หนังสือชื่อ : The Fault in Our Stars
ผู้แต่ง : John Green
สำนักพิมพ์ : the Penguin Group
สวย ซึ้ง ให้แง่คิด สมเป็นวรรณกรรมเยาวชนจริงๆ ค่ะ เป็นเล่มที่อยากแนะนำให้วัยรุ่นทุกคนได้อ่านกัน หรือผู้ปกครองที่ลูกของตัวเองกำลังต่อสู้อยู่กับโรคร้าย อยากแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ
หนังสือเล่มนี้มีแปลเป็นภาษาไทยด้วยนะคะ ชื่อ "ดาวบันดาล" แปลโดย เขมรินทร์ พงษ์สุวรรณ ค่ะ และดูเหมือนมีทำเป็นภาพยนตร์ด้วยค่ะ ชื่อเดียวกับหนังสือเลย
เนื่องด้วยเป็นนิยายรักโรแมนติก ของวัยรุ่นที่เป็นมะเร็ง ดังนั้นพล็อตเรื่องจึงไม่มีอะไรหวือหวาเหมือนนิยายแนวทริลเลอร์ที่ชอบอ่าน แต่เนื้อหากับลึกซึ้งและมีข้อชวนให้คิดแม้หลังจากอ่านหนังสือจบไปแล้วก็ตามค่ะ
นิยายเล่มนี้เป็นเรื่องของ Hazel เธออายุแค่ 16 ปีเองค่ะ แต่ป่วยเป็นมะเร็งที่เกี่ยวกับไทรอยด์ ตรวจพบมะเร็งตอนเธออายุ 12 และสู้กับมันเรื่อยมา โชคดีที่ยาตัวใหม่ที่เพิ่งค้นพบ ซื่งปกติยาตัวนี้ไม่ค่อยได้ผลกับคนอื่น กลับได้ผลในเคสของเธอ จึงทำให้ Hazel รอดชีวิตมาได้ แต่ผลกระทบจากโรคร้ายคือปอดของเธอทำงานได้ไม่ดีค่ะ ทำให้เธอต้องใช้สายออกซิเจนตลอดเวลา ไปไหนมาไหนก็ต้องพกออกซิเจนไปด้วย
หนังสือบอกเล่าความรู้สึกในมุมของ Hazel ค่ะ เขียนเหมือนเป็นบันทึกของเธอ ... Hazel ได้เจอกับ Augustus ในคลาสกลุ่มบำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็ง (Augustus เป็นเพื่อนของ Isaac ซึ่งเป็นเพื่อนกับ Hazel อีกที)
Augustus ป่วยเป็นมะเร็งกระดูก ทำให้ต้องตัดขาไปข้างหนึ่งค่ะ จบอนาคตนักบาสเกตบอลที่กำลังรุ่งในวัย 17 ส่วน Isaac เพื่อนของทั้งคู่นั้น เป็นมะเร็งตา ทำให้ต้องผ่าตัดเอาดวงตาออก กลายเป็นคนตาบอด ในวัยแค่ 17 และแถมโดนแฟนทิ้งด้วย
Hazel มีหนังสือที่ชอบอ่านอยู่เล่มหนึ่งค่ะ ชื่อ "An Imperial Affliction" เขียนโดย Peter van Houten ซึ่งเป็นหนังสือที่ประหลาดมาก เล่าเรื่องบันทึกของแอนนา (Anna) ที่ป่วยเป็นลิวคูเมีย อาศัยอยู่กับแม่ของเธอ และมีหนูแฮมสเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยง แล้วก็มีชายชาวดัตช์มาจีบแม่ พร้อมสัญญาว่าจะดูแลแอนนาอย่างดี ... แต่ที่ประหลาดคือ หนังสือจบแบบดื้อๆ จบแบบยังไม่จบประโยคก็ตัดจบ คือเล่มตั้งหนา หลายร้อยหน้า แต่จู่ๆ ก็จบ ... จบเหมือนเขียนยังไม่เสร็จแล้วก็ส่งพิมพ์ซะงั้น
ตอนจบของหนังสือ "An Imperial Affliction" เป็นสิ่งที่คาใจ Hazel มากเลยค่ะ เธอเดาว่า หนังสือจบแบบห้วนๆ แบบนั้นเนื่องจาก แอนนาเสียชีวิตจากโรคร้าย ...แต่เธอก็ยังอยากรู้ชีวิตต่อไปของคนอื่นๆ ในหนังสือ เช่น หนูแฮมสเตอร์สัตว์เลี้ยงของแอนนาจะเป็นอย่างไรต่อไป? คนดัตช์ที่มาจีบแม่ของแอนนาเป็นคนรวยจริงไหม? เป็นคนดีไหม? และหลังจากแอนนาเสียชีวิตแล้ว ทั้งคู่ยังได้แต่งงานกันหรือไม่? ... มันคาใจ Hazel มาก จนกระทั่งเธอต้องเขียนจดหมายไปถาม Peter van Houten คนแต่งค่ะ แต่ไม่ว่าจดหมายกี่ฉบับที่เธอเขียน ก็ไม่ได้รับการตอบกลับมาเลย
ไม่ได้คาใจแค่ Hazel คนเดียวนะคะ หลังจาก Augustus ได้อ่าน ก็สงสัยเช่นกัน ... Augustus จึงส่งอีเมล์ติดต่อถามกับผู้ช่วยของ Peter van Houten แทนค่ะ (เพราะ Hazel ติดต่อกับนักเขียนโดยตรงแล้วไม่ได้เรื่อง เหมือนเจ้าตัวไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ) ... โชคดีคือ ผู้ช่วยของ Peter van Houten ตอบกลับ และบอกว่า เรื่องราวหลังจากการเสียชีวิตของแอนนานั้นเป็นความลับ แต่ผู้เขียนคือ Peter van Houten ยินดีจะเล่าให้ทั้งคู่ฟัง หากทั้งคู่มาพบกับเขาเป็นการส่วนตัวที่อัมสเตอร์ดัม
อ่านมาถึงตรงนี้ สำหรับคนอ่านที่เป็นผู้ใหญ่จะรู้สึกว่ามันไร้สาระค่ะ คือมันเป็นนิยายเนอะ นิยายคืออยู่ในจินตนาการของคนเขียน จะเขียนให้เป็นอย่างไรก็ได้ ...ทำไมทั้ง Hazel และ Augustus ถึงได้จริงจังกับเรื่องนี้ ... แนะนำว่าให้อ่านไปเรื่อยๆ ค่ะ มันลึกซึ้งกว่าแค่นิยาย...
และที่อัมสเตอร์ดัม คือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ลึกซื้งจนกลายเป็นความรักของ Hazel และ Augustus ค่ะ
แต่อย่างที่เราเดาได้ตั้งแต่เริ่มอ่านล่ะค่ะ เรื่องนี้ ตัวเอกของเรื่องเป็นมะเร็งทั้งหมด ดังนั้นมันจึงต้องมีการลาจากของใครคนใดคนหนึ่ง ... แต่ผู้เขียนไม่ได้เขียนให้นิยายนี้เป็นเรื่องเศร้าค่ะ นิยายเล่มนี้กลับเป็นนิยายตลก เต็มไปด้วยทัศนคติคิดบวก
Hazel ซึ่งรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุยังน้อย กลับไม่ได้เศร้า หรือกลัวความตายที่อาจจะมาได้ทุกเมื่อ เธอกลับใช้ชีวิตอย่างมีพลัง ทำทุกอย่างเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป (เท่าที่สามารถทำได้) ... เธอบอกว่า ตัวเธอนั้นคือ "ผลข้างเคียง" ของการวิวัฒนาการค่ะ มะเร็งคือผลข้างเคียงของการกลายพันธุ์
หนังสือเล่มนี้เปลี่ยนทัศนคติของคนร่างกายแข็งแรงที่มีต่อเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งไปเลยค่ะ คนร่างกายแข็งแรงมักจะรู้สึกสงสารเด็กป่วยเหล่านี้ แต่เด็กเหล่านี้ เนื่องจากเขาโตมากับโรคร้ายไงคะ เขาเลยไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร เขาก็แค่ใช้ชีวิตเท่าที่ร่างกายเอื้ออำนวย เขาไม่ได้รู้สึกสงสารตัวเอง แต่พยายามใช้ชีวิตในแต่ละวัน
ชอบบทสุดท้ายซึ่งเป็นจดหมายที่ Augustus เขียนค่ะ Augustus บอกว่า หลายคนมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะสร้าง "ความหมาย" สร้างสิ่งต่างๆ เพื่อให้โลกจดจำ เช่น เป็นคนรวย เป็นคนเก่ง ... แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ให้โลกก็คือรอยแผลเป็น (เหมือนหนทางที่ก้าวขึ้นสู่ความเป็นที่หนึ่ง อาจสร้างความทรงจำที่เลวร้าย หรือทำร้ายคนรอบข้างโดยไม่ตั้งใจ) ... การเป็นที่จดจำของคนหลายๆ คน เทียบไม่ได้กับการมีคนที่รักจริงเพียงไม่กี่คนหรอกค่ะ
No comments:
Post a Comment