Sunday, November 22, 2015

The Power of Habit : Why we do what we do in life and business


หนังสือชื่อ  :  The Power of Habit : Why we do what we do in life and business

ผู้แต่ง  :  Charles Duhigg

สำนักพิมพ์  :  Random House


หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน เพราะหงุดหงิดตัวเองค่ะ เนื่องจากทำงานไม่ได้คืบหน้าดั่งใจ อุปสรรคคือความขี้เกียจของตัวเองนั่นเอง เลยยืมหนังสือเล่มนี้จากห้องสมุดมาอ่านค่ะ ด้วยหวังใจว่า อ่านเเล้วจะทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น

"นิสัย" คืออะไรที่มีอิทธิพลมากต่อการตัดสินใจของเรา เราอาจจะคิดว่า เราตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ด้วยหลักเหตุและผล แต่จริงๆ แล้ว เราทุกคนมีเบื้องหลังนั่นคือนิสัยของเรา ซึ่งเป็นแรงผลักดันในการตัดสินใจอยู่ค่ะ นิสัยคือสิ่งที่เราทำไปโดยอัตโนมัติ ...สิ่งแรกที่คุณทำเมื่อตื่นนอน คืออะไร เวลาคุณหิว คุณทำอย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะเดินเข้าครัว เปิดตู้เย็น หาอะไรกินใช่ไหมคะ ...คือทำไปด้วยอัตโนมัติ ไม่ได้คิดมากอะไร ..เวลาเราจะแปรงฟัน เราจับแปรงด้วยมือข้างไหน หรือเวลาเราอาบน้ำ เราถูสบู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก่อน...เหล่านี้เราทำไปโดยอัตโนมัติ เราไม่ได้มานั่งตัดสินใจว่าจะต้องทำอย่างไรก่อนดี เพราะกิจกรรมเหล่านี้ "ฝัง" อยู่ในตัวเรา จนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว

หนังสือเเบ่งออกเป็น 3 ตอนค่ะ ตอนที่หนึ่งเล่าว่านิสัยได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้อย่างไร และจะสร้างนิสัยดีๆ ใหม่ๆ ได้อย่างไร หรือจะเปลี่ยนนิสัยได้อย่างไร
 
หนังสือเริ่มด้วยการเล่าเรื่องของชายชรา ชื่อยูจีน "Eugene Pauly" ซึ่งสมองส่วนหนึ่งได้รับความเสียหายจากไวรัส ทำให้เขาไม่สามารถจำอะไรได้นานไปกว่า 20 วินาทีเลยค่ะ เขาเป็นที่สนใจของนักประสาทวิทยามาก จากการสัมภาษณ์ ยูจีนไม่สามารถเล่าได้ว่า ห้องครัวในบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน ...หากแต่ถ้าเขาหิว เขาสามารถเดินไปหาคุกกี้ในตู้ในห้องครัวกินได้! หรือเวลาเดินเล่นนอกบ้าน ยูจีนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านตัวเองตั้งอยู่ที่ไหน หากแต่ไม่เคยหลงทาง เดินกลับบ้านถูกทุกครั้ง!

นิสัย ของคนเราสามารถถูกชักจูงให้เปลี่ยนได้ค่ะ ด้วยตัวเราเอง หรือด้วยเเรงจูงใจจากภายนอก ...และแรงจากภายนอกนี่เอง ที่เป็นที่จับตาของนักการตลาด หากเราสามารถเปลี่ยนนิสัยลูกค้า จากเดิมที่ไม่เคยใช้สินค้าชิ้นนี้เลย ให้มาใช้เป็นประจำ...เป็นช่องทางทำเงินที่ทุกบริษัทต้องการค่ะ

หนังสือ เล่าเรื่องความสำเร็จของยาสีฟัน Pepsodent ค่ะ ที่เริ่มต้นจากสมัยก่อน คนไม่นิยมใช้ยาสีฟัน หากแต่นักโฆษณาชื่อ Claude C. Hopkins สามารถเปลี่ยนนิสัยคนทั้งอเมริกา และคนทั้งโลก กลายเป็นว่าในปัจจุบัน ทุกๆ คนต้องแปรงฟันตอนเช้า และก่อนนอน ...หรือเรื่องราวความสำเร็จของสเปรย์ดับกลิ่น Febreze ที่ทำให้แม่บ้านต้องซื้อมาใช้สเปรย์ห้องหลังการทำความสะอาด

ตอนที่สอง เล่าถึงนิสัยขององค์กรค่ะ องค์กรไม่ใช่สิ่งไม่มีชีวิตนะคะ จริงๆ แล้วการตัดสินใจภายในองค์กรได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนิสัยของบุคลากรในองค์กรนั่นเอง นิสัยขององค์กรที่ประสบความสำเร็จ เช่น สตาร์บัค เป็นอย่างไร ในหนังสือเล่มนี้ได้อธิบายไว้ค่ะ

จริงๆ แล้ว บริษัทไม่ใช่ครอบครัวที่มีความสุข มันคือสงครามกลางเมือง (คนที่ทำงานจะรู้ดี) มีทั้งการเมือง การต่อสู้ การชิงดีชิงเด่น ชิงตำแหน่งกัน หากแต่นิสัยนี่แหละที่ทำให้บริษัทไม่แตกแยก และงานเสร็จสำเร็จด้วยดี แต่บางครั้งนิสัยที่ไม่ดีในองค์กรก็อาจทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายได้ อย่างเช่น โศกนาฏกรรมไฟไหม้รถไฟใต้ดินที่ลอนดอนในปี 1987 ค่ะ

ตอนที่สามของหนังสือ เป็นการเล่าถึงนิสัยของสังคมค่ะ สังคมประกอบด้วยคนจำนวนมากอยู่ด้วยกัน แต่ละคนต่างก็มีนิสัยของตัวเอง เมื่อแต่ละคนมารวมกัน ก็สามารถเกิดพลังทางสังคมได้ค่ะ

หนังสือได้วิเคราะห์พลังทางสังคมครั้งสำคัญของอเมริกา คือ สมัยของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่มีการประท้วงเพื่อสิทธิเท่าเทียมกันของคนผิวดำน่ะค่ะ เรื่องมันเริ่มจาก ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งปฏิเสธที่จะลุกให้คนขาวนั่งในที่นั่งของคนขาวในรถบัส...เพียงเเค่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ (เคยเกิดขึ้นกับคนผิวดำคนอื่นมาก่อน) แต่กลับจุดชนวน เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้ได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจค่ะ

หนังสือได้กล่าวถึงข้อถกเถียงทางกฏหมายที่ว่า เราควรรับผิดชอบการกระทำที่เป็นนิสัยของเราหรือไม่ หนังสือได้กล่าวถึงกรณีตัวอย่างของชายที่เป็นโรคนอนละเมอและฆ่าเมียตัวเองตายในขณะละเมอ เพราะฝันว่ามีคนมาทำร้ายเธอ เปรียบเทียบกับหญิงที่ติดการพนัน และบริษัทคาสิโนเองก็ใช้จิตวิทยา ทำให้เธอทุ่มเทเงินทั้งหมดที่มี ไปกับการพนัน...ใครควรจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองมากกว่ากัน...(ในกรณีนี้ ชายที่ละเมอแล้วฆ่าเมียตัวเอง ศาลตัดสินให้พ้นผิดค่ะ เพราะเขาไม่ควรจะต้องรับผิดชอบกับการกระทำทีเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในขณะที่ไม่มีสติยั้งคิด แต่หญิงสาวที่ติดการพนัน เธอต้องจ่ายหนี้ของเธอค่ะ ศาลไม่รับฟัง เพราะเธอมีทางเลือก เธอสามารถเลือกได้ตั้งแต่เเรกว่าจะไม่เหยียบเท้าเข้าไปในคาสิโน ซึ่งเธอไม่ได้ทำเช่นนั้น ผลคือเธอติดการพนัน)

หนังสือเล่มใหญ่ ค่อนข้างหน้าค่ะ เต็มไปด้วยการยกตัวอย่าง ทำให้อ่านไม่น่าเบื่อ ไม่ดูเป็นวิชาการเกินไป และบทท้ายของเล่มยังมีการสรุปสาระสำคัญของหนังสือให้ด้วย มีการยกตัวอย่างการพยายามเปลี่ยนนิสัยของตัวผู้เขียนเองด้วย และในตอนท้ายของเล่มยังมีเอกสารอ้างอิงทางวิชาการให้ผู้อ่านที่สนใจ สามารถไปค้นหาอ่านเพิ่มเติมได้อีกด้วยค่ะ

อ่านสนุกค่ะ ...และกำลังนำมาปรับใช้กับชีวิตจริงอยู่ค่ะ เพราะอยากจะเป็นคนที่มี productivity มากกว่าทุกวันนี้ อยากเป็นคนที่ทำงานอย่างจริงจัง ไม่ใช่วอกแวกไปหา facebook บ่อยๆ อย่างทุกวันนี้ ...เห้อ ...การรู้เท่าทันนิสัยของตัวเอง และเปลี่ยนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ ....นิสัยเล็กๆ ง่ายๆ แต่เมื่อปฏิบัติเช่นนั้นซ้ำๆ ทุกๆ วัน ผลกระทบต่อชีวิตมหาศาลนะคะ


Tuesday, November 3, 2015

ตาต่อตา ตายต่อตาย : Die Trying





หนังสือชื่อ  :    ตาต่อตา ตายต่อตาย (Die Trying)

ผู้แต่ง  :  Lee Child

ผู้แปล  :   โรจนา นาเจริญ

สำนักพิมพ์  :  น้ำพุสำนักพิมพ์


พี่คนไทยใจดีในเธอร์แลนด์ส่งเล่มนี้มาให้อ่านค่ะ (ดีใจได้อ่านหนังสือนิยายภาษาไทยแล้ว) เล่มนี้เป็นเล่มที่สอง ต่อจากเล่มแรกคือเรื่อง "ลานละเลงเลือด (Killing Floor)" ค่ะ ตัวเอกในเรื่องก็ยังคงเป็นอดีตสารวัตรทหาร แจ็ค รีชเชอร์ เช่นเดิมค่ะ

เรื่องยุ่งๆ นี้เริ่มต้นที่ชิคาโกค่ะ เมื่อ แจ็ค เดินผ่านร้านซักรีดแห่งหนึ่ง และเห็นคุณผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งขาเจ็บต้องใช้ไม้ค้ำยัน กำลังทำเสื้อที่เธอรับมาจากร้านซักรีดนั้นตกลงพื้น ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ แจ็คจึงช่วยหยิบชุดเหล่านั้นขึ้นมาถือ และช่วยประคองเธอเดิน ...ทันใดนั้นเอง...ชายสองคนพร้อมปืนก็บุกจี้บังคับให้ทั้งคู่ขึ้นรถ ก่อนขับพาทั้งคู่ออกไป!!!

นี่มันเรื่องอะไรกัน ?!?

การณ์ต่อมาปรากฏว่าแจ็คไม่ใช่เป้าหมายในการลักพาตัวครั้งนี้ค่ะ หากแต่เป็นหญิงสาวที่ขาเจ็บคนนั้น เธอชื่อ ฮอลลี ค่ะ เป็น FBI แต่ตำเเหน่งหน้าที่การงานเธอก็ธรรมดามาก ไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญในองค์กรแต่อย่างใด ทำไมพวกมันจึงคิดจะลักพาตัวเธอ?

ในระหว่างการเดินทางไปยังจุดหมายปริศนานั้น แจ็คมีโอกาสหลายครั้งเชียวค่ะ ที่จะหลบหนีออกมาได้ แต่แจ็คก็ไม่ทำ เนื่องจากนั่นแปลว่าเขาต้องทิ้งฮอลลีไว้ตามลำพัง (เธอเจ็บขา ไม่สามารถเดินทางไกลๆได้) ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แต่เเจ็คก็นับถือในความใจเย็น มืออาชีพของเธอค่ะ ฮอลลีไม่ร้องโวยวาย สงบ สุขุมเยือกเย็นมาก ...เมื่อเธอไม่ร้องขอ เธอจึงควรได้รับการปกป้อง

ในขณะเดียวกัน ทาง FBI ก็รู้แล้วว่า ฮอลลี หายไป และจากภาพในกล้องวงจรปิด ก็เห็นว่า เธอถูกลักพาตัว...ความซวยก็คือ ด้วยคุณภาพกล้องราคาถูก ทำให้ภาพที่ได้ไม่ต่อเนื่อง จึงทำให้พวก FBI  คิดว่า เเจ็ค คือหนึ่งในพวกคนร้าย !!!

การตามล่าเพื่อช่วยตัวประกันจึงเกิดขึ้น ใครคือผู้บงการการลักพาตัวครั้งนี้ จุดประสงค์คืออะไร และฮอลลีมีความพิเศษอย่างไร พวกมันจึงเลือกที่จะลักพาตัวเธอ 

งานนี้นอกจากต้องลุ้นให้ทั้งแจ็คและฮอลลี่ปลอดภัยแล้ว ยังต้องลุ้นกับ FBI ให้สามารถหยุดแผนการร้ายให้ได้ทันเวลา รวมทั้งต้องอึดอัดกับฝ่ายการเมืองที่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย...สนุกค่ะ 

ส่วนตัวออยคิดว่า เล่มเเรกสนุกกว่า แต่เล่มนี้ก็ไม่เลวค่ะ อ่านได้ ออกแนวช้าๆ ไม่ตื่นเต้นในช่วงบทเเรกๆ แต่ก็เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ตัว ก็วางไม่ลงไปเสียเเล้ว ต้องอ่าน ต้องลุ้นจนจบ




Tuesday, September 22, 2015

ลานละเลงเลือด : Killing Floor





หนังสือชื่อ :  ลานละเลงเลือด (Killing Floor)

 ผู้แต่ง :   Lee Child

ผู้แปล :  โรจนา นาเจริญ

สำนักพิมพ์ :   น้ำพุ

ได้รับหนังสือเล่มนี้มาจากพี่คนไทยใจดีในเนเธอร์แลนด์ค่ะ ต้องขอบคุณพี่เหว่ามา ณ โอกาสนี้ ...ดีใจมีหนังสือภาษาไทยให้อ่านแล้ว 
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกในชุด แจ็ค รีชเชอร์ ของผู้แต่ง Lee Child ค่ะ คนแต่งเป็นคนอังกฤษ แต่อาศัยอยู่ที่อเมริกา ส่วนตัวออยมองว่า สไตล์การเขียนของผู้แต่ง เป็นอเมริกัน แต่ไม่ได้อเมริกันจ๋าเเบบงานเขียนของ ทอม แคลนซี่ อ่านสนุกค่ะ ออยชอบ จัด Lee Child อยู่ในทำเนียบนักเขียนคนโปรด ที่จะหางานเขียนอื่นๆ ของเขามาอ่านเพิ่มอีกค่ะ

แจ็ค รีชเชอร์ ตัวเอกของเรื่อง เคยเป็นสารวัตรทหารมาก่อนค่ะ หน้าที่ในสมัยที่ยังรับราชการทหารคือการสืบสวนคดีฆาตกรรม สารวัตรทหารต้องเก่งเป็นพิเศษค่ะ เพราะคนร้ายคือทหารที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี คนร้ายเหล่านั้น บางคนเป็นหน่วยรบพิเศษ เป็นซีล เมื่อคนเหล่านี้ทำผิด ย่อมอันตรายกว่าคนธรรมดา และนั่นคือหน้าที่ของ แจ็ค รีชเชอร์ ที่จะจับพวกเขามาลงโทษให้ได้
แจ็ค รีชเชอร์ เติบโตมาในค่ายทหารค่ะ พ่อเขาเป็นนาวิกโยธิน ซึ่งต้องย้ายประจำการบ่อยๆ ดังนั้นครอบครัวก็ต้องตามไปด้วย ในวัยเด็ก แจ็คกับพี่ชายย้ายโรงเรียนบ่อยมาก และเมื่อแจ็คโตขึ้น เขาก็เจริญรอยตามพ่อ เข้ารับราชการทหารเช่นกัน ชีวิตการเป็นทหารของเเจ็คสิ้นสุดลงเมื่อเกิดการล้มสลายของสหภาพโซเวียตค่ะ กองทัพลดกำลังคน แจ็คจึงโดนปลดในวัย 36 ปี 
เมื่อถูกปลดประจำการ แจ็คก็ท่องเที่ยวไปเรื่อยค่ะ ด้วยเงินก้อนที่ได้รับตอนถูกปลด แจ็คใช้ชีวิตอย่างคนพเนจร นั่งรถโดยสาร อยากแวะตรงไหนก็แวะ ค่ำไหนก็นอนนั้น 
เช้าวันที่เกิดเรื่องก็เช่นกันค่ะ แจ็คนั่งรถโดยสาร และบอกคนขับให้จอดให้เขาลงที่เมืองมาร์เกรฟ รัฐจอร์เจีย ทั้งๆ ที่เมืองนี้ไม่ใช่จุดลงจอดปกติ ...เหตุผลที่เเจ็คอยากไปเมืองมาร์เกรฟก็เพียงเพราะว่า พี่ชายของเเจ็คเคยเขียนจดหมายบอกว่า เมืองนี้เป็นบ้านเกิดของนักดนตรีไบลด์ เบลค ทำให้แจ็คอยากมาเดินดูให้เห็นกับตา..ก็เท่านั้นเอง
หลังจากเดินเท้าจากถนนใหญ่ เข้าเมืองมาร์เกรฟ และสั่งอาหารเช้ากินที่ร้านอาหาร ทั้งหมดไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตำรวจทั้งโรงพักก็บุกมาที่ร้านด้วยอาวุธครบมือ เพื่อมาจับแจ็ค ในข้อหาฆาตกรรม!!!
ศพที่พบถูกยิงจนหน้าเละ แถมหลังจากนั้นยังถูกกระทืบซะจนกระดูกแหลกไปหมดอีก และศพถูกซ่อนไว้ใต้ลังกระดาษเก่าๆ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถระบุตัวศพได้ จึงต้องพิมพ์ลายนิ้วมือและส่งไปตรวจที่สำนักงานใหญ่ 
แน่นอนค่ะ แจ็คปฏิเสธข้อกล่าวหา...แต่หัวหน้าตำรวจ สารวัตรมอร์ริสัน กลับเป็นพยานยืนยันว่าเขาเห็นเเจ็คเดินอยู่แถวโกดังบริเวณที่พบศพในตอนเที่ยงคืน อันเป็นเวลาที่สันนิษฐานว่าเป็นเวลาตายของศพที่พบ
ท่าทางชะตาของเเจ็คจะลำบากซะแล้วซิ..หัวหน้าฝ่ายสืบสวน ร้อยตำรวจเอก ฟินเลย์ บอกแก่เเจ็คว่าพบกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ซ่อนอยู่ในรองเท้าของศพ และเมื่อโทรไป ปรากฏว่าเป็นเบอร์ของ พอล ฮับเบิล นายธนาคารที่น่านับถือของเมือง
และเมื่อเชิญตัว ฮับเบิล มาให้การที่สถานีตำรวจ ...ฮับเบิลกลับสารภาพซะดื้อๆ อย่างนั้นเลย สารภาพด้วยความกลัวอะไรบางอย่าง... ฮับเบิลกลัวอะไร...
เนื่องด้วยติดวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ดังนั้นทั้งฮับเบิลและแจ็คจึงถูกส่งตัวไปควบคุมตัวชั่วคราวที่เรือนจำค่ะ ในเรือนจำ มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ทั้งคู่ถูกหมายปองเอาชีวิต แจ็คต้องทำทุกวิถีทางที่จะเอาตัวรอดให้รอดพ้นวันอาทิตย์ไปให้ได้...
และเมื่อศพถูกระบุตัวได้ในที่สุด...คือ โจ รีชเชอร์...พี่ชายของแจ็คนั่นเอง....โจมาทำอะไรที่มาร์เกรฟ เกิดอะไรขึ้นกับโจ
หลังจากการตายของโจ จากเดิมเมืองชนบทที่เคยเงียบสงบ ก็มีการตายเพิ่มขึ้น สภาพศพของเหยื่อแต่ละคน ดูแทบไม่ได้ เละมาก ถูกทารุณกรรมอย่างรุนแรงก่อนตาย ฮับเบิลก็หายไป คาดว่าถูกฆ่าตาย...และแน่นอนค่ะ แจ็ค ก็คือเป้าหมายต่อไปของพวกมัน...
สถานการณ์ซับซ้อน ดูเหมือนคนทั้งเมืองรู้เห็นเป็นใจกัน ...แจ็คแทบไว้ใจใครไม่ได้เลยค่ะ แม้กระทั่งตำรวจ!!! 
แจ็คมีเวลาคลี่คลายคดีนี้ให้ได้ก่อนวันอาทิตย์ค่ะ เลยจากนั้นแล้ว หลักฐานทั้งหมดจะหายไป...แต่ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน มูลเหตุของการฆาตกรรมคืออะไร...

ทิ้งไว้ให้ไปลุ้นกันเองในหนังสือเลยค่ะ ไม่ขอสปอยไปมากกว่านี้ รับรองค่ะว่าสนุก โดยเฉพาะคนที่ชอบหนังสือสไตล์ทอม เเคลนซี่ หนังสือเเนวแอ๊คชั่น ฮีโร่ ยินดีที่จะแหกกฏเพื่อผดุงความยุติธรรม น่าจะชอบอ่านเล่มนี้ค่ะ 

Tuesday, August 18, 2015

Cockroaches





หนังสือชื่อ :  Cockroaches

 ผู้แต่ง :  Jo Nesbo

สำนักพิมพ์  :  Harvill Secker


เป็นหนังสือเล่มที่สองในชุดนักสืบ Harry Hole ของ Jo Nesbo ค่ะ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองไทย !!!

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1998 ค่ะ เป็นช่วงที่เกิดวิกฤตค่าเงินบาทที่เมืองไทย เมืองไทยยังรถติดมโหฬารอยู่ ยังไม่มีรถไฟฟ้า (แต่กำลังสร้าง) อ่านแล้วได้เห็นภาพเมืองไทยในสายตาต่างชาติในสมัยนั้นเลยค่ะ 

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีผู้พบศพท่านทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย Atle Molnes ถูกแทงตาย  ด้วยมีดโบราณปักเข้าที่ข้างหลัง นอนคว่ำหน้า อยู่ภายให้ห้องในโรงแรมแห่งหนึ่งค่ะ เป็นโรงแรมคล้ายๆ โรงแรมม่านรูดน่ะค่ะ แถมคนที่พบศพก็คือหญิงโสเภณีที่ท่านทูตเรียกใช้บริการซะด้วย!

ท่านทูตโดนฆาตกรรมนี่ก็เรื่องใหญ่พอแล้ว แถมกลิ่นไม่ค่อยดี คล้ายกับจะเป็นเรื่องอื้อฉาวซะด้วย อีกทั้งท่านทูตคนนี้ยังเป็นเพื่อนสนิทกับนายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ ณ ขณะนั้นด้วย เรื่องยิ่งสำคัญมากขึ้น เพราะหากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูนักข่าว ชีวิตส่วนตัวของท่านทูตจะโดนขุดคุ้ย และอาจลามมาถึงเสถียรภาพทางการเมืองของท่านนายกฯ ก็เป็นได้! ....ไม่ได้การล่ะ ทางการนอร์เวย์จึงส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมการสืบสวนกับทางตำรวจไทยด้วย ตำรวจที่ได้รับเลือกในการนี้ก็คือ Harry Hole นั่นเอง

Hole ต้องทำงานร่วมกับทีมตำรวจไทยค่ะ หัวหน้าของตำรวจไทยคือ สารวัตร Liz Crumley (เป็นลูกครึ่่งไทย-อเมริกา)

เรื่องราวค่อนข้างซับซ้อนเลยทีเดียวค่ะ จากคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมงาน และคนขับรถ Hole พบว่าท่านทูตเป็นผู้ชายที่ดี แต่ไม่ค่อยมีความสุขนัก เขาเป็นหนี้การพนันเป็นเงินจำนวนมาก เมียท่านทูตชื่อ Hilde Molnes ก็มีชู้กับโบรกเกอร์ส่วนตัวของท่านทูตเอง!

และโบกเกอร์ของท่านทูตชื่อ Jens Brekke นี่เองค่ะ ที่ท่านทูตมีนัดพบในวันที่ท่านทูตถูกฆาตกรรม การนัดพบก็เพื่อขอให้ ทำให้ Brekke กลายเป็นผู้ต้องสงสัย ...หากแต่ในที่สุดตำรวจก็ต้องปล่อยตัวไป เพราะ Brekke สามารถหาพยานวัตถุมายืนยันสถานที่ได้

คดีเริ่มซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนที่ให้ Hole ดูเทป CCTV ของลานจอดรถที่ท่านทูตจอดรถ และพบว่าไม่มีรถของท่านทูตจอดอยู่ในช่วงเวลาที่อ้าง...ถูกพบเป็นศพในเวลาต่อมา...

การสืบสวนเริ่มเข้มข้นขึ้น เชื่อมโยงไปถึงธุรกิจ และเมื่อ Hole ต้องการจะสัมภาษณ์เศรษฐีนักธุรกิจชาวนอร์เวย์ในกรุงเทพ Ove Klipra หรือ Mr. ManU เพื่อนของท่านทูต ...กลับพบว่าไม่มีใครพบเห็น
Klipra ตั้งแต่วันที่ท่านทูตถูกฆาตกรรม! ....หรือว่า Klipra จะคือฆาตกร?  ถ้าเป็นเช่นนั้น แรงจูงใจคืออะไรกันล่ะ?

จากคดีฆาตกรรมท่านทูต ทำให้ Hole ต้องสืบสวนโยงไปถึงวงการค้าฝิ่น มาเฟียท้องถิ่น ซึ่งมีอิทธิพลมากในกรุงเทพฯ ไปจนถึงการค้าโสเภณีเด็ก ผู้ชายนอร์เวย์ที่ชอบเรื่องชั่วๆ พรรณนี้ อาศัยกฏหมายที่หย่อนยาน และความยากจน หาโอกาสกับเด็กๆ ในประเทศไทยและประเทศข้างเคียงค่ะ 

อ่านสนุก ซับซ้อน เดาตอนจบไม่ออก สมกับเป็นนิยายของ Jo Nesbo เลยค่ะ ...เรื่องราวก็ประเทศไทยในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่มีอะไรต้องตำหนิ ผู้แต่งรู้จักคนไทย ประเทศไทยเป็นอย่างดี ... มีขำๆ บ้างก็เช่น ชื่อของเจ้าหน้าที่นิติเวช ชื่อ Supawadee ออยว่ามันควรจะเป็นชื่อของผู้หญิง แต่ในหนังสือกลับเป็นชื่อของผู้ชาย หรือตำรวจไทยในหนังสือเล่มนี้ พูดภาษาอังกฤษเก่งกันทั้งโรงพักเลย น่าชื่นใจจริงๆ :)


Thursday, June 11, 2015

แผนเลือดลวง : The Drop





หนังสือชื่อ  :  แผนเลือดลวง (The Drop)

ผู้แต่ง  :  ไมเคิล คอนเนลลี่

ผู้แปล  :  โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล

สำนักพิมพ์  :  แพรวสำนักพิมพ์


เมื่อเดือนที่แล้ว (พฤษภาคม) ออยกลับเมืองไทยค่ะ เลยหาซื้อหนังสือแปลที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ มาอ่าน ได้เล่มนี้มาค่ะ ออยเคยเห็นหนังสือของ ไมเคิล คอนเนลลี่ วางขายอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยอ่าน คราวนี้เลยเป็นโอกาสอันดีค่ะ ถือเป็นหนังสือของผู้แต่งคนนี้เล่มแรกเลยที่ได้มีโอกาสอ่าน

หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือชุดสืบสวนของสารวัตรแฮร์รี่ บอช ค่ะ ในเล่มนี้ สารวัตรบอชทำงานอยู่ในแผนกหน่วยสืบสวนคดีเก่า เขาต้องทำการสืบสวนคดีฆ่าข่มขืมที่ปิดไม่ลง เมื่อ 22 ปีก่อน เหยื่อเป็นเด็กสาวถูกข่มขืนและฆ่ารัดคอ และยังหาตัวฆาตกรไม่ได้ ตำรวจพบเพียงคราบเลือดเล็กๆ คราบหนึ่ง ... 22 ปีต่อมา วิทยาการทางนิติเวชก้าวหน้าขึ้นมาก DNA จากคราบเลือดนั้นบังเอิญไปตรงกับชายที่มีประวัติอาชญากรรมชื่อ เคลย์ตัน เพลล์ ...ดูเหมือนจะง่ายใช้ไหมคะ ก็แค่ไปจับชายคนนั้นในข้อหาฆาตกรรม แค่นั้นก็จบ...หากแต่ว่า ในขณะที่เด็กสาวคนนั้นถูกฆาตกรรม เพลล์เพิ่งอายุแค่ 8 ขวบเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีแรงมากพอที่จะฆ่ารัดคอเด็กสาวคนนั้นได้ และเมื่อค้นประวัติของเพลล์ต่อ ก็พบว่า เพลล์เอง ถึงเเม้ว่าจะต้องคดีทางเพศ แต่เหยื่อของเพลล์เป็นเด็กผู้ชาย !!!  ...เพลล์เป็นพวกรักร่วมเพศ และชอบเด็กชาย จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ว่าเขาจะฆ่าหญิงสาวเมื่อ 22 ปีก่อนได้ ...ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของสารวัตรบอช ที่จะค้นหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น และใครคือฆาตกรตัวจริง

ในระหว่างที่สารวัตรบอชกำลังทำคดีของเพลล์อยู่นั้น เขาก็โดนเรียกตัวอย่างกระทันหันให้มาทำคดีของลูกชายของสมาชิกสภาเทศบาลเออร์วิง สมาชิกเทศบาลท่านนี้ไม่ได้เป็นที่รักของพวกตำรวจนักหรอกนะคะ เพราะเขาหาเรื่องตัดงบประมาณตำรวจ ส่วนสมาชิกเทศบาลเองก็ไม่ชอบสารวัตรบอชอย่างเเรงด้วย แต่กลับจำเพาะเจาะจงให้บอชมาทำคดีนี้ 

ลูกชายของเออร์วิงกระโดดลงมาจากระเบียงห้องพักที่โรงแรมค่ะ ลักษณะเหมือนการฆ่าตัวตาย แต่เออร์วิงผู้เป็นพ่อ ไม่อยากปักใจเชื่อว่าลูกของเขาจะฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่มีอนาคตไกล หน้าที่การงาน ครอบครัวก็มั่นคง เขาคิดว่าน่าจะมีคนคิดสังหารลูกชายเขามากกว่า

คดีนี้สารวัตรบอชลำบากใจมากค่ะ เพราะดูเหมือนเออร์วิงจะพยายามเขามาล้วงลูก อยากเห็นความคืบหน้าของคดี ในขณะเดียวกันบอชเองก็ไม่อยากทิ้งคดีของเพลล์ 

ทั้งสองคดีนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันค่ะ เพียงแต่เข้ามาในชีวิตสารวัตรบอชในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเอง คดีที่สองนี้สุดท้ายแล้ว สารวัตรบอชถูกกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือทางการเมืองในวงการตำรวจ และโดนเพื่อนใช้เป็นเครื่องมือกลายๆ ด้วย ...การเมืองมีอยู่ทุกที่ค่ะ หนีไม่พ้น

หนังสืออ่านได้เรื่อยๆ สนุกดีค่ะ ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว คราวหน้าออยจะหาโอกาสหยิบงานต้นฉบับ แบบไม่แปลของ ไมเคิล คอนเนลลี่ มาอ่านและรีวิวให้อ่านกันค่ะ อยากรู้ว่าต้นฉบับจะสนุกกว่าไหม


Wednesday, June 10, 2015

Cell





ชื่อหนังสือ  :  Cell

ผู้แต่ง  :  Stephen King

สำนักพิมพ์  :  Hodder and Stoughton


ขอรีวิวหนังสือของ King อีกสักเล่มค่ะ Cell คือชื่อหนังสือเล่มนี้ค่ะ Cell  ในที่นี้หมายถึง Cell Phone หรือโทรศัพท์มือถือนั่นเองค่ะ  King เขียนเล่มนี้เมื่อปี 2006 ค่ะ (ออยก็ซื้อเล่มนี้ช่วงนั่นแหละ เวลาผ่านไปเกือบสิบปี เพิ่งจะหยิบมาอ่าน แหะ แหะ) สมัยปี 2006 ที่ King เขียนเล่มนี้ โทรศัพท์มือถือที่ฮิตกันในช่วงนั้นยังเป็นโทรศัพท์แบบพับอยู่เลยค่ะ ยังไม่มีสมาร์ทโฟนแบบทุกวันนี้ 

เหตุการณ์สยองเริ่มขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม เวลา 15.03 น. ค่ะ หนังสือเล่าเหตุการณ์ผ่าน Clay ชายนักเขียนการ์ตูนจากเมือง Kent Pond รัฐ Maine ค่ะ  ในช่วงเวลานั้น Clay เดินทางมานำเสนองานที่ Boston ค่ะ เขากำลังเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ระหว่างทางก็ต่อคิวซื้อไอศครีม ...ทันใดนั้นเอง ผู้คนที่กำลังคุยโทรศัพท์มือถือก็เกิดบ้าขึ้นมา บางคนก็ฆ่าตัวตาย กระโดดลงมาจากตึก บ้างที่ขับรถอยู่ก็พุ่งชนไม่เลือกหน้า บ้างก็กระโดดกัดคอคนอื่น ...เมืองทั้งเมืองมีแต่คนบ้าเต็มไปหมด 

ระหว่างที่ตกใจอยู่นั้น Clay พบกับ Tom ค่ะ ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะเดินไปที่โรงแรมที่ Clay พักอยู่ เพราะน่าจะปลอดภัยที่สุด ที่โรงแรม Clay และ Tom ได้ช่วย Alice สาวน้อยอายุ 15 ที่รอดตายจากรถแท็กซี่ (แม่ของ Alice เกิดบ้าขึ้นมาขณะคุยโทรศัพท์ กระโดดกัดคอคนขับแท็กซี่ขณะที่รถยังวิ่งอยู่) ทั้งสามคนหลบเข้าไปพักที่โรงแรม โดยในโรงแรมนั้น มีพนักงานโรงแรมคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ Mr. Ricardi

เมื่อตกค่ำทั้งสามคนตัดสินใจที่จะเดินทางต่อไปค่ะ แต่ Mr. Ricardi ยืนกรานจะเฝ้าโรงแรม ไม่ยอมร่วมเดินทางไปด้วยกับทั้งสามคนนั้น (ต่อมาพวกเขาก็พบว่า Mr. Ricardi ฆ่าตัวตาย) จุดหมายต่อไปจากนี้คือ บ้านของ Tom ที่ Malden ค่ะ

ขณะที่พักที่บ้านของ Tom พวกเขาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์โทรศัพท์เหล่านั้นค่ะ พบว่าพวกเขาเริ่มไม่ฆ่ากันเองอีกต่อไป พวกเขาเดินไปกันเป็นขบวน บางคนก็ช่วยเหลือกันและกัน ในมือของพวกเขาบางคนถือวิทยุ (ในขณะที่ไม่แตะต้องเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เลย)

Clay ตัดสินใจจะเดินทางไปหาลูกและภรรยาค่ะ โดยเฉพาะลูกชาย "Johnny" มีโทรศัพท์มือถือที่ Clay เป็นคนซื้อให้ ยิ่งเพิ่มความกังวลเเก่ Clay เป็นอย่างมาก ส่วน Tom และ Alice ก็ตัดสินใจเดินทางไปด้วยกันกับ Clay ค่ะ เพราะอยู่ที่นั่นไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว

พวกเขาเดินทางกันตอนกลางคืน เพราะไม่มีมนุษย์โทรศัพท์ในตอนกลางคืนค่ะ ทั้งสามเดินทางมาจนถึง Gaiten Academy พวกเขาได้พบกับ Ardai หรือ "the Head" ชายชราผู้เคยเป็นหัวหน้าภาควิชาภาษาอังกฤษ กับ Jordan เด็กหนุ่มนักโปรแกรมเมอร์ ทั้งคู่ได้เชื้อเชิญให้ทั้งสามคนพักด้วยกันที่ Academy ค่ะ และทั้งสามก็ตกลง

และที่ Gaiten Academy นั่นเอง พวกเขาก็ได้รู้ว่า กลางคืนพวกมนุษย์โทรศัพท์เหล่านี้ไปไหน พวกเขานอนรวมกันในสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยค่ะ โดยมีเพลงจากวิทยุเปิดอยู่ คล้ายกับการชาร์ตเเบตเตอรี่อย่างไงอย่างงั้นเลย ดังน้นพวกเขาจึงเห็นเป็นโอกาสค่ะที่จะกำจัดมนุษย์โทรศัพท์ซอมบี้เหล่านี้ โดยการวางเพลิงในขณะที่พวกเขากำลังชาร์ทเเบตเตอรี่ในตอนกลางคืน

เมื่อเผาคนเหล่านั้นแล้ว ก็ต้องเดินทางกันต่อ แต่ว่า...the Head แก่แล้ว ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ และคนอื่นๆ ก็ไม่คิดจะเดินทางต่อหาก the Head ไปด้วยไม่ได้ ...แต่การที่ยังอยู่ที่ Academy ต่อก็ไม่เป็นที่ปลอดภัย the Head เองก็รู้ค่ะ ว่าตัวเองเป็นตัวถ่วง จึงบอกกับ Clay ว่าเขาจะฆ่าตัวตายด้วยการกินยาเกินขนาด

ในกลางวันนั้นเอง ในขณะที่พวกเขานอนอยู่ ทุกคนก็ฝันเเปลกๆ เหมือนกันค่ะ ฝันถึงชายคนหนึ่งในฮูดสีแดง และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับชายในฮูดสีแดงนั้นจริงๆ พวกเขาเรียกชายคนนี้ว่า "The Raggedy Man" เป็นเหมือนหัวหน้าของพวกมนุษย์โทรศัพท์ซอมบี้ค่ะ พวกมันโมโหมากที่กลุ่มของ Clay เผาเพื่อนของพวกมัน พวกมันแก้แค้นด้วยการลากมนุษย์ทุกคนที่พักอยู่แถวน้ันออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ หากแต่ไม่ทำอะไรกับกลุ่มของ Clay และบอกให้ Clay เดินทางต่อไปได้ ...ก่อนที่กลุ่มของ Clay จะเดินทางต่อนั้น เขาก็พบว่า the Head ตายแล้ว แต่แทนที่จะฆ่าตัวตายอย่างที่บอก the Head (โดยการบังคับทางจิตของ the Raggedy Man) ให้เขียนคำว่า "บ้า" ในภาษาต่างๆ 14 ภาษา แล้วก็เอาปากกานั้นทิ่มตาตัวเองทะลุสมองตาย (สยองจริงๆ)

the Raggedy Man บอกพวกมนุษย์ซอมบี้ว่า กลุ่มของ Clay เป็น "คนบ้า" อย่าแตะต้อง ...ดังนั้นเมื่อพวกเขาเดินไปที่ใด จะไม่มีใครอยากยุ่งกับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ปกติ หรือซอมบี้ก็ตาม ใครที่แตะต้องพวกเขา จะต้องพบจุดจบอย่างทรมานจาก the Raggedy Man ค่ะ

แต่ไม่ได้มีแค่กลุ่มของ Clay ค่ะ ที่เป็น "คนบ้า" ในระหว่างการเดินทางพวกเขาได้พบกับ Dan ชายวัยกลางคน, Denise หญิงท้อง และ Ray ทั้งสามคนนี้เป็น "คนบ้า" เช่นเดียวกันค่ะ เพราะพวกเขาฆ่ามนุษย์ซอมบี้ไปเช่นกัน พวกเขาจึงร่วมเดินทางไปด้วยกันค่ะ (อันเป็นความต้องการของ the Raggedy Man)

the Raggedy Man มีความสามารถทางโทรจิตค่ะ สามารถบังคับให้มนุษย์ทำตามต้องการได้ และสื่อสารกับมนุษย์ผ่านทางโทรจิต the Raggedy Man  บังคับให้พวก Clay เดินทางไปเมือง Kashwak ค่ะ แม้ว่า Clay จะไปคนเดียว ไม่เอาใครไปด้วย (ไปเพราะ Clay เชื่อว่าจะเจอลูกชายที่นั่นค่ะ the Raggedy Man เปลี่ยนลูกชาย และภรรยาของ Clay ไปเป็นซอมบี้แล้ว) และคนที่เหลือในกลุ่มเดินทางไปที่อื่น ปรากฏว่า the Raggedy Man ไม่ยอม ใช้พลังจิตบังคับให้ทุกคนต้องเดินทางไปด้วยกันกับ Clay

ที่ Kashwak มีอะไร และ the Raggedy Man จะแก้แค้นพวกของ Clay ที่ฆ่าคนของพวกมันไปอย่างไร Clay จะได้เจอลูกชายหรือไม่  ...

ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนนานแล้ว แต่ก็ยังอ่านได้ความสยองอยู่ค่ะ โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ โทรศัพท์มีความจำเป็นมากกว่าเมื่อก่อน ทุกคนมีโทรศัพท์ และใช้โทรศัพท์เป็นเหมือนปัจจัยที่ห้า ลองคิดดูซิคะ ว่าถ้าโทรศัพท์มีไวรัสบางอย่างเหมือนในหนังสือเล่มนี้ คงจะสร้างความเสียหายในปัจจุบันได้มากทีเดียว คงทำให้มากกว่า 95% ของมนุษย์ทั้งหมดกลายเป็น มนุษย์โทรศัพท์ซอมบี้


Thursday, April 23, 2015

The Dutch and their Delta



หนังสือชื่อ  :  The Dutch and their Delta
                Living below sea level
 
ผู้แต่ง  :  Jacob Vossestein
 
สำนักพิมพ์  :  XPat Media
 
 
เนื่องด้วยออยย้ายมาอยู่ประเทศเนเธอร์แลนด์ค่ะ  จึงอยากรู้จักประเทศนี้ให้มากขึ้น เลยหาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน อ่านแล้วไม่ผิดหวังค่ะ รู้จักประเทศนี้ และเข้าใจคนดัตช์มากขึ้นจริงๆ
 
คำกล่าวที่ว่า "God created the earth, but the Dutch crated the Netherlands" ไม่ไกลเกินความจริงเลยค่ะ ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ จะรู้สึกเคารพ และทึ่งในความพยายามของมนุษย์มากเลยทีเดียว
 
สมัยเด็กๆ เคยอ่านข่าวเจอว่า เนเธอร์แลนด์มีจังหวัดเพิ่มขึ้นอีกจังหวัดหนึ่ง จากการสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือมนุษย์ ตอนนั้นก็คิดว่าเขาถมทะเล เขาขยะ ดิน สิ่งต่างๆ มาถมทะเล เกิดเป็นแผ่นดินใหม่ ...แต่ ความจริงแล้วไม่ใช่เลยค่ะ ดัตช์ไม่มีถมทะเล ผืนดินที่ได้มา เกิดจากการสูบน้ำออกทั้งสิ้น!!!
 
ถมทะเลไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สูบน้ำทะเลออกเพื่อสร้างผืนดิน นี่ยากกว่าค่ะ การสูบน้ำออกทำให้ได้ผืนดินใหม่ในพื้นที่ที่มากกว่าการถม และพื้นดินใหม่ก็สามารถใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรมได้ด้วย
 
ทราบหรือไม่คะ ว่าสนามบินของประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่เรียกว่า สนามบิน Schiphol ในปี 1860 คงคงเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่เลย ต่อมามีการสูบน้ำออก กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ก่อนเปลี่ยนมาเป็นสนามบินอย่างเช่นทุกวันนี้ ชื่อ Schiphol ก็มาจาก ship (เรือ) + hole (รู) สืบเนื่องจากสมัยที่พื้นที่นี้ยังเป็นทะเลสาบนั้น เรือหลายลำอับปางลงในทะเลสาบนี้ค่ะ
รันเวย์ในสนามบิน Schiphol อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 4-5 เมตร และถ้าเราออกจากสนามบิน มาขึ้นรถไฟ สถานีรถไฟ Schiphol อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 10 เมตร !
 
สรุปจากที่อ่านนะคะ อยากจะเเบ่งการต่อสู้ของคนดัตช์กับน้ำ ออกเป็นสองส่วนค่ะ คือ
 
1) การสร้างพื้นดิน
 
เช่นการเอาน้ำออกจากทะเลสาบ Haarlemmermeer ซึ่งตอนนี้ส่วนหนึ่งของทะเลสาบนั้นคือ สนามบิน Schiphol ค่ะ
 
หรือ อีกงานที่ยิ่งใหญ่กว่า คือ การเอาน้ำออกจาก Zuyder zee เเล้วสร้างจังหวัด Flevoland โครงการนี้มีแนวคิดมานานแล้วค่ะ แต่สมัยนั้นยังมีแต่กังหันลม แรงกังหันลมไม่เพียงพอที่จะสูบน้ำออกได้ จนกระทั่งมีวิทยาการสมัยใหม่เกิดขึ้น มีการประดิษฐ์ปั๊มสูบน้ำ โครงการนี้จึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้ง ภายใต้การผลักดันของ Cornelis Lely รัฐมนตรีกระทรวงน้ำ
 
การทำงานคร่าวๆ เริ่มจาก สร้างเขื่อน Afsluidijk ชะลอ และกั้นน้ำ (เขื่อนนี้ยาวถึง 70 กิโลเมตรเชียวค่ะ) จากนั้นก็สูบน้ำออก พื้นที่ที่สูบน้ำออกจนเป็นพื้นดินเรียกว่า polder โดยแต่ละ polder จะมีคลองระบายน้ำอยู่รอบๆ ดินที่อยู่ใต้น้ำทะเลมานานก็จะเป็นดินเค็ม ดัตช์ก็ปลูกพืชจำพวกกก เพื่อลดความเค็มในดิน เมื่อดินหมดเค็มแล้ว ก็ทำการตัดกก กกที่ตัดนั้น สามารถน้ำไปใช้ในการสร้างฝายกั้นน้ำต่อได้ค่ะ ดินที่ได้ก็จะเหมาะกับการทำการเกษตรแล้ว
 
ปัจจุบัน Afsluidijk มีถนนอยู่บนคันกั้นน้ำนี้ เราสามารถขับรถไปได้ตลอดเเนวเขื่อนเลยค่ะ แต่ยังไม่มีทางรถไฟนะคะ คาดว่าในอนาคตอาจจะมี
 
2) การป้องกันน้ำท่วม
 
แรงบันดาลใจสำคัญมาจากเหตุการณ์เมื่อคืนรอยต่อระหว่างวันที่ 31 มกราคม กับ 1 กุมภาพันธ์ ปี 1953 ค่ะ เกิดคลื่นสูงในทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ (ไม่ใช่ซูนามิ หรืออะไรนะคะ แต่ทะเลแทบนั้นค่อนข้างจะแปรปรวนอยู่แล้ว) เหตุการณ์ครั้งนั้น คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 1,800 คน
 
หลังจากเหตุการณ์น้ัน แทบจะกล่าวได้ว่า คนดัตช์มีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์นี้อย่างมาก ถึงขั้นสาบานว่าจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ดังนั้นโครงการ Delta Project จึงเกิดขึ้นค่ะ
 
Delta Project ประกอบด้วยการสร้าง คันกั้นน้ำและเขื่อน ตามที่ต่างๆ 12 เขื่อน รอบๆ ส่วนที่ติดกับทะเลเหนือค่ะ โครงการนี้ใช้เวลายาวนานถึง 45 ปี จึงสิ่งเหล่านี้เสร็จ ...แต่งานยังไม่จบนะคะ ยังต้องมีการบำรุงรักษา ต้องคอยติดตามระดับน้ำที่เพิ่มสูงทุกปี อันเนื่องจากสภาวะโลกร้อนด้วย
 
และทุกๆ ประมาณวันที่ 31 มกราคม จะมีการ update รายงานความคืบหน้าของโครงการนี้ให้ประชาชนทราบทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติด้วยค่ะ
 
เขื่อนและคันกั้นน้ำเหล่านี้ ใช้เทคโนโลยีระดับสูง และงบประมาณจำนวนมากเลยค่ะ จนกล่าวได้ว่า Delta Project ถือเป็นมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมของโลก
 
การจัดการน้ำในเนเธอร์แลนด์แบ่งออกเป็น 2 ระดับค่ะ คือ 1) Waterschap เป็นการจัดการน้ำระดับท้องถิ่น มีการเลือกตั้งผู้บริหารน้ำโดยประชาชนในท้องถิ่นด้วยค่ะ คนดัตช์ทุกครัวเรือนจะต้องจ่ายภาษีน้ำให้แก่องค์กรนี้ทุกปี (นอกเหนือไปจากค่าน้ำที่ต้องจ่ายตามจริงอยู่เเล้ว)
2) Rijkswaterstaat ถ้าเทียบเป็นไทย ก็คือ ทบวง เป็นองค์กรระดับประเทศในการจัดการน้ำ งบประมาณที่ทบวงนี้ใช้ต่อปีอยู่ที่ 5,000 - 6,000 ล้านยูโร เฉลี่ยคนดัตช์จ่าย 330 ยูโรต่อคนต่อปี ...ถือว่าไม่เลวเลยค่ะ
 
หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกค่ะ โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ และอยากรู้จักประเทศนี้ให้มากขึ้น หนังสือมีภาพสวยๆ ให้ดูด้วย ข้อเสียคือเนื้อเรื่องไม่ค่อยปะติดปะต่อกันในเรื่องของช่วงเวลา ผู้เขียน เขียนโดยยึดภูมิศาสตร์เป็นหลัก ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ ดังนั้นบางครั้งเรื่่องจึงข้ามไปข้ามมา อ่านแล้วชวนให้งง
 
 
 


Wednesday, April 22, 2015

โรงแรมผีนรก2 : Doctor Sleep



หนังสือชื่อ :  Doctor Sleep
 
ผู้แต่ง  :  Stephen King
 
สำนักพิมพ์  :  Hodder & Stoughton
 
 
ถ้าใครเป็นแฟนหนังสือของ Stephen King  คงจะเคยอ่านหนังสือ หรือดูหนังเรื่อง the shining กันนะคะ หนังสือเรื่องนี้มีแปลเป็นภาษาไทยด้วย ใช้ชื่อว่า "โรงแรมผีนรก" แปลโดย คุณสุวิทย์ ขาวปลอด ค่ะ หนังสือเล่มนี้คือเล่ม 2 ของ the shining ค่ะ
 
แรงบันดาลใจของการเขียนหนังสือเล่มนี้ King เล่าไว้ว่าเกิดจาก เมื่อราว 5 ปีที่แล้ว มีผู้อ่านถามเขาค่ะว่า เกิดอะไรขึ้นกับแดนนี่เด็กน้อย ตอนนี้เขาเป็นอย่างไร เด็กน้อยแดนนี่จะโตขึ้นแล้วติดเหล้าเหมือนพ่อของเขาหรือเปล่า แดนนี่ยังคงเห็นผีอยู่หรือเปล่าเมื่อโตขึ้น...คำถามนี้เป็นเเรงบันดาลใจให้ King เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ
 
หนังสือ The Shining พิมพ์ครั้งแรกตอนปี 1977 ค่ะ และเล่มนี้ พิมพ์เมื่อปี 2013 ระยะเวลาห่างกัน 36 ปีค่ะ
 
หลังจากที่แดนนี่ และเเม่ รอดชีวิตจากโรงแรมผีนรก Overlook ได้แล้วนั้น แดนนี่ก็ยังคงมองเห็นผีอยู่ค่ะ ในช่วงแรก หากแต่ Dick เพื่อนต่างวัยของแดนนี่สอนให้เขาเอาชนะภาพน่ากลัวเหล่านั้น โดย Dick เรียกความสามารถพิเศษของแดนนี่ ว่า the shining ซึ่งตัว Dick เองก็มีความสามารถนี้เช่นกันค่ะ
 
แต่เมื่อแดนนี่โตขึ้น เขาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชีวิตมากนัก แถมยังเป็นคนติดเหล้าเสียอีก ถังแตกด้วย หมดเงินไปกับเหล้า และคืนหนึงหลังจากที่เขาเมามายไม่ได้สติ เชาได้กระทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกละอายใจ ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะอ้างว่าเขาไม่มีทางเลือกก็ตาม
 
จากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาเดินทางไปอย่างไม่มีจุดหมายโดยนั่งรถบัสไปค่ะ จนกระทั่งไปถึงที่ๆ หนึ่งในรัฐนิวแฮมเชียร์ ที่นั่น แดนนี่ได้พบกับ Billy ที่มี shining เหมือนกับเขา แดนนี่ได้ทำงานร่วมกับ Billy ค่ะ และแดนนี่ก็ได้เข้าร่วมกลุ่มเพื่อการงดเหล้าด้วย
 
ชีวิตแดนนี่ดีขึ้นมากค่ะ เขาหยุดเหล้าได้ ได้งานทำที่ Helen Rivington house ที่นี่เขาได้ใช้ shining ของเขาให้เป็นประโยชน์ด้วยการส่งผู้ป่วยที่กำลังหมดลมหายใจให้ไปสู่ภพภูมิใหม่ จนแดนนี่ได้ฉายาว่า doctor sleep ค่ะ
 
ในขณะที่ชีวิตแดนนี่ดำเนินไปนั้น ก็มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า The True Knot โดยมี Rose the hat เป็นหัวหน้า พวกเขาเดินทางไปเรื่อยทั่วอเมริกาด้วยรถบ้าน กลุ่ม True Knot นี้ลักพาตัวและฆ่าเด็กที่มี shining ค่ะ พวกเขารวยและมืออาชีพ ตำรวจไม่มีทางจับตัวพวกเขาได้แน่นอน
 
ในขณะที่ชีวิตของแดนนี่ดำเนินไปนั้น แดนนี่มีความผูกพันแปลกๆ กับเด็กน้อยที่ชื่อ Abra ค่ะ Abra เป็นเด็กที่มี shining เเข็งเกร่งมาก เธอสามารถสื่อสารกับแดนนี่ได้ ทั้งๆ ที่ทั้งคู่ไม่เคยเจอกันมาก่อน
 
Shining ของ Abra เป็นที่ต้องการของพวก True Knot ค่ะ พวกมันกำลังมาที่เมืองนิวเเฮมเชียร์นี้ เพื่อที่จะมาจับตัว Abra พวกมันต้องการตัว Abra เป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกมันเชื่อว่า พลัง shining ของ Abra จะสามารถรักษาโรคระบาดที่พวกมันเป็นกันอยู่ได้
 
งานนี้พึ่งพาตำรวจไม่ได้เลยค่ะ แดนนี่กับ Abra และคนอื่นๆ ต้องร่วมมือกัน พวก True Knot จะไม่หยุดจนกว่าจะได้ตัว Abra ดังนั้นจึงมีทางเลือกเดียวที่ Abra ต้องทำ คือ ต้องสู้เท่านั้น !!!
 
ส่วนตัวคิดว่า หนังสือเล่มนี้สนุกกว่าเล่มแรกค่ะ เล่มแรกนั้น หลอนและลุ้น เพราะแดนนี่เด็กน้อยช่วยตัวเองไม่ได้ ยังเป็นเพียงเด็ก เป็นเหยื่อของการกระทำของผู้ใหญ่ แต่เล่มสองนี้ แดนนี่โตแล้ว ต้องลุ้นกันว่าเขาจะสามารถปกป้อง Abra ได้หรือไม่ ...และมีความลับอะไรบ้างอย่างของครอบครัวแดนนี่ ที่เคยหลงลืมไป กำลังจะกลับมากระจ่างอีกครั้งในเล่มนี้ค่ะ
 
หนังสือเล่มนี้่มีแปลเป็นภาษาไทยแล้วด้วยนะคะ ชื่อว่า "ลางนรก" คุณโสภณา เชาว์วิวัฒกุล เป็นผู้แปล ของสำนักพิมพ์แพรวค่ะ 


Friday, March 13, 2015

The Distant Echo

 
 
ชื่อหนังสือ  :  The Distant Echo
 
ผู้แต่ง  :  Val McDermid
 
สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers
 
 
 
สวัสดีค่ะ หายไปนานเลยค่ะ ช่วงที่หายไปนั้น ก็ยังอ่านหนังสืออยู่นะคะ แต่เป็นหนังสือเรียน ซึงไม่น่าเอามารีวิวสักเท่าไร พอสอบเสร็จเลยมีเวลาหยิบหนังสืออ่านเล่นมาอ่าน คว้าเล่มนี้มาอ่าน ทั้งๆ ทีไม่รู้จักชื่อคนแต่งมาก่อนเลยค่ะ ไม่เขียนอ่านหนังสือของนักเขียนท่านนี้มาก่อน ...ปรากฏว่า อ่านแล้ววางไม่ลง สนุกมากจริงๆ จึงอยากนำมารีวิวให้อ่านกันค่ะ
 
หนังสือเป็นเรื่องราวเเนวสอบสวนค่ะ เนื้อเรื่องดำเนินในประเทศสก็อตแลนด์ค่ะ เรื่องราวมันเกิดขึ้นในฤดูหนาว หิมะตก อุณหภูมิติดลบในปี 1978 ค่ะ เริ่มด้วย เด็กวัยรุ่น 4 คน คือ Sigmund Malkiewicz หรือที่เพื่อนๆ เรียก "Ziggy" , Alex Gilbey หรือ "Giliy", Davey Kerr หรือ "Mondo" และ Tom Machie หรือ "Weird" ทั้งสี่กลับมาจากงานปาร์ตี้ เมาแอ๋เชียว ทางกลับพวกเขาเดินทางลัดมาทางสุสานค่ะ ทันใดนั้นพวกเขาก็สะดุดกับศพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง คือ Rosie Duff เธออายุเพียงแค่ 19 ปี โดนแทง และดูเหมือนจะโดนข่มขืนด้วย ตอนที่พวกเขาเจอ Rosie นั้น เธอยังหายใจรวยรินอยู่ พวกเขาจึงพยายามทำทุกวิธีทางให้เธออบอุ่น หวังว่าเธอจะรอด และให้หนึ่งในกลุ่มวิ่งไปขอความช่วยเหลือ (สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ) ...แต่เมื่อตำรวจมาถึง Rosie ก็เสียชีวิตเสียเเล้ว
 
เรื่องราวการสืบสวนจึงเริ่มต้นขึ้น และยิ่งดูเหมือนสอบสวนเท่าไร ก็ยิ่งเจอทางตัน เนื่องจาก Rosie ไม่มีศัตรูที่ไหนเลย เรื่องราวกลับกลายเป็นว่า ผู้พบศพกลายกลับเป็นผู้ต้องสงสัยเสียเอง เพราะทั้งสี่คนรู้จัก Rosie (เธอทำงานในบาร์ที่เด็กหนุ่มทั้งสี่เข้าไปดื่มเบียร์บ่อยๆ ค่ะ รวมถึงวันที่เธอเสียชีวิตด้วย) และหนึ่งในสี่คือ "Giliy" ก็แอบชอบเธอด้วย ถึงขั้นคืนเกิดเหตุ เขายังชวนเธอออกไปปาร์ตี้ด้วยกันหลังจากเธอเลิกงาน แต่ Rosie ได้ปฏิเสธไป อีกทั้งช่วงเวลาที่พวกเขาพยายามช่วยชีวิต Rosie นั้น พวกเขาทำให้หลักฐานทางนิติเวชปนเปื้อน ทำให้การสอบสวนยากยิ่งขึ้น
 
ในที่สุดการสืบสวนก็ไม่มีหลักฐานมาเอาผิดกับเด็กหนุ่มทั้งสี่คนได้ค่ะ ดูเหมือนพวกเขาจะรอด ซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้แก่ครอบครัวของ Rosie เป็นอย่างมาก พวกเขาเชื่อว่าทั้งสี่คนนี่แหละที่ฆ่าสาวน้อยที่รักของพวกเขา
 
ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสี่จะไม่ติดคุก แต่มิตรภาพของพวกเขาก็ถึงบทพิสูจน์ และพวกเขาทั้งสี่ก็โดนปฏิบัติเหมือนเป็นผู้ต้องสงสัย ทั้งๆ ที่พวกเขาพยายามบอกตลอดเวลาว่าตนเป็นพยาน เป็นผู้พบศพ...แต่ดูเหมือนตราบาปนี้จะติดตัวพวกเขาตลอดไป...
 
เรื่องราวเริ่มต้นอีกครั้้งใน 25 ปีต่อมา ในปี 2003 ค่ะ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความพยายามที่จะรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาใหม่ เนื่องจากวิทยาการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้นมามาก ดังนั้นจึงมีโอกาสที่การทดสอบ DNA จะหาคนร้ายตัวจริงที่ฆ่าข่มขืน Rosie ได้...และแน่นอน เด็กหนุ่มทั้งสี่คนในตอนนั้น ก็ยังคงเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอยู่ค่ะ
 
แต่ดูเหมือนเหตุการณ์จะซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อ 2 ใน 4 ของพวกเขาถูกฆาตกรรม ในช่วงเวลาห่างกันไม่ถึงหกอาทิตย์ และมีการ์ดข้อความแปลกๆ ส่งมาให้ในวันเผาศพของทั้งสองด้วย การ์ดที่ระบุเป็นนัยๆ ในรำลึกถึงการตายของ Rosie...ดังนั้นทางเดียวที่พวกเขาที่เหลือจะรอด คือการหาให้ได้ว่าใครคือคนที่ฆาตกรรม Rosie ตัวจริง!!!
 
หนังสือเล่มนี้สนุกค่ะ เนื้อเรื่องซับซ้อน ออยอ่านไป ก็เดาไปว่าใครคือฆาตกร แต่เดาไม่ออก จนใกล้จะจบเล่มแล้ว ถึงจะเริ่มสงสัยใครบางคน...เป็นหนังสือที่คอนิยายสอบสวนไม่ควรพลาดอย่างยิ่งค่ะ