการนี้ สารวัตร Liepa ก็เข้าร่วมด้วยค่ะ จึงน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกฆ่าตาย) มาขอให้พระเอกช่วยสืบหาคนร้าย ที่ฆ่าสามีของเธอ -- และที่มาหาพระเอก เพราะสามีของเธอก่อนตาย ได้กล่าวชมพระเอกว่าเป็นตำรวจที่ดีค่ะ

-- ความคิดเห็นส่วนตัว คือเรื่องมันไม่ค่อยสมเหตุสมผลนะ คือทางลัตเวียจะอยากได้ตัวพระเอกมาช่วยสอบสวนทำไม ขอเชิญตัวมาสอบปากคำก็พอมั่ง พระเอกใช้ภาษาลัตเวียไม่ได้เลย ไม่เคยมาประเทศนี้ด้วย จะมีประโยชน์อะไรน่ะ แถมเรื่องต่อมาคือภรรยาหม้ายกับพวกของเธอก็ดึงพระเอกเข้าร่วมในการหาคนร้าย ด้วยเหตุผลว่าไม่ไว้ใจตำรวจลัตเวีย (แต่กับไว้ใจคนแปลกหน้า ตำรวจสวีเดน? ) 

สุดท้ายพระเอกก็คิดว่า ต้องเป็นหัวหน้าของ Liepa คนใดคนหนึ่งในสองคนที่เป็นคนบงการฆ่า แต่จะเป็นคนไหน? คือพระเอกคิดว่า สารวัตร Liepa คงกำลังสืบสวนทางลับเรื่องตำรวจคอรั่ปชั่นอยู่เป็นแน่ ถึงได้โดนฆ่าปิดปาก แต่เอกสารการสอบสวนอยู่ที่ไหน -- นี่แหละค่ะ ถึงจะเริ่มตื่นเต้น แต่ก็เกือบจะบทสุดท้ายแล้ว แถมตอนจบก็จบเอาง่ายๆ ซะงั้น -- คืือต้องนึกว่า อ่านมาตั้งนาน เล่ามาอย่างเยิ่นเย้อ พอมาถึงไคลแม็กของเรื่อง ก็แป่บเดียว แล้วก็ตัดจบง่ายๆ ดื้อๆ ซะงั้น -- อ่านแล้วไม่ค่อยสนุกสุดๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะถ้าเอามาเทียบกับนิยายสืบสวนของนักเขียน Jo Nesbo (ที่เอามาเทียบ เพราะเป็นนิยายนักสืบสืบสวนเหมือนกัน และคนเขียนก็มาจากประเทศในแถบสแกนดิเนเวียทั้งคู่) ของ Jo Nesbo จะสนุกกว่าเยอะเลยค่ะ อันนี้เทียบเฉพาะเล่มนี้เท่านั้นนะคะ และเป็นความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ