Friday, September 21, 2018

Blood on Snow





หนังสือชื่อ  :  Blood on Snow

ผู้แต่ง  :  Jo Nesbo

ผู้แปล  :  Neil Smith

สำนักพิมพ์  :  Vintage Publishing


เป็นหนังสือของนักเขียนคนโปรด Jo Nesbo  ค่ะ  แต่เล่มนี้ไม่ใช่ชุดซี่รี่ย์ของสารวัตรโฮลนะคะ เป็นเรื่องจบในเล่มเลยค่ะ 

เล่มนี้ ตัวเอกของเรื่องเป็นมือปืนรับจ้างค่ะ (ภาษาในหนังสือ เขาเรียกตัวเองว่าเป็น fixer ค่ะ) ตัวเอกของเรื่องชื่อ Olav เป็นมือปืนรับจ้างของพ่อค้ายาเสพย์ติด

ทั้งหมดเล่าเรื่องในมุมของ Olav พระเอกของเราค่ะ -- เราได้เห็นว่าเขาเป็นคนฉลาดทีเดียว แต่มีปัญหาเรื่องบกพร่องในการอ่าน และแต่ละช่วงของเหตุการณ์ จะมีช่วงที่ Olav ย้อนรำลึกถึงชีวิตในวัยเด็กของเขา แม่ของเขา -- คืออ่านแล้วเราจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาเลยค่ะ รู้สึกเห็นใจเขา ออกแนวหดหู่และเข้าใจเขาในทางเดินที่เขาเลือก (ทั้งๆที่เขาเพิ่งฆ่าคนมา แต่ผู้เขียน เขียนได้ดีมากเลยค่ะ ทำให้เราไม่รู้สึกเกลียดเขาเมื่ออ่านจบ แต่กลับสงสาร หดหู่ และเอาใจช่วยแทน)

ชีวิตของ Olav ตอนแรกๆ ก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานดีอยู่หรอกค่ะ -- จนกระทั่งวันหนึ่งนายจ้างสั่งเขาให้ไปฆ่าเมียของนายจ้างเอง แบบต้องทำให้เนียนๆ ด้วยนะ -- คราวนี้ปัญหาก็มาเลยค่ะ คือพระเอกของเราเนี่ย เลือดเย็น สังหารคนตายมาเยอะ แต่อ่อนต่อโลก เป็นสุภาพบุรุษ และใจอ่อนกับผู้หญิงค่ะ -- Olav ดันไปลงรัก แบบรักแรกพบเลยค่ะ กับเมียของนายจ้าง (หรือคือเป้าหมายที่เขาต้องสังหารนั่นเอง)
และที่ยุ่งไปกว่านั้นคือ แทนที่เขาจะฆ่าผู้หญิง ตามคำสั่งของเจ้านาย -- เขาดันไปฆ่าชายชู้ ซึ่งต่อมาปรากฎว่า เป็นลูกชายคนเดียวของนายจ้างนั่นเอง!!! 

แน่นอนเลยค่ะ จากเดิมนายจ้าง จ้างให้ Olav มาฆ่าเมียของต้วเอง -- คราวนี้กลายเป็นเขาเองนั่นแหละที่จะโดนฆ่า -- การหนีเอาตัวรอดจึงเกิดขึ้นค่ะ

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มเล็กๆ ค่ะ เรื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไร อ่านไปเราจะเห็นว่า Olav เป็นสุภาพบุรุษเพียงใด เข้าไปช่วยหญิงหูหนวกที่โดนแมงดาทำร้าย แถมยังจ่ายเงินชำระหนี้ให้อีก แถมยังแอบตามดูเธออยู่ห่างๆ โดยแต่ไม่แสดงตัวเลย -- หรือชีวิตที่โหดร้ายตอนเป็นเด็กของ Olav ซึ่งเล่าในมุมของเขาเอง แต่ก็ชวนให้คนดูอย่างเรารู้สึกหดหู่ได้ไม่น้อย 

เป็นอีกเล่มของ Jo Nesbo ที่ไม่ผิดหวังค่ะ สนุก สั้นๆ แต่คงอรรถรสของการเล่าเรื่องสไตล์ Jo Nesbo ไว้อย่างดีค่ะ


Sunday, May 27, 2018

The Owl Always Hunts at Night


หนังสือชื่อ  :  De Doodsvogel
                                                    (The Owl Always Hunts at Night)

ผู้แต่ง  :  Samuel Bjork

ผู้แปล  :  Renée Vink

สำนักพิมพ์  :   Luitingh Sijthoff


หนังสือเล่มที่อ่านนี้แปลเป็นภาษาดัตช์ค่ะ ใช้ชื่อในภาษาดัตช์ว่า de doodsvogel แต่เล่มเดียวกันนี้ก็มีแปลจากภาษานอร์เวย์เป็นภาษาอังกฤษเช่นกันค่ะ ใช้ชื่อในเล่มภาษาอังกฤษว่า "The Owl Always Hunts at Night" สามารถหามาอ่านกันได้ค่ะ

เป็นเรื่องของการสืบสวนหาฆาตกรค่ะ  โดยเริ่มจากมีคนพบศพหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง เธอเสียชีวิตและศพเปลือยของเธอถูกจัดวางเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนาเลยค่ะ ศพของเธอเปลือยเปล่า ผอมแบบคนอดอาหาร และถูกวางรายล้อมด้วยขนนกฮูก ในปากมีดอกไม้ยัดไว้ มีเทียนจุดรอบศพ และเมื่อนิติเวชผ่าชันสูตรศพ ก็พบว่าภายในกระเพาะของเธอเต็มไว้ด้วยอาหารเม็ดของนก 
ต่อมาสามารถระบุตัวได้ว่า ศพนี้คือหญิงสาวอายุ 17 ปี ชื่อ Camilla Green ค่ะ โดยเธอหายไปหลายเดือนแล้ว เธอเป็นเด็กกำพร้า และพักอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าค่ะ -- จากช่วงที่เธอหายตัวไปจนพบศพ จึงสามารถสรุปได้ว่า เธอถูกกักขังและทรมาน ก่อนที่สุดท้ายฆาตกรจะบีบคอจนเธอเสียชีวิต

ทีมตำรวจที่สืบสวนเรื่องนี้นำโดยสารวัตร Holger Munch โดยมีผู้ช่วยคนสำคัญอย่าง Mia Kruger และคนอื่นๆ ค่ะ -- ตรงนี้ผู้เขียนนอกจากจะเล่าเรื่องการสืบสวนของคดีนี้แล้ว ยังมีการเล่าเรื่องส่วนตัวของตัวละครด้วยค่ะ คือนอกจากพวกเขาจะต้องทำงานในการหาตัวคนร้ายให้ได้แล้ว หลังการทำงานพวกเขาก็มีเรื่องส่วนตัว ปัญหาส่วนตัวที่หนักหนาที่ต้องต่อสู้ให้ผ่านพ้นไปให้ได้เช่นกันค่ะ

เช่น สารวัตร Munch อดีตภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว (แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และสารวัตรของเราก็ยังคงรักเธออยู่) เพิ่งประกาศว่าจะแต่งงานใหม่  -- ส่วน Mia เธอสูญเสียน้องสาวฝาแฝดไปเนื่องจากเสพย์ยาเกินขนาด เธอยังคงเจ็บปวด และมีปัญหาโรคซึมเศร้าจากเรื่องนี้อยู่ค่ะ ถึงแม้เรื่องจะผ่านมาเป็นปีแล้ว Curry ตำรวจในทีมอีกคน ก็มีปัญหาติดการพนันจนเงินเก็บหมด จนเมียขอเลิก พยายามง้อเมียแต่เธอไม่เอาแล้ว ก็เมามายไม่เป็นผู้เป็นคน 

การสืบสวนเริ่มเข้มข้นขึ้นเมื่อตำรวจได้รับวิดีโอบันทึกการทรมานที่เกิดขึ้นกับ Camilla Green ค่ะ เธอถูกบังคับให้อยู่ในกรง คลานและเดินบนวงล้อคล้ายๆ หนูแฮมสเตอร์น่ะค่ะ แล้วก็ให้เก็บกินอาหารเม็ดของนกบนพื้น -- ตำรวจต้องสืบหาว่า ใครบันทึกวิดีโอนี้ และวิดีโอนี้ได้มาอย่างไร 

ในระหว่าง ลูกสาวของสารวัตร Munch ก็มีปัญหาความสัมพันธ์กับสามีค่ะ และดูเหมือนเธอจะพบคนใหม่ แต่คนใหม่นี้จะไว้ใจได้หรือไม่? -- หลายอย่างไม่ชอบมาพากลค่ะ 

หนังสืออ่านสนุกค่ะ บรรยายเรื่องและผูกเรื่องได้ดี แต่บทสนทนาของตัวละครดูจะยืดยาดไปหน่อยค่ะ  หนังสือให้ความสำคัญกับเบื้องหลังที่มาที่ไปของตัวละครสำคัญหลายๆ ตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตำรวจ หรือฝั่งบ้านเด็กกำพร้า ทำให้เรื่องดูมีเหตุมีผลค่ะ และทำให้เรื่องดูซับซ้อนสมจริงยิ่งขึ้นค่ะ --- แต่มีที่อ่านแล้วแต่ยังงงๆ คือ ตอนต้นๆ ของเรื่องที่เขียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1973 ค่ะ ที่บาทหลวงไปคุยกับสามีของหญิงที่เสียชีวิตในงานศพ แล้วหลังจากนั้นบาทหลวงก็เก็บข้าวของออกไปจากเมือง -- คืองงเพราะหลังจากนั้นหนังสือไม่ได้กล่าวถึงเลยว่า คุยอะไรกัน? จนบาทหลวงต้องหนีออกไป หรือผู้ชายคนนั้นอันตรายอย่างไร?

ถ้าจะให้คะแนนขอให้เป็น 8/10 ล่ะกันค่ะ เพราะยังรู้สึกว่าหนังสือนิยายสืบสวนที่แต่งโดย Jo Nesbo นักเขียนชาวนอร์เวย์เช่นกัน เขียนได้สนุกกว่าค่ะ






Monday, February 5, 2018

รีวิว E-reader KOBO Aura One






E-reader ยี่ห้อ  :  Kobo

รุ่น  :  Aura One


สวัสดีค่ะ บทความนี้ไม่ได้มารีวิวหนังสือที่อ่าน แต่มารีวิว E-reader แทนค่ะ -- E-reader Kobo รุ่น Aura One รุ่นนี้ ยังไม่มีวางขายอย่างเป็นทางการที่เมืองไทยนะคะ (ตอนนี้มีวางขายอยู่แค่บางประเทศเท่านั้นเองค่ะ และเนเธอร์แลนด์ก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น) แต่คาดว่าในอนาคต น่าจะมีวางขายทั่วโลก รวมถึงเมืองไทยด้วยอย่างแน่นอนค่ะ เลยขอนำ E-reader รุ่นนี้มารีวิวก่อนใครในเมืองไทยนะคะ

เหตุผลที่ต้องหาซื้อ E-reader ก็เพราะมีเอกสารที่เป็นไฟล์ pdf ให้ต้องอ่านเยอะมากค่ะ จะปริ้นต์ก็คงไม่ไหว เพราะมีหลายเล่มเหลือเกิน ปกติก็ต้องอ่านโดยใช้ ipad หรืออ่านในคอมพิวเตอร์ แต่หน้าจอพวกนี้ มันไม่เป็นมิตรกับสายตาเลยค่ะ อ่านไปนานๆ ตาก็แดงมากเลยค่ะ (ปกติออยเป็นต้อลมค่ะ ตาจะแห้งง่ายกว่าปกติ) -- คราวนี้เนี่ย E-reader หน้าจอปกติ 6 นิ้ว เล็กเกินไปกว่าที่จะอ่านเอกสาร pdf ได้ค่ะ ก็เลยมาตกที่รุ่นนี้ ที่หน้าจอใหญ่ขึ้นมานิดหนึ่ง

E-reader รุ่นนี้พิเศษตรงที่หน้าจอกว้าง 7.8 นิ้วค่ะ ซึ่งต่างจากรุ่นอื่นๆ ที่มักจะทำหน้าจอกว้าง 6 นิ้ว  และรุ่นนี้ยังกันน้ำได้ด้วย แปลว่า สามารถพกไปอ่านข้างๆ สระน้ำ หรือชายหาดได้อย่างไม่ต้องกลัวพัง (คือถ้าเปียกก็แค่เช็ดน้ำออก แล้วก็อ่านต่อได้เลยค่ะ) 
แต่เพราะรุ่นนี้กันน้ำได้ จึงทำให้ตัวเครื่องไม่มีช่องเสียบ SSD การ์ดเพื่อเพิ่มหน่วยความจำค่ะ แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว รุ่นนี้มีหน่วยความจำในเครื่องที่ให้มาคือ 8 GB ถ้าใช้เพื่อการอ่านหนังสือจริงๆ ก็บรรจุหนังสือได้หลายร้อยเล่มแล้วค่ะ ซึ่งก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมี SSD การ์ดเพิ่ม
หน้าจอ e-reader รุ่นนี้เป็นทัชสกรีนค่ะ เราสามารถสไลด์เลื่อนหน้าได้ คล้ายๆ กับใน ibook เลยค่ะ

ในกล่องที่ให้มาจะมีแค่ตัวเครื่อง E-reader และสาย USB เท่านั้นเองค่ะ ราคา 299.99 ยูโร


ด้านหน้าของเครื่องค่ะ มีแค่สีเดียวคือสีดำ

ด้านหล้งของเครื่องค่ะ มีแค่ปุ่มสีฟ้าปุ่มเดียว ถ้ากดปุ่มนี้หนึ่งครั้ง จะเป็นการบอกให้เครื่องอยู่ในโหมด Sleep ค่ะ แต่ถ้ากดแช่ ก็จะปิดหรือเปิดเครื่องค่ะ

พอเปิดเครื่องครั้งแรก Kobo จะบังคับให้เราต้องต่ออินเตอร์เน็ต และลงทะเบียนในเว็บไซต์ของ www.kobo.com ค่ะ







เราสามารถปรับความสว่างของหน้าจอได้ค่ะ หรือไม่ก็ตั้งเป็นอัตโนมัติได้ค่ะ


ในภาพเป็นหนังสือไฟล์ epub ค่ะ
 


ในภาพเป็นเอกสารไฟล์ epub ค่ะ





มาดูเวลาอ่านค่ะ ถ้าเป็นไฟล์ Epub ก็ไม่มีปัญหาค่ะ อ่านง่าย reflow ได้ ตัวอักษรจัดขนาดได้ตามความถนัด









ในภาพเป็นเอกสารไฟล์ pdf (เอกสารเป็นภาษาไทย)








แต่ถ้าไฟล์ pdf ปรากฎว่า คงเป็นเพราะหน้าจอใหญ่ขึ้น resolution ดี (1872x1404) จึงทำให้สามารถอ่านได้ ถึงตัวจะเล็กกว่าปกติ แต่ก็ชัดพอ ทำให้ยังอ่านได้ค่ะ










เอกสารไฟล์ pdf เวลาต้องการจะซูมดูตัวอักษรให้ชัดๆ
 
ในเอกสารไฟล์ pdf เราสามารถขยาย ซูมดูตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้นได้ค่ะ หน้าจอบนด้านซ้าย จะระบุส่วนที่ขยายคือส่วนไหนของกระดาษ
แต่...เอกสาร pdf  บน Kobo Aura One ไม่สามารถ reflow ได้ค่ะ และเวลาซูมแบบนี้ เครื่องจะประมวลผลช้าค่ะ และให้ความรู้สึกว่ามันรวนๆ ด้วยค่ะ 

เคยอ่านในเว็บไซต์ เขาจะแนะนำให้ติดตั้งซอฟแวร์ชื่อ Koreader แต่ออยไม่กล้าติดตั้งค่ะ เพราะจากที่อ่าน ซอฟแวร์ตัวนี้ไม่ได้พัฒนาโดย Kobo เอง แต่โปรแกรมเมอร์คนอื่นเขียน แล้วตัวซอฟแวร์ก็ไปอัพเดท firmware ของเครื่องด้วย -- ซึ่งมันจะไม่อยู่ในการันตี ถ้าเครื่องเกิดมีปัญหาขึ้นมา ก็จะทำให้มีปัญหาในการเคลมต่อไปได้ค่ะ จึงไม่กล้าโหลดมาติดตั้ง




มาดูในส่วนของการซื้อหนังสือบ้างค่ะ kobo ก็คล้ายๆ กับ kindle ของ amazon เลยค่ะ คือมีร้านหนังสือ Ebook ของตัวเอง สามารถซื้อหนังสือจาก kobo ได้โดยตรง 
หนังสือในร้านของ kobo นี้ ไม่สามารถนำออกจาก kobo account ของเราได้ค่ะ คือมันผูกกับ account ของเรา สามารถอ่านในคอมพิวเตอร์ ipad สมาร์ทโฟนได้ แต่ต้องอ่านใน account ของเราเท่านั้นค่ะ -- และไม่สามารถดึงออกไปอ่านในแอปพลิเคชั่นอื่นๆ ได้ เช่น ซื้อหนังสือใน kobo แต่อยากเอาไปอ่านใน e-reader ของ kindle เป็นต้น อย่างนี้ทำไม่ได้ค่ะ (ซึ่งก็เป็นปกติค่ะ เพราะซื้อหนังสือใน ibook ของ apple จะเอามาอ่านใน kobo ก็ไม่ได้เช่นกัน


 

kobo plus ค่ะ สำหรับสมาชิกรายเดือน



และนอกจากนี้ ที่เนเธอร์แลนด์ kobo ยังมี kobo plus คือสมัครสมาชิกรายเดือนกับ kobo จ่ายเดือนละ 9.99 ยูโร (เดือนแรกฟรี) อ่านหนังสือได้ไม่จำกัดค่ะ 



หรือสำหรับคนที่เป็นสมาชิกห้องสมุดที่เนเธอร์แลนด์ ก็สามารถติดตั้งซอฟแวร์เพิ่มใน e-reader และก็สามารถยืม ebook จากห้องสมุดมาอ่านได้ค่ะ (ยืมได้มากสุด 10 เล่ม 3 สัปดาห์)

สรุป

- ข้อดี

1. อ่าน pdf ได้ดีที่สุดในบรรดา e-reader ที่เคยมีมาค่ะ (อาจจะมีดีกว่านี้ แต่ก็ราคาสูงกว่านี้เช่นกัน)
2. อ่านในที่มืดได้ค่ะ เพราะมี front light ให้ 
3. กันน้ำ 
4. อ่านกลางแดด ก็ยังสบายตาค่ะ (ปกติเราอ่านหนังสือกลางแดดไม่ไหว เพราะแสงจ้ามันส่องตา ทำให้ทนอ่านได้ไม่นาน)
5. การเปลี่ยนหน้า เลื่อนหน้า จัดว่าเร็วค่ะ (มีตินิดหน่อยตรงแป้นพิมพ์ ที่บางครั้งกดทีเดียวแล้วไม่ขึ้น ต้องกดซ้ำ)

- ข้อเสีย

1. ความเป็นอิสระ -- Ebook ไม่เหมือนหนังสือกระดาษค่ะ หนังสือกระดาษเรายืมกันไปมากับเพื่อนได้ แต่ ebook ซื้อแล้ว ผูกพันธ์กับ account ของเราเท่านั้น แถมซื้อร้านไหน ก็ผูกกับแอปพลิเคชั่นของร้านนั้นด้วย
2. ราคาแพงค่ะ ตั้ง 230 ยูโร แพงมากกก.. ปกติ e-reader ที่หน้าจอ 6 นิ้วจะอยู่ที่ราคาประมาณ 100 ยูโรค่ะ นี่เพิ่มหน้าจอมาอีก 1.8 นิ้ว ราคาอัพเป็นสองเท่าเลย
3. ยังไม่สามารถ reflow ไฟล์ pdf ได้ค่ะ ที่ e-reader รุ่นนี้อ่าน pdf ได้ดีที่สุด ก็เพราะหน้าจอใหญ่ขึ้น และ resolution ดี เท่านั้นเองค่ะ ส่วนซอฟแวร์ koreader ที่ว่ากันว่ามาช่วยให้ไฟล์ pdf สามารถ reflow ได้ ก็ไม่ใช่ซอฟแวร์ของ kobo ทำให้ประกันไม่ครอบคลุม จึงไม่กล้าติดตั้งค่ะ