Friday, May 9, 2025

How to Pronounce Knife

 



หนังสือชื่อ  :  How to pronounce knife

ผู้แต่ง  :  Souvankham Thammavongsa

สำนักพิมพ์  :  Bloomsbury Publishing


เป็นเรื่องสั้นค่ะ ประกอบด้วยเรื่องสั้น 14 เรื่องในเล่ม "How to pronounce knife" ก็คือชื่อของหนึ่งในเรื่องสั้นในเล่มนี้

เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้อพยพชาวลาวรุ่นสองที่อยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากผู้เขียนก็เป็นคนลาวค่ะ (เกิดที่หนองคาย แต่ย้ายและเติบโตที่แคนาดา)

สำนวนดีค่ะ เนื้อหาทัชใจ เล่าถึงการต้องปรับตัวของคนที่มาจากต่างวัฒนธรรม ปัญหาของเด็กที่มีพ่อแม่เป็นคนต่างชาติ ความสับสน การต้องอยู่ตรงกลาง ผู้เขียนเล่าออกมาเป็นภาษาง่ายๆ ผ่านชีวิตในมุมมองของเด็กเหล่านั้น แต่บางเรื่องก็งงๆ คือไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น

เรื่องสั้นที่ชอบที่สุดในเล่ม ก็คงจะเป็นเรื่อง  "How to pronounce knife" ตามชื่อเล่มเลยค่ะ เป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษ แต่เกิดและโตในบ้านที่พ่อแม่เป็นผู้อพยพจากลาว ดังนั้นทั้งบ้านจึงคุยกันด้วยภาษาลาว ในฐานะผู้อพยพก็ไม่ได้รวยอะไร ปากกัดตีนถีบ เด็กน้อยก็รับรู้ถึงความลำบากของผู้ปกครอง "knife" คือคำศัพท์ที่เป็นการบ้านน่ะค่ะ เด็กไม่รู้ว่าควรออกเสียงอย่างไร จึงถามพ่อ พ่อก็ออกเสียงให้ฟัง ...พอไปโรงเรียน อ่านหน้าชั้น ปรากฎว่า สิ่งที่พ่อสอนนั้นผิด ....(เสียง K เงียบไม่ต้องออกเสียง แต่พ่อไม่รู้ไง) ...พอรู้จากหน้าชั้น เด็กน้อยโมโห กรีดร้อง เกรี้ยวกราด ...คือไม่ใช่เพราะอายหรอกค่ะ แต่นี่คือครั้งแรกของเด็กคนหนึ่งที่เริ่มเรียนรู้ว่า พ่อไม่ได้ถูกทุกเรื่อง พ่อคือคนธรรมดา ที่มีผิดมีถูก มันคืออีกก้าวหนึ่งของการโตเป็นผู้ใหญ่ของเธอ

อีกเรื่องที่ชอบคือ "Mini Pedi" เล่าเรื่องผ่านสายตาของชายผู้อพยพชาวลาว เป็นอดีตนักมวย แต่ต่อยมวยไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ น้องสาวเลยชวนมาทำร้านทำเล็บด้วยกัน ...เขามีลูกค้าคนโปรด ชื่อ Emily ซึ่งน้องสาวก็สังเกตเห็นว่าพี่ชายแอบชอบลูกค้า เลยพยายามเตือน​ (ออกเชิงด่า) ในดูสารรูปตัวเอง นางฟ้าสวยๆ แบบนั้น เขาไม่หันมามองเราหรอก เขาก็มีคนที่คู่ควรของเขา ... แต่ชายกลับมองอีกมุม มันคือการมีความหวังที่หล่อเลี้ยงจิตใจ ถึงแม้รู้ว่าไม่มีวันเป็นความจริง แต่ความฝันก็สร้างความสุขใจ เมื่อไรที่ Emily ไม่มีนัดทำเล็บ เขาก็ทรีตลูกค้าคนอื่นๆ เหมือนเธอเป็น Emily ... เรื่องนี้ทำให้เห็นถึงทัศนคติเลยค่ะ สถานการณ์เดียวกัน แล้วแต่มุมมองของคนจริงๆ 

เรื่องที่งง ก็เช่น "The gas station" คือไม่เข้าใจว่าตัวเอกหญิงคือ Marry จะจู่ๆ ก็เลิกความสัมพันธ์กับเจ้าของปั๊มน้ำมันทำไม เลิกแบบย้ายบ้าน ย้ายออกจากเมือง โดยไม่ได้บอกฝ่ายชาย ทั้งที่ไม่มีอะไรทะเลาะกัน ความสัมพันธ์ก็แบบผู้ใหญ่โตๆ แล้วสองคน ทำไมไม่คุยกันดีๆ อันนี้งง

Monday, May 5, 2025

The Mystery Guest

 


หนังสือชื่อ  :  The Mystery Guest

ผู้แต่ง  :  Nita Prose

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


สำนวนดีค่ะ อ่านสบายๆ เป็นนิยายนักสืบแบบเบาสมอง ไม่เครียด ออกแนวขำๆ ตลกแบบอังกฤษห

เป็นนิยายย้อนยุคนะคะ ตัวเอกของเรื่องคือ Molly ในขณะที่เกิดเหตุนั้นทำงานเป็นหัวหน้าแม่บ้าน หรือ maid ในโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง เรื่องจะเล่าสลับบทระหว่างชีวิต Molly ในปัจจุบันกับในอดีตตอนเด็กที่เธออาศัยอยู่กับยาย และยายพาไปทำงานกับเจ้านายทุกวัน

เรื่องมันเริ่มจากแขก ซึ่งเป็นนักเขียนนิยายสืบสวนชื่อดัง J.D. Grimthorpe ตายก่อนการแถลงข่าวสำคัญในโรงแรมที่ Molly ทำงานอยู่ 

ไม่มีใครรู้ว่า นักเขียน Grimthorpe จะแถลงข่าวเรื่องอะไร เขาตายต่อหน้าแฟนๆ ก่อนการแถลงข่าวค่ะ มีการคาดเดาต่างๆ นานาว่าอาจจะเป็นการแถลงข่าวเปิดตัวนิยายเรื่องใหม่ของเขา ซึ่งเขาไม่ได้เขียนมาเป็นเวลานานแล้ว

"The maid is always to blame."

หนังสือเชื่อมให้เห็นว่า แม่บ้าน (หรือคนที่มีสถานะต่ำกว่า เวลามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น มักกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งเสมอ) คดีนี้ก็เช่นกัน -- Molly และลูกน้อง Lily กลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อผลชันสูตรออกมาว่า Grimthorpe  เสียชีวิตจากการถูกวางยาพิษในโถน้ำผึ้งที่ Grimthorpe ตักใส่ในชาดื่มก่อนการแถลงข่าว -- โดย Lily แล Molly คือแม่บ้านที่ดูแลเครื่องดื่มในวันนั้น

หนังสือเล่าสลับย้อนไปในอดีต ทำให้เรารุ้ว่า จริงๆ แล้ว Molly รู้จักกับ Grimthorpe มาก่อนค่ะ ยายของ Molly เป็นคนใช้ในบ้านของ Grimthorpe และเคยพา Molly ไปช่วยงานที่บ้านนั้นด้วย

---

สนุกค่ะ แต่ตอนจบไม่ได้หักมุม กลายเป็นตอนจบที่คาดเดาได้ ตอนแรกนึกว่าแฟนของ Molly จะเป็นตัวลับโผล่มาในตอนจบ ปรากฎว่าเปล่าเลย ไม่มีบทบาทใดๆ ในเรื่องนี้เลย

ดูเหมือนเรื่องที่มี Molly เป็นตัวเอกนี้ จะเป็นซีรีย์ค่ะ คือมีหลายเล่มที่ Molly และเพื่อนๆ พนักงานโรงแรมช่วยกันไขคดีปริศนาค่ะ  

Monday, April 21, 2025

The Cows

 


หนังสือชื่อ  :  The Cows

ผู้แต่ง  :  Dawn O'Porter

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


สนุกค่ะ เป็นหนังสือตลกแบบตลกร้าย 😅

the cows แปลว่า แม่วัว ค่ะ เปรียบผู้หญิงเหมือนแม่วัว ที่มีหน้าที่มีลูก ให้น้ำนมแก่ลูก และอยู่ภายใต้จ่าฝูงที่เป็นตัวผู้ ...หนังสือบอกว่า ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นเหมือนแม่วัว มีหน้าที่แค่เลี้ยงลูก และเป็นผู้ตามอย่างที่ผู้ชายต้องการ

.

ในหนังสือเป็นการเล่าเรื่องในมุมของผู้หญิง 3 คนสลับกันไปมา ซึ่งทั้งสามนี้ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว

--

คนแรกคือ Cam เป็น blogger เขียนบทความเกี่ยวกับผู้หญิงๆ เฟมินิสต์ ผู้หญิงที่พร้อมปฏิรูปตัวเอง ซื่อสัตย์กับตัวเอง 

ที่ฮือฮาคือ Cam ประกาศตัวว่า ตัวเองเป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องการมีลูก เลือกที่จะไม่มีลูก ซึ่งในสังคมฝรั่งมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติ 

ชีวิตส่วนตัวหลังบล็อก Cam มีคู่ขาที่อายุน้อยกว่า (แต่ดูเหมือนผู้ชายจะรู้สึกจริงจังกับเธอ) มีพ่อแม่ และพี่สาวอีกสามคน พี่สาวทั้งสามแต่งงานมีลูก และเป็นแม่บ้านปกติเหมือนแม่ และผู้หญิงหลายคนในโลก ...ซึ่งเป็นชีวิตที่ Cam ปฏิเสธที่จะเป็นแบบนั้น

.

คนที่สองคือ Tara อายุ 42 ปี เป็นปรดิวเซอร์รายการทีวี  และคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูกอายุ 6 ขวบที่เกิดจาก one night stand โดยที่พ่อของเด็กไม่รู้ว่าความสนุกคืนนั้นก่อให้เกิดเด็กน้อยขึ้นมาหนึ่งคน (เหตุที่พ่อเด็กไม่รู้เพราะ Tara เลือกที่จะไม่บอกค่ะ) 

ชีวิตของ Tara พลิกผันหน้ามือเป็นหลังมือในคืนวันหนึ่งหลังจากเธอกลับจากเดทกับผู้ชายสุดฮอต และเกิดอารมณ์ทางเพศ เลยแอบช่วยตัวเองบนรถไฟ! อารมณ์เห็นว่าตัวเองอยู่คนเดียวบนรถไฟตู้นั้น เลยเอาหนังสือพิมพ์ปิดตักไว้ ....แต่ความซวยคือ หนังสือพิมพ์ปลิว และ Tara ไม่ได้อยู่คนเดียว มีเด็กวัยรุ่นถ่ายคลิปที่เธอกำลังตกเบ็ดไว้ พอ Tara รู้ตัว ด้วยความตกใจเลยยืนขึ้นจะไล่ตามเด็กคนนั้น ลืมไปว่าตัวเองถอดกางเกงอยู่ ....ภาพดูไม่จืดเลยค่ะ

และคลิปนั้นกลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก! 

.

คนที่สามคือ Stella เป็นคนที่ขมขื่นในชีวิต เคยมีน้องสาวฝาแฝด แต่น้องสาวเสียชีวิตด้วยมะเร็งรังไข่ แม่ก็เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นแล้วด้วยมะเร็งเต้านม Stella มียีนที่ก่อมะเร็ง และมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งเช่นเดียวกับแม่หรือฝาแฝดของเธอ ดังนั้นหมอจึงจะผ่าตัดมดลูกและเต้านมของเธอ ...แต่หมอชะลอเวลาเอาไว้ก่อน เพราะ Stella อยากมีลูก

ปัญหาคือ จะมีลูกกับใคร แฟนก็เพิ่งเลิกกันไป ..one night stand ผู้ชายเดี๋ยวนี้ก็ขอใส่ถุงยางทั้งนั้น

.

มีจุดเชื่อมคือทั้ง Tara และ Stella ต่างอ่านบล็อกของ Cam

Cam ให้กำลังใจ Tara และมีส่วนช่วยให้เธอกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

ในขณะที่ Stella เกลียดทัศนคติ และชีวิตสุดเพอร์เฟคของ Cam ในบล็อกมาก และเขียนอีเมล์ด่า Cam

จุดเชื่อมอีกอันคือ เจ้านายของ Stella คือคนที่ออกเดทกับ Tara (ที่ทำให้ Tara เ_ี่ยนจนช่วยตัวเองบนรถไฟ)



Sunday, March 23, 2025

The Life Impossible

 


หนังสือชื่อ  :  The Life Impossible

ผู้แต่ง  :  Matt Haig

สำนักพิมพ์  :  Canongate Books Ltd,


เป็นผู้แต่งคนเดียวกับที่แต่งเรื่อง ห้องสมุดเที่ยงคืน-The midnight library ค่ะ แต่อย่าคาดหวังว่าจะสนุกเทียบเท่ากับเรื่องนั้นนะคะ 

เรื่องเริ่มจากอีเมล์ของ Maurice เขียนถึงอดีตคุณครูสอนเลขสมัยมัธยม Mrs. Grace Winters ค่ะ -- Maurice เขียนอีเมล์หาเนื่องจากได้ข่าวมาว่า คุณครูที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาเลือกเรียนต่อทางคณิตศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ได้ย้ายจากอังกฤษไปอยู่เกาะอิบิซา ประเทศสเปน ในอีเมล์เขาได้เผลอเล่าปัญหาชีวิตของเขาให้คุณครู Grace อ่านด้วยนิดหน่อย Maurice อายุ 22 ปี แม่เสียชีวิตเมื่อสองปีก่อน ตัวเขาเป็นซึมเศร้า น้องสาวเขากำลังมีปัญหา เขาเองก็ดื่มเยอะ แฟนก็บอกเลิก -- ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำให้เขาสูญเสียการมองโลกในแง่ดีไป 

อีเมล์ของ Maurice แค่ฉบับเดียว ยาวสองหน้ากระดาษ แต่ครู Grace ตอบกลับมาเป็นหนังสือหนึ่งเล่มเลยค่ะ เรื่องที่เหลือทั้งเล่ม ห้าร้อยกว่าหน้าคือเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นของ Grace ตั้งแต่สมัยยังอยู่อังกฤษ และย้ายมาเกาะอิบิซา 

Grace ตอนนี้อายุ 72 ลูกชายคนเดียวที่มีตายไปตั้งแต่อายุ 11 ปีด้วยอุบัติเหตุ ปั่นจักรยานในวันฝนตกและชนกับรถบรรทุก ซึ่งเป็นสิ่งที่ Grace แบกความรู้สึกผิดนี้มาตลอดทั้งชีวิต ที่ปล่อยให้ลูกชายปั่นจักรยานไปข้างนอกคนเดียว และสามีที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสี่ปีก่อน -- Grace ตอนนี้จึงอยู่คนเดียว และออกจากบ้านน้อยมาก

อยู่มาวันหนึ่งก็ได้รับจดหมายจากทนายความบอกว่า Grace ได้รับมรดกเป็นบ้านบนเกาะอิบิซาจากอดีตเพื่อนร่วมงานชื่อ Christina -- ซึ่ง Grace ไม่เคยติดต่อกับ Christina เลยตั้งแต่ปี 1979 -- สิ่งสุดท้ายที่ Grace ทำคือชวน Christina มาฉลองคริสต์มาสด้วยกัน (Christina เป็นครูสอนดนตรี และปีนั้น ถ้า Grace ไม่ชวน เธอคงต้องอยู่คนเดียวในวันคริสต์มาส) Grace สนับสนุนเมื่อ Christina บอกว่าจะไปทำงานที่เกาะอิบิซา มีคนเสนองานให้ และให้จี้ห้อยคอรูป St. Christopher เป็นของที่ระลึก

ด้วยความอยากรู้ Grace จึงเดินทางมาดูบ้านที่ได้รับเป็นมรดกที่เกาะอิบิซา -- และหลังจากนั้นคือการผจญภัยของเธอ ในการสืบหาว่าใครที่เป็นสาเหตุให้ Christina หายตัวไป มีการเจอกับปาฏิหาริย์ในใต้ทะเลของเกาะอิบิซา และการขัดขวางแผนการทำลายธรรมชาติของนายทุนเพื่อสร้างโรงแรมในเกาะอิบิซา

เป็นนิยายแฟนตาซีค่ะ แต่ออกแนวเว่อร์จัด -- คือมันไม่เหมือนหนังสือ "ห้องสมุดเที่ยงคืน" ที่ก็เป็นแฟนตาซี แต่คือพอเข้าใจได้ว่าคือเรื่องของชีวิตหลังความตายที่แต่ละคนมีประสบการณ์ต่างๆ กันไป และเราที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนมีช่วงหนึ่งของชีวิตที่รู้สึกสงสัยถึงทางเดินที่ตัวเองเลือก และไม่ได้เลือก

แต่เล่มนี้ คือ Grace ได้รับพลังวิเศษ พลังจิตในการสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตบนเกาะ สามารถอ่านใจคนได้ จากเดิมที่ไม่เข้าใจภาษาสเปน ก็เข้าใจได้ยังกับเกิดที่สเปน สามารถทำสิ่งที่ไม่เคยทำได้โดยไม่ต้องเรียนมาก่อน เช่น เล่นเปียโน ซึ่งพลังนั้นมาจากอะไรก็ไม่รู้ Ribas ซึ่งเป็นนักชีววิทยาและเป็นเพื่อนใหม่ของ Grace เชื่อว่ามาจากนอกโลก และตกมาอยู่ใต้ทะเล สิ่งนั้นมีพลังในการเยียวยาทุกสรรพสิ่งชีวิต ...แต่ทำไมสิ่งนั้นถึงเลือกที่จะให้พลังแก่พวกเขา? Grace พิเศษตรงไหน ทำไมจึงได้รับพลังมากกว่าคนอื่น? -- พล็อตหนังสือมีแต่คำถาม ทำไม ทำไม เต็มไปหมดค่ะ ทำให้นิยายดูไม่น่าเชื่อถือ

สาระที่นิยายต้องการจะสื่อคงจะเป็นบทประมาณท้ายๆ เล่มค่ะ เพื่อจะบอกว่าชีวิตของเราแต่ละคนอยู่ในรูปแบบซ้ำๆ การจะพาตัวเองหลุดออกจากรูปแบบนั้นต้องใช้พลัง แต่ขณะเดียวกันชีวิตก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เหมือนสมการคณิตศาสตร์ที่มีตัวแปรที่เราไม่รู้ค่า ซึ่งโดยมากแล้วตัวแปรที่ไม่รู้ค่านั้นก็คือภายใจจิตใจของเราเอง ดังนั้นจงโอบกอดความไม่แน่นอนนี้ไว้ ซึบซับความไม่รู้ 

ชีวิตก็เหมือนสมการคณิตศาสตร์ เราแก้ปัญหาโดยเริ่มด้วยตัวแปรที่เรารู้ค่า และแก้ไปเรื่อยๆ ทีละเปราะๆ 

-

สรุปคือ หนังสือไม่ได้แย่นะคะ อ่านได้ อ่านจนจบค่ะ แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะดีเทียบเท่าเรื่อง "ห้องสมุดเที่ยงคืน" ค่ะ


Tuesday, January 28, 2025

If Cats Disappeared From The World

 


หนังสือชื่อ  :  If cats disappeared from the world

ผู้แต่ง  :  Genki Kawamura

ผู้แปล  :  Eric Selland

สำนักพิมพ์  :  Picador


ความตายมาถึงเราไม่ช้าก็เร็ว

หนังสือเขียนในลักษณะคล้ายไดอารี่ คนเขียนอายุ 30 ปี ทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ โสด อยู่บ้านคนเดียวกับแมวลายทักซิโด ชื่อ Cabbage มีบุคลิก introvert มีความคิดลึกซึ้ง แต่ไม่พูดอธิบายสิ่งที่ตนรู้สึก ซึ่งพ่อของเขาก็มีนิสัยแบบนี้เช่นกัน ทำให้หลังจากแม่ของเขาเสียไปเมื่อสี่ปีก่อน เขาและพ่อก็ไม่พูดคุยกันอีกเลย 

เริ่มจากเขาไม่สบายเรื้อรัง และเมื่อไปหาหมอ หมอวินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินหกเดือน หรือพูดง่ายๆ ว่าแต่ละวันที่เขายังหายใจอยู่ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว

เมื่อกลับมาบ้าน เขาเจอกับปีศาจ (ที่เขาตั้งช่ือว่า Aloha) ปีศาจยื่นขอเสนอกับเขา ให้เขาแลกให้สิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหายจากโลกนี้ไปหนึ่งชิ้น แลกกับชีวิตเขายาวนานขึ้นอีกหนึ่งวัน

ตอนแรกปีศาจเสนอแลกให้ชอคโกเลตหายจากโลกนี้ไป แต่พอปีศาจได้ชิมชอคโกเลตก็เปลี่ยนใจ มันอร่อยมาก เลยเกิดเสียดายถ้าของอร่อยแบบนี้จะหายไปจากโลกนี้

ของที่หายไปในที่นี้หมายถึง คนในโลกไม่รู้เลยว่ามันเคยมีอยู่ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการใช้สิ่งของนั้นๆ เลย มีแต่ตัวเจ้าของเรื่องเองเท่านั้นที่จำได้ว่าโลกนี้เคยมีสิ่งนั้นอยู่

วันแรก โทรศัพท์หายไปจากโลกนี้ -- ปีศาจอนุญาตให้เจ้าของเรื่องใช้โทรศัพท์ได้เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อติดต่อคนที่เขาอยากโทรหาเป็นคนสุดท้าย

วันที่สอง ภาพยนตร์หายไปจากโลกนี้ -- เจ้าของเรื่องรักการชมภาพยนตร์ ปีศาจอนุญาตให้เขาเลือกภาพยนตร์ที่อยากชมเป็นเรื่องสุดท้าย

วันที่สาม นาฬิกาหายไปจากโลกนี้ -- ไม่มีเวลา เวลาเป็นการกำหนดของมนุษย์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่เป็นผู้กำหนดมาตรฐานชั่วโมง นาที วันในปฏิทิน 

วันที่สี่ แมวหายไปจากโลกนี้ ...

ทั้งเล่มจึงเป็นไดอารี่ความทรงจำของผู้เขียน ชีวิตในอดีตที่ผ่านมา เรื่องราวต่างๆ ... คือเขามีชีวิตที่เรียบง่ายค่ะ ไม่ได้ชายผู้ทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไร เป็นตัวแทนของคนธรรมดาๆ เหมือนเราๆ 

คนมักจะคิดว่า คนที่รู้ตัวเองว่ากำลังจะตาย คงจะทำลิสต์รายการที่อยากจะทำก่อนตาย สิ่งที่ไม่เคยทำ เปลี่ยนเป็นคนในแบบที่ไม่เคยเป็นเพราะไม่กล้า แต่งตัวแบบที่อยากแต่งแต่ไม่กล้า เพราะกลัวสายตาชาวบ้าน หรือไม่ก็เสียใจที่ไม่ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ...แต่เอาเข้าจริง คนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย กลับสงบกว่านั้นค่ะ เรื่องพวกนั้นมันไม่สำคัญเลย ไม่ว่าสไตล์การแต่งตัว คำนินทาของคนอื่น ฯลฯ พวกนี้ไม่สำคัญเลย -- no matter how you look at it, life is full of regrets anyway.

หนังสือเล่มนี้จึงเหมือนพินัยกรรมของเจ้าของเรื่อง สอนให้เราขบคิดถึงชีวิต ยังไงในที่สุดคนเราก็ต้องตายอยู่ดี ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า และส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไร...การใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะให้เต็มที่นั่นคือสิ่งเดียวที่เราทำได้

"There's a reason that things exist in this world. And there's no reason good enough for making them disappear."



Saturday, January 25, 2025

Butter

 


หนังสือชื่อ :  Butter

ผู้แต่ง  :  Asako Yuzuki

ผู้แปล  :  Polly Barton

สำนักพิมพ์  :  4th Estate


"There are two things that I simply cannot tolerate: feminists and margarine."

ถ้าเปรียบหนังสือเหมือนอาหาร หนังสือเล่มนี้คงเป็น boeuf bourguignon (สตูว์เนื้อแบบฝรั่งเศส) ค่ะ เพราะ low heat ตลอดทั้งเล่ม ไม่มีความตื่นเต้นแบบพีค แต่กลายเป็นว่ารสชาดกลมกล่อม และอ่านเรื่อยๆ วางไม่ลง มันมีความเป็นชีวิตจริง 

หนังสือเล่มนี้อาจจะอ่านยากสำหรับคนชาติตะวันตกค่ะ แต่สำหรับชาวเอเชียอย่างเรา ที่เข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นพอสมควร หนังสือเล่มนี้อ่านไม่ยากค่ะ

เป็นเนื้อเรื่องนักข่าวสาวชื่อ Rika Machida ที่กำลังพยายามตื้อขอสัมภาษณ์แบบเอ็กคลูซีฟกับนักโทษสาว ผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมต่อเนื่อง Manako Kajii 

เหยื่อของ Kajii คืออดีตแฟนของเธอเอง มีอย่างน้อยสามคน 

เหยื่อรายแรก Todanobu Motonatsu อายุ 73 ปี เสียชีวิตเนื่องจากกินยานอนหลับเกินขนาด

เหยื่อรายที่สอง Hisanori Niimi เสียชีวิตจากการจมน้ำในอ่างอาบน้ำ

เหยื่อรายที่สาม Tokio Yamamura เสียชีวิตจากการกระโดดให้รถไฟทับ

ทั้งสามรายมีสิ่งที่เหมือนกันคือ เป็นชายสูงอายุ โดดเดี่ยว โสด และเป็นแฟนกับ Kajii อย่างรักอย่างหลง และเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย หลังจากที่ Kajii ตัดสัมพันธ์

Kajii อายุ 35 ปี มาจากเมืองนีงะตะ และย้ายมาอยู่โตเกียวหลังจากจบมัธยม หนังสือบรรยายว่าเธอไม่ได้สวยเลอเลิศอะไรค่ะ ออกจะอ้วนและตัวใหญ่สำหรับมาตรฐานคนญี่ปุ่นด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนเธอมีดีตรงที่ทำอาหารอร่อย อาหารชั้นสูงหรู และรู้จักวิธีเอาใจชายโสดสูงวัยผู้โดดเดี่ยว -- Kajii มีรายได้จากการเป็นโสเภณีตั้งแต่เรียนจบมัธยม เป็นโสเภณีแบบที่เอาใจคนแก่หัวงู ประเภทที่หาเงินเก่ง แต่จีบผู้หญิงไม่เป็น Kajii จะใช้เสน่ห์ปลายจวัก และความสามารถในการเอาใจทำให้คนเหล่านี้หลงและเลี้ยงดูเธอค่ะ

แต่มันก็ยากที่จะจินตนาการว่า เธอฆาตกรรมแฟนเก่าด้วยตัวเอง เพราะการตายของทุกคนเหมือนการฆ่าตัวตาย รวมถึงตัว Kajii เองก็มีพยานแน่นหนาว่าไม่ได้ทำร้ายพวกผู้ชายเหล่านั้น

ริกะ (Rika) พยายามตีสนิท Kajii ด้วยการถามสูตรอาหาร และ Kajii ก็บอกเคล็ดลับในการเพิ่มรสสัมผัสในการรับประทานอาหารให้ริกะลองทำตาม ไม่ว่าจะเป็นลองกินข้าวร้อนๆ กับเนยและซีอิ้วขาว (จะได้ลิ้มรสสัมผัสของเนย) กินราเมนเนยตอนเช้ามืดหลังจากมีเซ็กส์ที่เร่าร้อน (ราเมนจะอร่อยขึ้นอีกเท่าตัว) 

ริกะพยายามทำตามสิ่งที่ Kajii เคยทำ ไปบ้านเกิดของ Kajii พบน้องสาวและแม่ของเธอ ลงคอร์สเรียนทำอาหารฝรั่งเศสที่ Kajii เคยเรียนก่อนโดนจับ -- ทั้งหมดนี้เพื่อเข้าใจภายในจิตใจและวิธีคิดของ Kajii 

หนังสือเล่าถึงชีวิตส่วนตัวของริกะ เพื่อนหญิงคนสนิท แฟน และแหล่งข่าว เพื่อนร่วมงาน รวมถึงปมครอบครัวในอดีตของริกะ ทำให้เราเข้าใจชีวิตส่วนตัวของนักข่าวสาวคนนี้มากขึ้น 

ดูเหมือนริกะและ Kajii มีความเหมือนกันมากกว่าที่คิด 

แต่อ่านไปก็ยากจะจินตนาการว่า Kajii เป็นผู้ต้องสงสัยในการฆาตกรรมแฟนทั้งสามของเธอได้อย่างไร ...อ่านไปๆ ก็เริ่มเห็นตรรกะวิธีการคิดที่บิดเบี้ยวของ Kajii -- คือในสังคมที่ผู้หญิงคิดว่าตนเองเท่าเทียมกับผู้ชาย แต่ Kajii กลับยอมรับว่า ผู้หญิงควรทำหน้าที่เป็นแม่บ้านดูแลผู้ชาย Kajii เกลียดผู้หญิง ไม่มีเพื่อนผู้หญิง เป็นคนหลงตัวเองที่โดดเดี่ยว 

...จนบทใกล้ๆ สุดท้าย คนอ่านอย่างเราก็เริ่มเข้าใจว่า ทำไมพวกผู้ชายเหล่าแฟนสูงอายุของ Kajii จึงฆ่าตัวตายเมื่อ Kajii สลัดรัก ... นางเป็นไซโคพาธโดยธรรมชาติค่ะ คือไม่ได้ทำเพื่อหวังเงิน ถึงจะได้ประโยชน์จากพวกผู้ชายเหล่านั้น แต่เนื่องจากไม่ได้แต่งงานกัน ผู้ชายตาย นางก็ไม่ได้อะไร แต่ Kajii ทำไปเพราะหมดรักแล้ว ...เริ่มด้วยทำให้พวกผู้ชายรู้สึกเหมือนตัวเองถูกรางวัลใหญ่ มีความสุข จากนั้นก็สลัดพวกเขาทิ้ง เพิกเฉย ไม่สนใจอีก ผู้ชายเหล่านี้เดิมโดดเดี่ยวอยู่แล้ว พอกลับมาต้องโดดเดี่ยวอีกครั้ง จึงเกินกว่าที่พวกเขาจะรับไหว...


Wednesday, January 1, 2025

Mrs England

 


หนังสือชื่อ  :  Mrs England

ผู้แต่ง  :  Stacey Halls

สำนักพิมพ์  :  Manilla Press


เป็นนิยายพีเรียดย้อนยุคค่ะ ประมาณปี 1896 หนังสือเล่าในมุมของ Ruby May หรือพยาบาลเมย์ เมย์เป็นพยาบาลพี่เลี้ยงเด็กของโรงเรียนพยาบาลพี่เลี้ยงเด็กที่มีชื่อเสียง เป็นสถาบันที่ครอบครัวคนรวยจองตัวพยาบาลของโรงเรียนนี้ให้มาดูแลบุตรหลานของตน 

เรื่องเล่าช้าๆ ทำให้เรารู้ว่า เมย์มีแผลในใจบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ Elsie น้องสาวอายุ 11 ขวบที่พิการเดินลำบาก เมย์ต้องทำงานเพื่อหาเงินมารักษาน้อง เมย์เป็นเสาหลักของครอบครัว ดูเหมือนเธอจะมีพ่อและแม่ที่อ่อนแอ เมย์มีน้องชายอีกสามคน และต้องรับผิดชอบเลี้ยงน้องๆ มาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่พ่อและแม่ยุ่งกับธุรกิจร้านขายของชำ ...ด้วยนิสัยพี่สาวคนโต การมาทำงานเป็นพยาบาลพี่เลี้ยงเด็กจึงเหมาะกับบุคลิกของเธอมาก

เรื่องเริ่มต้นด้วยเมย์ต้องเปลี่ยนนายจ้าง เนื่องจากนายจ้างคนปัจจุบันจะย้ายครอบครัวไปต่างประเทศ แต่เมย์ไม่สามารถย้ายตามไปได้ เมย์ก็เลยต้องหานายจ้างใหม่ ...นายจ้างใหม่คือครอบครัว England อยู่เมือง Yorkshire ทางเหนือของอังกฤษ

ครอบครัว England มีลูก 4 คน คือ Decca, Saul, Millie และคนสุดท้องอายุ 1 ขวบชื่อ Charley 

เมย์มาทำงานกับครอบครัวนี้ และได้เห็นความแปลกๆ ของทั้ง Mr และ Mrs England -- เช่น 

- ที่แปลกที่สุดคือ Mrs England ผู้เป็นแม่ ไม่เคยดูดำดูดี ดูแลลูกๆ ของตัวเองเลย วันๆ ก็คลุกอยู่แต่ในห้อง เก็บตัวเงียบ 

- Mr England ผู้พ่อกำชับพยาบาลเมย์ว่า ก่อนนอนต้องล็อคห้องของเด็กๆ ทุกคืน (เมย์นอนรวมกันกับเด็กๆ ค่ะ) เหมือนกลัวว่าจะมีใครมาบุกรุก หรือเป็นนัยๆ ว่า กลัวแม่จะมาทำร้ายลูกของตัวเอง

- Mrs England ยืนยันไม่ต้องการสาวใช้ช่วยแต่งตัว ผิดวิสัยผู้หญิงผู้ดีสมัยนั้น ในขณะที่ทั้งบ้านมี Mr England เป็นผู้ชายคนเดียว คนใช้ทุกคนเป็นผู้หญิงหมด ไม่มีคนใช้ผู้ชายคนสนิท ซึ่งก็แปลก เมย์ตั้งข้อสังเกตว่า พฤติกรรมเหมือน Mr England ต้องการวางตนเป็นจ่าฝูง

- เมื่อเมย์อยู่ที่บ้านนั้นระยะหนึ่ง น่าแปลกที่ไม่มีจดหมายจากใครส่งมาหาเมย์อีกเลย จนในที่สุดก็พบว่า มีคนในบ้านนั้น เก็บจดหมายของเธอไว้ และไม่นำมาให้เธอ 

เรื่องแปลกๆ ในบ้านดำเนินมาเรื่อยๆ ในสายตาการเล่าของเมย์ สลับกับการย้อนรำลึกเรื่องในอดีตของเมย์เอง เรื่องเล่าช้ามาก จนใกล้จะจบเล่ม เราถึงได้เฉลยว่า เมย์มีปมในใจที่พ่อของเมย์เคยพยายามฆ่าเธอกับ Elsie น้องสาว โดยพยายามผลักตกหน้าผา ทั้งคู่รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เมย์ไม่บาดเจ็บอะไรเลย แต่ Elsie เส้นประสาทที่ขาถูกทำลาย ทำให้เดินไม่ได้ -- และนี่คือความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจของเมย์

เนื้อเรื่องเร่ิมไม่สนุกก็ตอนที่เมย์เริ่มแอบชอบ Mr England และเริ่มตำหนิ Mrs England ที่ไม่ทำหน้าที่แม่ที่ดี

จนตอนใกล้จบ เราจึงได้รู้ว่า นิยายเรื่องนี้คือเรื่องความรุนแรงในครอบครัวในทางด้านจิตใจ การควบคุมคนอื่นโดยให้จิตวิทยา 

แต่หนังสือมีหลายปมที่ไม่เข้าใจ และหนังสือเล่าได้ไม่ชัดเจน เช่น

1. ตอนใกล้จบ Mr England ทะเลาะกับพ่อตาอย่างรุนแรง โมโห และจะพาตัว Millie ออกจากบ้านไปเยี่ยม Saul ที่บ้านพ่อตา เมย์เห็นสัญญาณของความรุนแรงและเป็นลมสลบไป ตื่นมา Millie ก็กลับมาแล้ว และก็ไม่เห็นจะมีความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น แต่ก็ไม่เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้นด้วยเช่นกัน??

2. แม่ของเมย์รู้หรือเปล่า ว่าพ่อจะฆ่าเมย์และ Elsie??? เพราะแม่เป็นคนบอกให้แม่ตามไปกับพ่อ ไม่แม้แต่จะถามว่าไปที่ไหน ออกจากบ้านไปทำไมตอนกลางคืน -- แถมพอเกิดเรื่อง แม่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเมย์จึงไม่ให้อภัยพ่อ

สรุปคือ ไม่สนุกค่ะ คือเริ่มต้นเหมือนจะสนุก อ่านไปประมาณครึ่งเล่ม แล้วก็เริ่มไม่สนุกแระ เนื้อเรื่องก็ไม่ชัดเจน ไม่เคลียร์ จะเทก็ไหนๆ อุตส่าห์อ่านมามากกว่าครึ่งเล่ม ก็เลยไถๆ อ่านอย่างช้าๆ ไปจนจบ เรียกว่าอ่านนานหลายเดือนเลย เพราะไม่อยากอ่าน