Sunday, November 17, 2019

The kept woman





หนังสือชื่อ  :  The kept woman

ผู้แต่ง  :  Karin Slaughter

สำนักพิมพ์  :  Century


เป็นครั้งแรกของการอ่านผลงานเขียนของผู้แต่ง Karin Slaughter ค่ะ จากที่เคยได้เห็น ได้ยินชื่อผู้แต่งท่านนี้มานานแล้วค่ะ เนื่องจากที่เนเธอร์แลนด์ เวลามีหนังสือใหม่ของ Karin Slaughter ออก จะมีใบปิดโฆษณาแผ่นใหญ่ โฆษณาไปตามสถานีรถไฟทั่วเนเธอร์แลนด์เลยค่ะ -- หนังสือของ Karin Slaughter ก็มีแปลเป็นภาษาดัตช์ และมีหลายเล่มที่ติดอันดับหนังสือขายดีด้วยค่ะ 

เนื้อเรื่องในหนังสือ the kept woman เกิดขึ้นที่เมืองแอตแลนต้า สหรัฐอเมริกา ค่ะ -- เรื่องมันเริ่มมาจากตำรวจสารวัตร Will Trent  กับทีมงานถูกเรียกให้มาทำการสืบสวนคดีฆาตกรรม อันเนื่องมาจากมีการพบศพในโกดังร้างแห่งหนึ่ง -- โกดังแห่งนี้มีแผนที่จะบูรณะเพื่อทำเป็นไนท์คลับค่ะ เจ้าของทุนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นนักบาสเกตบอลชื่อดัง Marcus Rippy ผู้ต้องสงสัยในคดีวางยาและข่มขืน ที่สารวัตร Will ของเราพยายามที่จะสืบสวนหาหลักฐานมาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา

การสืบสวนคดีข่มขืนที่มีคนดังเป็นผู้ต้องสงสัยไม่ใช่เรื่องง่ายค่ะ โดยเฉพาะเคสนี้ Marcus Rippy มีทนายดี เจ้าเล่ห์ ชื่อ Kip Kilpatrick ผู้ขัดขวางการสอบสวนทุกวิถีทาง ทำให้หกเดือนที่ผ่านมา สารวัตร Will ไม่ได้เบาะแส หลักฐานอะไรที่จะเอาผิดแก่ Marcus ได้เลยค่ะ

กลับมาที่คดีฆาตกรรมที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ คนตายเป็นตำรวจเก่าค่ะ เป็นตำรวจนอกแถว ชื่อ Dale Harding -- คือตอนนี้เรื่องมันดูเหมือนจะง่ายๆ เพราะตำรวจนอกแถวถูกฆ่าตาย อาจจะเป็นเพราะขัดผลประโยชน์กันเองกับพวกอาชญากร ..... แต่เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิคะ เมื่อตำรวจพบแอ่งเลือดปริศนา เลือดเป็นจำนวนมาก พบปืนในที่เกิดเหตุ (ซึ่งไม่ใช่ของผู้ตาย) เลยสันนิษฐานกันว่าน่าจะมีเหยื่ออีกคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ตอนนี้ในเรื่องเป็นการคลี่คลายคดีที่เป็นแบบนาทีต่อนาทีค่ะ ระหว่างที่รอจนกว่าผล DNA จะออก ตำรวจก็ต้องทำงานตามเบาะแสที่มี -- และก็พบว่า เลขทะเบียนปืนที่พบในที่เกิดเหตุนั้นเป็นชื่อของ Angie Polaski ภรรยาผู้หายสาบสูญของสารวัตร Will 

อ่านพลอตเรื่องตอนแรกเหมือนจะเป็นหนังสือนักสืบธรรมดาค่ะ -- แต่อ่านมาเรื่อยๆ มันกลายเป็นดราม่าสอบสวนไปเสียนี่ -- หนังสือในช่วงแรก จะบรรยายในมุมของตำรวจค่ะ สารวัตร Will นั้นมีภรรยาตามทะเบียนสมรสคือ Angie ที่ผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาตอนนี้ไม่ดีเลย Angie หายตัวไป ติดต่อไม่ได้ สารวัตร Will อยากจะหย่า แต่หาตัวภรรยามาหย่าไม่ได้ Will เองก็มีความสัมพันธ์กับหมอนิติเวช Sara -- ในสายตาของ Will และ Sara ที่นักเขียนบรรยาย Angie เหมือนเป็นปีศาจ ที่เคยระรานความสัมพันธ์ของทั้งคู่ 

ช่วงถัดมาของหนังสือเปลี่ยนมาบรรยายในมุมของ Angie บ้างค่ะ ทำให้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าวันเกิดเหตุ -- ผู้เขียนเขียนได้ดีมาก ในการบรรยายในมุมของ Angie ทำให้เรารู้สึกเห็นใจเธอ ทั้งๆที่เธอทำลายชีวิตของ Will แทบพัง (ในมุมของ Will ที่เราเพิ่งอ่านไป) คือเธอไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอกค่ะ แต่จะเอาอะไรกับเด็กที่โตมากับแม่ที่เป็นโสเภณี เลี้ยงทิ้งๆ ขว้างๆ ลุงพี่ชายแท้ๆ ของแม่ เป็นแมงดาทั้งของแม่และของเธอ (และก็นอนกับเธอด้วย) พอตัว Angie เองมีลูก ก็ทิ้งลูกไว้ที่โรงพยาบาล ไม่แม้แต่จะอุ้มลูกหรือแสดงว่าผูกพันสักนิด

อ่านแล้วเห็นใจและเข้าใจ Angie ค่ะ คือเป็นผลผลิตจากความเหลวแหลก ไม่เคยได้รับความรักจากคนที่ควรจะรักเธอ -- ในตอนเด็ก เด็กทุกคนอยากได้รับความรัก อยากได้รับการยอมรับจากคนที่รัก ดังนั้นเธอจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้แม่และแมงดาพอใจ (เพราะเธอไม่มีใครอีกแล้วในชีวิต) ซึ่งคนเหล่านี้ยิ่งใช้เธอหนักขึ้น ทำให้เธอเจ็บยิ่งขึ้น ...แต่พอ Angie มาเจอ Will ชายที่ไม่ว่าเธอจะร้ายแค่ไหน ทำชีวิตเขาปั่นป่วนแค่ไหน Will จะเกลียด Angie มากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะหลุดทำร้ายร่างกายตบตีเธอ 

ชอบประโยคนี้ในหนังสือค่ะ ขอคัดมาให้อ่านกันนะคะ

"badness doesn't come all at once. The dominoes fall over time. You hurt someone by mistake and they let you get away with it. Then you try hurting them on purpose and they still stick around. And then you realize that the more you hurt them, the better you feel. So you keep hurting them, and they keep hanging on, and the years roll by and you convince yourself that the fast that they still stand by you means that the pain you cause is okay."

หนังสืออ่านสนุกมากค่ะ ผู้เขียนใช้ภาษาบรรยายสิ่งต่างๆ ได้ดีมาก ได้เห็นภาพ ละเมียดมากค่ะ เล่าเรื่องปมในใจของพระเอก ความรุนแรงในครอบครัว ผลผลิตของความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นอย่างยาวนาน มันส่งผลกระทบต่อเด็กจริงๆ นะ -- ผู้หญิงที่เป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว โดนสามีทำร้ายมาอย่างยาวนาน พยายามหนี แต่ก็กลัวสุดชีวิต แต่แม้ขณะที่สามีโดนทำร้ายจากคนเข้ามาช่วย เธอยังมีแก่ใจปกป้องสามี หรือสามีที่สุดท้ายเมื่อเรื่องทุกอย่างขมวดถึงปมสุดขีด ก็ยังเป็นห่วงภรรยา (ที่ตัวเองทำร้ายมาตลอดหลายปี) -- บางทีความรัก โรแมนติกแบบนี้ก็ยากที่คนอย่างเราจะเข้าใจค่ะ

Saturday, October 19, 2019

The Seagull






หนังสือชื่อ  :  The Seagull

ผู้แต่ง  :  Ann Cleeves

สำนักพิมพ์  :  Minotaur Books


สืบเนื่องจากเป็นแฟนซีรี่ย์แนวนักสืบสืบสวนสอบสวนทางโทรทัศน์เรื่อง "Vera" ค่ะ ก็เลยค้นเจอว่า ซีรี่ย์ทางทีวีเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสือของนักเขียนชื่อ Ann Cleeves ค่ะ เลยทำให้ต้องหาหนังสือมาอ่าน -- ปรากฎว่า หนังสือกับละครเป็นคนละเรื่องเลยค่ะ คือเนื้อหารายละเอียดไม่เหมือนกันเลย 

Vera Stanhope เป็นชื่อของนักสืบในชุดนี้ค่ะ เป็นตำรวจประจำสถานี Northumberland ประเทศอังกฤษค่ะ เป็นผู้หญิงอายุเยอะแล้ว น่าจะ 50+ ปีขึ้นไป โสด รูปร่างสูงใหญ่ น้ำหนักเกินด้วยค่ะ แต่ใจดี และมีความสามารถในการพูดกล่อมให้ผู้คนให้ความร่วมมือในการสืบสวน

งานสืบสวนของนักสืบ Vera เล่มนี้ต่างจากคดีอื่นๆ ค่ะ -- เรื่องมันเริ่มจาก อดีตตำรวจ John Brace ซึ่งตอนนี้ติดคุกอยู่ในข้อหาจ้างวานฆ่า ได้ติดต่อนักสืบคนเก่งของเรา เพื่อจะบอกที่ซ่อนศพของ Robbie Marshall (ซึ่ง Robbie Marshall นี่ก็เป็นเพื่อนสนิทกับ John Brace นั่นเอง แต่ Robbie หายตัวไปเมื่อ 20 ปีก่อนค่ะ) -- John Brace บอกว่าเขาไม่ได้ฆ่า Robbie ค่ะ เขาแค่เป็นคนไปเจอศพ และอำพรางศพ เขาไม่รู้ว่าใครฆ่า แต่ที่เขาต้องอำพรางศพเพราะ ถ้าตำรวจรู้ว่า Robbie ตาย และทำการสืบสวน เรื่องคอรัปชั่นที่เขากับ Robbie ร่วมกันทำ จะแดงขึ้น และตอนนั้นเขาเป็นตำรวจใหญ่ John Brace อาจเด้ง หรือหลุดจากงานได้

John Brace สารภาพและบอกที่ซ่อนศพของเพื่อนแก่ตำรวจ โดยมีเงื่อนไขค่ะ เขาต้องการให้ Vera ไปช่วยดูลูกสาวและหลานๆ ให้หน่อย -- John Brace มีลูกสาวชื่อ Patty ซึ่งเป็นลูกนอกสมรส เกิดจากคู่นอนที่เป็นโสเภณีและติดเฮโรอีน 

John Brace เนี่ยเป็นเพื่อนกับพ่อของ Vera ค่ะ เป็นหนึ่งใน gang of four (แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของ Vera กับตัว Vera นั่นไม่ค่อยดีนัก และพ่อของ Vera ก็ตายไปนานแล้วค่ะ)  

Gang of Four เนี่ยตามชื่อเลยค่ะ มีสมาชิกด้วยกันทั้งหมด 4 คน คือ พ่อของ Vera, John Brace, Robbie Marshall และ ชายลึกลับคนหนึ่ง ที่ทุกคนในสมาชิกเรียกว่า The Prof ค่ะ

เรื่องก็จะดำเนินไปประมาณนี้ค่ะ ครึ่งเล่มก็จะเป็นประมาณการเจรจาระหว่าง Vera กับ John Brace การที่ Vera พยายามขุดคดีการหายตัวไปของ Robbie หรือ Vera ไปคุยกับ Patty ตามควมต้องการของ John Brace -- จนกระทั่งในที่สุด John Brace ก็บอกที่ซ่อนศพค่ะ

แต่ปรากฎว่า เมื่อตำรวจไปหาศพตามที่ John Brace บอก -- ตำรวจกลับเจอโครงกระดูก 2 ศพ!!! ไม่ใช่ศพเดียวอย่างที่ John Brace บอก -- งั้นอีกศพคือใคร หรือจะเป็นแม่ของ Patty??? -- มาถึงตรงนี้ John Brace ไม่ให้คว่ามร่วมมือในการสอบสวนแล้วค่ะ -- Vera ต้องสืบหาความจริงให้ได้ว่า โครงกระดูกของผู้หญิงอีกคนนั้นคือใคร

ระหว่างนั้นก็มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น ผู้ตายคืออดีตสามีของ Patty นั่นเอง -- ในการสืบสวนดูเหมือน ผู้ตายทั้งสามคนจะมีชีวิตโยงใยกันด้วยผับที่ชื่อ The seagull ค่ะ -- ผับนี้โดนไฟไหม้ไป และทิ้งร้างไว้ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน -- แต่ตอนนี้เจ้าของผับกลับมาใหม่อีกครั้ง และมีโครงการจะรื้อฟื้นอสังหาริมทรัพย์บริเวณนั้นใหม่หมด

ดูเหมือนอดีตจะตามมาหลอกหลอน การฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน โยงใยอย่างไรกับการฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้น?  โครงกระดูกของหญิงสาวอีกคนคือใคร? ทำไมจู่ๆ John Brace ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นพ่อที่ห่วงลูก จนสารภาพสิ่งที่ทำไปเมื่อ 20 ปีก่อน?  (ทั้งๆ ที่ Patty คือคนที่ John Brace ไม่รับเป็นพ่อ และ Pattyโตมาด้วยพ่อแม่บุญธรรม) เจ้าของผับเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไรกับคนตายทั้ง 3 คนนี้? The prof ผู้ลึกลับคือใคร? เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมนี่หรือไม่? และแม่ของ Patty ตายไปแล้ว หรือว่ายังมีชีวิตอยู่?

หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่สนุกแบบอ่านได้เรื่อยๆ น่ะค่ะ ปมคดีฆาตกรรมก็ไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย คดีที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนเป็นคดีอาชญากรรมที่ตำรวจเจอกันในชีวิตจริง ที่เราอ่านเจอในข่าวกัน ไม่ได้พิศดารเหมือนหนังสือนิยายนักสืบคนอื่นๆ

Thursday, October 10, 2019

Ultralearning




หนังสือชื่อ  :  Ultralearning

ผู้แต่ง  :  Scott H. Young

สำนักพิมพ์  :  Thorsons


กดซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านจาก iBook ของ apple ค่ะ ไม่ได้เป็นหนังสือกระดาษอย่างที่ปกติเคยอ่าน ซื้อมาเพราะโดนป้ายยาจากบทความรีวิวในเฟสบุ๊กของคนที่เคยอ่านก่อนหน้านี้ค่ะ

ต้องบอกไว้ก่อนนะคะ นี่เป็นหนังสือแนว "เรียนรู้ที่จะเรียน" คือเป็นแนวเรื่องการศึกษาน่ะค่ะ ซึ่งไม่ใช่หนังสือแนวที่ปกติออยหยิบมาอ่าน ถือว่าเล่มนี้เป็นเล่มแรกเลยค่ะ

ในหนังสือบอกว่า ผู้แต่ง Scott H. Young เนี่ยเป็นคนที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ออนไลน์ ของมหาวิทยาลัย MIT ด้วยตัวเองค่ะ เขาเรียนหลักสูตรที่นักศึกษาต้องใช้เวลาเรียนในชั้นเรียน 4 ปี สำเร็จโดยใช้เวลาเพียง 12 เดือน !!! -- นอกจากนี้เขายังพูดได้หลายภาษา ทั้งสเปน จีน โปรตุเกส เกาหลี โดยทั้งหมดนี้เขาศึกษาด้วยตัวเองค่ะ!  -- จึงนับได้ว่าเขาเป็นผู้รู้จริงในหลักการการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง อย่างเข้มข้น และเห็นผลในเวลาอันรวดเร็วค่ะ

ทำไมการเรียนรู้ด้วยตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ -- ก็เพราะเราอยู่ในยุคที่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตค่ะ คือถ้าเป็นสมัยก่อนยุคพ่อแม่ของเรา เรียนจบก็ทำงาน เอาจากที่เรียนมาทำงาน ชีวิตเรียบง่ายค่ะ .... แต่มาปัจจุบันนี้ อะไรๆ ก็เร็วขึ้น สิ่งที่เรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย บางทีก็ไม่เพียงพอที่จะได้งานทำด้วยซ้ำไปค่ะ หรือบางครั้ง ทำงานไปแล้ว ด้วยหน้าที่การงานก็บังคับให้เราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่เช่นนั้น เราจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทำงานแทนคนได้แทบทุกอย่างแล้ว -- คือ ถ้าเราไม่เรียนรู้วิทยาการใหม่ด้วยตัวเองให้เร็ว เราก็จะตกรถไฟ และต้องทำงานที่เป็นงานใช้แรงงานแทน ช่องว่างระหว่างงานใช้สมอง กับงานใช้แรงงาน เริ่มกว้างขึ้นทุกทีๆ ค่ะ

หนังสือมีอยู่ด้วยกัน 14 บทค่ะ ...ขอบอกว่า 2 บทแรก น้ำท่วมทุ่งเลยค่ะ ผู้เขียนใช้สองบทแรกในการบรรยายถึงความสำคัญของ Ultralearning -- น่าจะเป็นเพราะว่า สองบทแรกของหนังสือ คือสองบทที่เป็น sample ให้คนที่จะซื้อหน้งสือแบบออนไลน์ กดมาทดลองอ่านดูก่อนน่ะค่ะ ดังนั้นจึงทำให้ผู้เขียนใช้พลังอย่างมากในการโน้มน้าวให้เราเห็นความสำคัญของ Ultralearning นี้


Ultralearning คือ กลยุทธ์ ที่ใช้สำหรับการปรับทักษะและความรู้สำหรับตนเองแบบโดยตรงและเข้มข้น

ผู้เขียนเน้นย้ำค่ะว่า Ultralearning เนี่ยเป็น "กลยุทธ์" แปลว่า มันต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอให้เหมาะกับสถานการณ์ หรือสไตล์ชีวิตของคนๆ นั้น ในช่วงเวลานั้นๆ -- คือมันไม่มีกฎตายตัวว่าต้องเรียนแบบนี้แบบนั้น ซึ่งตรงนี้เนี่ยแหละค่ะ ทำให้หนังสือเล่มนี้อ่านยาก เนื่องจากมันคลุมๆ เครือๆ -- นอกจากนี้การเรียนแต่ละอย่าง วิธีการเรียนก็ต่างกันไปตามลักษณะวิชา และความต้องการของผู้เรียนอีกด้วย

ผู้เขียนบอกว่า Ultralearning เนี่ยมีหลักอยู่ 9 ประการค่ะ ได้แก่
    1. Metalearning : First draw a map 
    คือก่อนจะเริ่มเรียน ก็ค้นหาก่อนค่ะ ทำการวิจัยศึกษากันนิดหนึ่งก่อนที่จะกระโจนเข้าเรียนอะไร แล้วพบว่ามันไม่ใช่อย่างที่ต้องการ ถึงตอนนั้นก็เสียเวลาไปปล่อยๆ -- ผู้เขียนบอกว่า ให้ถามตัวเองค่ะ ว่า ทำไมจึงอยากเก่งในเรื่องนี้ (Why?) อะไรบ้างที่จำต้องรู้เพื่อให้เก่งในเรื่องนี้ (What?) และต้องทำอย่างไร ต้องมีคอร์สเรียนออนไลน์ หนังสือ ฯลฯ (How?) -- และหลังจากทำการหาข้อมูลในตอนเริ่มต้นแล้ว ก็มิใช่จบแต่เพียงเท่านี้นะคะ เราควรใช้เวลา 10% ของการเรียนมารีวิว metalearning อีกครั้งบ่อยๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่หลงทางไปจากเป้าหมายของเรา และวิธีการเรียนของเรานั้น ยังใช้ได้สำหรับเรา ยังทำให้เราบรรลุเป้าหมายอยู่

    2. Focus : Sharpen your knife
    บทนี้ว่าด้วยเรื่องการตั้งสมาธิค่ะ การฝึกให้ตัวเองมีใจจดจ่อกับเรื่องที่ทำ ในยุคที่มีอะไรๆ มาขัดจังหวะได้ง่ายเหลือเกิน --  บทนี้ชอบตรงที่ผู้เขียนบอกว่า ปกติเราจะตระหนักรู้ตัวเราเองดีค่ะเวลาที่เราอยู่ในอารมณ์ผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ คือการเรียนรุ้สิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่งานที่สนุกไงค่ะ มันเต็มไปด้วยความผิดหวัง น่าเบื่อ รู้สึกว่าตัวเองโง่ ไม่เก่ง หลายๆ รอบเลย -- ดังนั้นวิธีแก้คือ ลองตั้งเวลาว่าจะเรียนสัก 5 นาทีแล้วค่อยไปทำอย่างอื่น (ปกติเราไม่ค่อยจะเบื่อเรื่องไหนภายใน 5 นาทีหรอกค่ะ) จากนั้นค่อยขยับเป็น 25 นาที (เรียกวิธีนี้ว่า pomodoro technique ค่ะ) และค่อยเพิ่มไปเรื่อยๆ

    3. Directness : Go straight ahead
    ง่ายๆ ค่ะ อยากเก่งเรื่องไหนก็ให้ฝึกเรื่องนั้นไปเลย อยากเก่งภาษาเพื่อใช้ในการสนทนา ก็ให้ฝึกการสนทนาในภาษานั้น ไม่ต้องเสียเวลาฝึกไวยากรณ์ หรือฝึกเขียนอยู่ -- บทนี้เห็นด้วยกับตอนที่ผู้เขียนเล่าถึงปัญหาของการศึกษาค่ะ คือ เรียนเยอะแต่พอเจอปัญหาในชีวิตจริง กลับแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะไม่รู้จักหรือจำรูปแบบปัญหาที่เรียน มาเทียบกับปัญหาในชีวิตจริง -- วิธีแก้คือ เรียนแบบ project-based learning ค่ะ คือให้สร้างโปรเจคขึ้นมาควบคู่กับเรื่องที่เรียน ซึ่งจะฝึกให้เรารู้จักการแก้ปัญหาในหน้างานจริง และพยายามรายล้อมตัวเองด้วยสิ่งแวดล้อมที่เราจะเรียน เช่น ผู้เขียนตอนอยากเก่งภาษาต่างประเทศ ก็ไปท่องเที่ยวในประเทศที่ใช้ภาษานั้นๆ และฝึกพูดแต่ภาษาถิ่นกับทุกๆคน โดยไม่ใช้ภาษาอังกฤษเลย
    4. Drill :  Attach your weakest point
    สิ่งที่เราต้องการเรียน มันจะมีหัวข้อย่อยลงมาที่เราจะต้องเรียน พยายามหาจุดที่เราอ่อนอยู่ และให้ความสำคัญแก้ไขจุดอ่อนนั้น -- พอมาถึงตอนนี้ ชักเห็นแล้วค่ะ ว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือปลุกใจให้ความหวัง ปลุกพลัง อะไรแบบนั้น -- แต่เป็นหนังสือที่มองโลกในแง่ของความเป็นจริง การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องสนุกค่ะ การต้องมาค้นหาจุดอ่อนของตนเอง และพยายามแก้ไข บางทีก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดหวังว่าตนเองเป็นคนไม่เก่งได้

    5. Retrieval : Test to learn
     การทำแบบทดสอบ ยิ่งเรารู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม เรายิ่งเรียนรู้ได้มากค่ะ -- ปกติเวลาเราจะสอบ หรือจะทดลองทำโปรเจคอะไรใหม่ๆ เรามักจะพยายามศึกษาหาความรู้ รอจนกว่า เราจะรู้สึกว่า "พร้อม" จึงจะค่อยลงมือทำ -- ผู้เขียนบอกว่า วิธีนี้ไม่ดีค่ะ ถ้าจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำเลยค่ะ ทำทั้งๆ ที่รู้สึกว่ายังไม่พร้อมนั่นแหละ วิธีนี้จะช่วยให้เราจำ และเรียนรู้ได้มากขึ้นค่ะ

    6. Feedback  : Don't dodge the punches
     feedback หรือคำวิจารณ์เป็นสิ่งสำคัญค่ะ feedback นี้อาจได้มาจากผลการสอบ หรือคำวิจารณ์ของผู้ชมทั่วไป หรือผู้รู้ -- feedback ไม่ใช่สิ่งน่าพิสมัยนักค่ะ ยิ่งถ้านั่นคือสิ่งที่เราทำตอนที่เรารู้สึกว่ายัง "ไม่พร้อม" อีกด้วย .. แต่มันก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ผู้เขียนบอกให้เราระวัง คืออย่า โอเว่อร์รีแอค หรือตอบสนองมากเกินไปกับ feedback ที่ได้รับ (feedback ที่ดีควรจะจำเพาะในเรื่องโปรเจคหรือตัวงานค่ะ ไม่ใช่ลามมาถึงคนทำโปรเจค และควรจะให้ข้อมูลที่เพียงพอว่าดีหรือไม่ดีต้องส่วนไหน) รวมถึงต้องสมดุลให้ดีระหว่าง feedback ทั้งบวกและลบ

    7. Retention : Don't fill a leaky bucket
     บทนี้ว่าด้วยเรื่องจำอย่างไรไม่ให้ลืมค่ะ เพราะเรื่องที่เราจะเรียนมีมาก บางคร้้งก็เรียนได้หน้าลืมหลัง เวลาผ่านไป จบโปรเจคก็ลืมเรื่องที่เรียน

    8. Intuition : Dig deep before building up
     คือเราควรจะเชียวชาญและรู้จริงในแต่ละหัวข้อย่อยที่เราเรียน เหมือนพื้นฐานแน่น จะไปต่อก็แน่นน่ะค่ะ วิธีที่จะทำให้พื้นฐานของเราแน่น คือ การตั้งคำถามค่ะ ถามกับตัวเองในเรื่องที่เรียน คำถามโง่ๆ ก็ได้ค่ะ ก็ถามตัวเองเนอะ และก็อธิบายคำตอบกับตัวเอง ถาม-ตอบกับตัวเองนั่นแหละค่ะ ถ้าตอบไม่ได้ แสดงว่ายังรู้ไม่แน่น ก็กับไปศึกษาเพิ่มเติม -- บางครั้ง เราก็หลงตัวเองค่ะ คือเราคิดว่าเรารู้เรื่องนี้ดีแล้ว แต่พอเจอคำถามไป หรือพอให้อธิบายเรื่องที่เรียนมานี้ ให้กับคนที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย เรากลับไม่สามารถอธิบายได้ นั่นแสดงว่าเรายังรู้ไม่จริงค่ะ

    9. Experimentation : Explore outside your comfort zone
     ถึงเวลาเอาสิ่งที่เรียนมา มาสร้างความแตกต่างแล้วค่ะ -- ในบทนี้ยกตัวอย่างจิตกรชื่อดัง แวน โก๊ะห์ ผู้ซึ่งฝึกหัดการวาดภาพเอาตอนที่อายุมากแล้ว ชายผู้ซึ่งล้มเหลวในการเป็นพระนักบวชอย่างบิดา -- แวน โก๊ะห์ ฝึกวาดภาพตามแนวนิยมสมัยนั้น เรียนรู้หลายๆ เทคนิค ฝึกฝนอย่างหนัก และสุดท้าย เขาก็พัฒนาเทคนิคการวาดภาพของเขาขึ้นมาเองค่ะ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างไม่เหมือนใคร -- ในบทนี้ ผู้เขียนเล่าถึงเทคนิคในการทดลองสิ่งใหม่ๆ ค่ะ - (ส่วนตัวแล้ว เนื่องจากอยู่เนเธอร์แลนด์ และบ้านอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านแวน โก๊ะห์ ที่นักท่องเที่ยวชอบมาปั่นจักรยานเยี่ยมชมกัน อยากจะแย้งผู้เขียนจับใจว่า แต่..แวน โก๊ะห์ตายอย่างยากจนนะ คือการทดลองสิ่งใหม่ๆ ถ้าสังคม ณ ขนาดนั้นยังไม่พร้อมที่จะรับ ผลลัพธ์มันก็ออกมาไม่สวยนา) 

หลังจากนั้นในหนังสือ อีกสองบทที่เหลือ ก็กล่าวถึง การนำ ultralearning มาปรับใช้กับตัวเองค่ะ กับโปรเจคที่ตัวเองต้องการจะเรียน และอีกบทก็กล่าวถึงการนำ ultralearning มาใช้กับลูก เพื่อฝึกให้เขามีนิสัยในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง (หรือจะนำมาใช้กับตัวเองในการกระตุ้นให้ยังคงเรียนอยู่ต่อไปก็ได้นะคะ)

สรุปคือ การเรียนรู้วิชาอะไรก็ตามด้วยตนเอง โดยไม่ไปโรงเรียน เข้าเรียนตามระบบการศึกษาปกติ เป็นเรื่องที่ต้องใช้วินัยอย่างมากค่ะ และต้องฝึกให้เป็นนิสัย -- หนังสือเล่มนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีค่ะ อ่านแล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ของเรา และเรื่องที่เราจะเรียนรู้ด้วยตนเอง

จัดว่าเป็นหนังสือน่าอ่าน และมีประโยชน์เล่มหนึ่งเลยค่ะ ส่วนตัวเห็นว่า สไตล์การเขียนไม่ค่อยจะสุดๆ คือสไดล์การเขียน อ่านแล้ว ไม่รู้สึกฮึกเหิม ปลุกใจแบบหนังสือให้กำลังใจ แต่ครั้นจะเป็นวิชาการด้านการศึกษาก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ผู้เขียนเขียนแบบรายละเอียดบรรยายเยอะเกินไป ทำให้จับประเด็นสำคัญในแต่ละหัวข้อลำบาก -- ช่วงบทแรกๆ รู้สึกว่าเป็นหนังสือที่น่าเบื่อมากค่ะ แต่พอทนอ่านไปได้สักครึ่งเล่ม ก็เริ่มได้เรียนรู้ เริ่มเห็นไอเดียที่จะนำสิ่งที่อ่านมาปรับใช้กับตัวเองค่ะ ... แต่อย่างที่เกริ่นไปตอนแรกนะคะ การวิจารณ์ครั้งนี้อาจมีความไม่ถูกต้อง เนื่องจากเพิ่งอ่านหนังสือแนวการเรียน การศึกษาเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก (ก่อนหน้านี้เคยลงทะเบียนเรียนคอร์สออนไลน์เรื่อง learn how to learn อันโด่งดังไป แต่ไม่สามารถทนเรียนจนจบได้ค่ะ คือไม่ใช่แนวอย่างแรง)



Tuesday, September 3, 2019

ELEVATION





หนังสือชื่อ  :  ELEVATION

ผู้แต่ง  :  Stephen King

สำนักพิมพ์  :  Scribner


ยืมหนังสือเล่มนี้มาจากห้องสมุดค่ะ เห็นว่าเป็นนิยายเล่มเล็กๆ ของสตีเฟ่น คิง -- เมื่ออ่านจบแล้ว อยากจะวิจารณ์ว่า เหมาะกับการอ่านเล่นๆ สนุกๆ ค่ะ คือไม่ได้มีเนื้อหาซับซ้อนอะไรมาก เหมาะกับถ้าต้องการหาอะไรเบาๆ อ่าน 

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของชายที่ชื่อว่า Scott Carey ค่ะ เป็นชายวัยกลางคน ตัวอ้วน แบบคนอเมริกาที่ไม่ค่อยออกกำลังกายน่ะค่ะ -- แต่ตอนนี้ปัญหาก็คือ Scott เริ่มน้ำหนักลดค่ะ (ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องดี) แต่ที่ไม่ดีคือ Scott น้ำหนักลดเฉลี่ยวันละ 1 ปอนด์ แถม..แถม สัดส่วนของเขาไม่ลดเลย คือยังคงดูอ้วนเหมือนเดิม และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเขาจะใส่เสื้อผ้า ใส่ก้อนน้ำหนักถ่วงให้เสื้อผ้าเขาหนักขึ้น แต่พอขึ้นตาชั่ง น้ำหนักของเขาก็กลับยังคงเท่าเดิม 

ว่าง่ายๆ คือ อะไรที่เขาจับ เขาสวมใส่ สิ่งนั้นจะกลายเป็นวัตถุที่ไร้น้ำหนักไปโดยทันที!

ในหนังสือ Scottไม่ได้พยายามหาค่ะว่าสาเหตุที่เขาน้ำหนักลดฮวบๆ แบบนี้เกิดจากอะไร -- เหมือน Scott จะทำใจได้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว น้ำหนักเขาจะลดลงไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเหลือศูนย์ และเขาก็จะลอยออกไปในอวกาศ

สิ่งที่ Scott กังวล และพยายามแก้ไขก่อนที่เขาจะจากไป คือพยามที่จะผูกมิตรกับเพื่อนบ้านคู่เลสเบี้ยน ที่เพิ่งย้ายมาเปิดร้านอาหารในเมืองนี้ Scott พยายามที่จะทำให้ชาวเมืองยอมรับเพื่อนบ้านคู่นี้ค่ะ (ชาวบ้านแถวนั้นค่อนข้างหัวอนุรักษ์นิยม แบบรู้สึกอึดอัดใจกับคู่แต่งงานเลสเบี้ยนน่ะค่ะ) 

เนื้อหาในหนังสือ ก็ประมาณนี้ล่ะค่ะ คือมันมีความลึกลับตามสไตล์สตีเฟ่น คิง เรื่องน้ำหนักของ Scott ที่ลดแบบไม่มีเหตุผล แต่ผู้เขียน กลับไม่ได้หยิบประเด็นนี้มาหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น  หรือพยายามยับยั้งไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่กลับยอมรับสภาพ และใช้เวลาช่วงสุดท้ายให้ดีที่สุด ประมาณนี้

เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับการอ่านเรื่อยๆ ค่ะ ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยสนุกเท่าไรค่ะ

Saturday, May 25, 2019

The Redeemer





หนังสือชื่อ  :  The Redeemer

ผู้แต่ง  :  Jo Nesbo

ผู้แปล  :  Don Bartlett

สำนักพิมพ์  :  Vintage Books

เป็นหนังสือที่อ่านสนุกค่ะ สารภาพว่าอ่านหนังสือเล่มนี้จนเสียงานเสียการเลยค่ะ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอาไว้อ่านแบบวันละบทสองบทก่อนนอน จบเมื่อไรก็เมื่อนั้น ... แต่กลายเป็นว่า พอได้อ่านเท่านั้นแหละ อะไรก็หยุดไม่ได้ ไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยกเว้นแต่อ่านหนังสือเล่มนี้เท่านั้นเลยค่ะ 

เป็นหนังสือสืบสวนในชุดของสารวัตรแฮรี่ โฮล เช่นเคยค่ะ The redeemer คือ พระผู้ไถ่ คือในศาสนาคริสต์เขาเชื่อเรื่องการไถ่บาป เกี่ยวกับตอนที่พระเยซูถูกทรมานและตรึงไม้กางเขน และอีกสามวันถัดมาทรงฟื้นขึ้นมา ศาสนาคริสต์เขาเชื่อว่า พระเยซูทรงสละชีพเพื่อไถ่มนุษย์ให้รอดจากปาบค่ะ

ในหนังสือพัวพันเกี่ยวกับเรื่องของ Salvation Army หรือ ทหารของพระคริสต์ เป็นองค์กรที่มีตัวตนจริงๆ นะคะ เป็นองค์กรของศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสเตนท์ค่ะ องค์กรนี้ไม่ใช่ทหารแบบที่มีกองกำลัง มีอาวุธอะไรน่ากลัวๆ นะคะ แต่เพียงเป็นเหมือนองค์กรการกุศล ช่วยเหลือคนยากไร้ เช่นที่ เนเธอร์แลนด์ องค์กรนี้ก็มีร้านขายเฟอร์นิเจอร์มือสองถูกๆ ให้คนยากจนได้ไปซื้อมาใช้กัน หรือในหนังสือ องค์กรนี้ก็ช่วยแจกอาหารฟรีแก่คนจรจัดไร้บ้าน -- เพียงแต่ชื่อ Army ก็เพราะภายในองค์กรมีการจัดลำดับการปกครอง และการเลื่อนยศอะไรเหมือนกับในกองทัพ และก็มีเครื่องแบบคล้ายๆ ทหารน่ะค่ะ

บทแรกของหนังสือเล่าเรื่องในอดีต ผ่านสายตาของเด็กผู้หญิงอายุ 14 คนหนึ่งค่ะ ที่ถูกข่มขืนกลางดึกของคืนวันหนึ่ง -- หนังสือไม่ได้บอกในตอนแรกว่า เด็กผู้หญิง หรือคนข่มขืนคือใคร ???

บทต่อๆ มาในหนังสือ กลับมาช่วงเวลาปัจจุบัน เป็นเรื่องของมือปืนรับจ้างชาวโครเอเชียคนหนึ่ง ที่ถ่อมาถึงกรุงออสโล เพื่อพยายามทำการสังหาร Jon Karlsens ค่ะ -- นาย Jon เนี่ยเป็นสมาชิกของ Salvation Army ค่ะ เป็นผู้ดูแลอสังหาริมทรัพย์ของ Salvation Army ในนอร์เวย์ค่ะ และเป็นตัวแทนสำคัญชิงตำแหน่งหัวหน้าของ Salvation Army ด้วยค่ะ

เรื่องมันซับซ้อนเมื่อ มือปืนผู้ซึ่งทำงานไม่เคยพลาด ดันมาพลาดงานนี้ ยิงผิดคนค่ะ ดันไปสังหารพี่ชายของ Jon ชื่อ Robert แทน -- ดังนั้น มือปืนเลยต้องตามเก็บงานให้เสร็จก่อนที่จะบินกลับค่ะ

สารวัตรแฮรี่ โฮลต้องมารับบทสืบสวนคดีนี้ค่ะ พร้อมกับมีเจ้านายคนใหม่ (คนเก่าเกษียณ) คู่หูคนใหม่ (คนเก่าโดนฆ่าตาย) -- ตอนแรก แฮรี่ ไม่ทราบค่ะว่าเป็นการสังหารผิดคน ดังนั้นจึงสอบสวนหาเหตุจูงใจว่าทำไมมือปืนจึงต้องการสังหาร Robert ชายผู้ซึ่งไม่เคยมีเรื่องกะใคร -- แต่ระหว่างที่สอบปากคำ Jon ที่ในอพาร์ทเมนต์ของ Jon นั้น มือปืนตามมากะจะสังหาร Jon ค่ะ แต่สารวัตรแฮรี่ของเราช่วย Jon เอาไว้ได้ 

นั่นคือการเริ่มต้นของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดค่ะ มือปืนผู้ไม่มีความกลัว ตามล่าเพื่อจะสังหาร Jon ให้ได้ค่ะ ส่วนแฮรี่กับทีมก็ต้องปกป้องชีวิต Jon ให้ได้ พร้อมๆ กับต้องสอบสวนหาสาเหตุของการตามล่าครั้งนี้ 

เรื่องนี้มือปืนมีความพิเศษตรงที่ไม่ค่อยมีใครจำหน้าตาเขาได้ค่ะ พยานจำได้แต่เครื่องแต่งกาย แต่ไม่สามารถระบุหน้าตาของเขาได้เลย

เรื่องซับซ้อน หักมุมตามสไตล์ Jo Nesbo เลยค่ะ พัวพันไปจนถึงการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขององค์กรทหารพระคริสต์ ลูกสาวของหัวหน้าองค์กร การล่วงละเมิดทางเพศเด็กสาว เศรษฐีนักธุรกิจชาวนอร์เวย์ การสังหารโหดสองศพ การคอรัปชั่นของตำรวจ ปัญหาของเจ้านายเก่าแฮรี่  .. บอกเลยว่าสนุก จนวางไม่ลงเลยค่ะ

Monday, May 13, 2019

Inspector Morse : Last Seen Wearing






หนังสือชื่อ  :  Inspector Morse ตอน Last Seen Wearing

ผู้แต่ง  :  Colin Dexter

สำนักพิมพ์  :  Pan Books


เดิมทีออยเป็นแฟนซีรี่ย์เรื่อง Endeavour Morse เป็นเรื่องสืบสวนของนักสืบที่เป็นรุ่นลูกของนักสืบ Morse ค่ะ (สารภาพว่าส่วนหนึ่งชอบเพราะ พระเอกหล่อดีค่ะ อิ อิ)
ต่อมาเลยได้รู้ว่า มันมีซี่รี่ย์สมัยเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วได้รับความนิยมมากในอังกฤษ ชื่อ Inspector Morse ซึ่งซีรีย์เรื่องนี้ก็ดัดแปลงมาจากหนังสืออีกค่ะ หนังสือก็ชื่อเดียวกันกับซี่รีย์ คือ Inspector Morse เขียนโดยนักเขียนชาวอังกฤษชื่อ Colin Dexter ค่ะ -- Last Seen Wearing เล่มนี้เป็นเล่มที่สอง ในหนังสือชุด Inspector Morse ค่ะ แต่เป็นเล่มแรกที่ออยได้มีโอกาสอ่านของนักเขียนท่านนี้ 

เรื่องเริ่มโดยนักสืบ Morse นายตำรวจ ณ เมืองอ๊อกฟอร์ด ถูกเจ้านายสั่งให้สอบสวนการหายไปของเด็กสาวอายุ 17 คนหนึ่งค่ะ ชื่อ Valerie Taylor เธอหายไปตั้งแต่เมื่อสองปีสามเดือนที่แล้วค่ะ -- ปกติมันเป็นคดีคนหายธรรมดาไงคะ เด็กวัยรุ่นหนีออกจากบ้าน สมัครใจหนีออกจากบ้าน บ้างสุดท้ายก็กลับมาหาพ่อแม่ แต่บ้างก็ไม่กลับมาเลย -- แต่ที่มันกลายเป็นต้องรื้อคดีก็เพราะ เพื่อนตำรวจด้วยกันคือ นักสืบ Ainley ซึ่งเป็นตำรวจคนที่รับเรื่องทำคดีนี้ตั้งแต่แรก ให้ความสนใจกับคดีนี้อย่างมาก รบเร้าเจ้านายให้ฟื้นคดีขึ้นมา หรือจนกระทั่งใช้เวลาวันหยุดของตัวเอง เดินทางไปสืบสวนอย่างเป็นส่วนตัวที่ลอนดอน  และสุดท้ายโดนอุบัติเหตุ? ถูกรถชนเสียชีวิต

เรื่องมันดูมีเงื่อนงำก็คือเมื่อตำรวจ Ainley เสียชีวิตได้แค่วันเดียว วันถัดมา พ่อและแม่ของ Valeria ก็ได้รับจดหมายจาก Valeria บอกว่าสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง

นักสืบ Morse กับคู่หู นักสืบ Lewis มารับงานนี้ และต้องปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ -- ได้รู้ว่า Valeria เป็นเด็กสาวที่สวย มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม และดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน และหนึ่งในนั้นดูเหมือนจะเป็นคุณครูของเธอเอง และดูเหมือนว่าก่อนหายตัวไป เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย! 

นักสืบ Morse นั้นตั้งธงตั้งแต่แรกเลยค่ะ ว่า Valeria เสียชีวิตแล้ว และจดหมายนั้นถูกปลอมเขียนขึ้นมา ในขณะที่นักสืบ Lewis เช่ื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ และเจ้าหน้าที่พิสูจน์ลายมือก็ยืนยันว่าจดหมายนั้นเขียนโดย Valeria เองค่ะ

จริงๆ เรื่องมันไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรมากมายค่ะ (คือนี่สรุปตอนรู้เฉลยเมื่ออ่านจบแล้วนะคะ) แต่สไตล์การเขียนทำให้อ่านสนุก จนวางไม่ลง เพราะผู้เขียน เขียนเล่าความคิดของทั้งนักสืบ Morse และ Lewis ซึ่งทั้งคู่มีทฤษฎีความเป็นไปได้มากมาย เราคนอ่านไม่รู้อะไรมากไปกว่าที่นักสืบทั้งคู่รู้ -- แต่มีหลายครั้งที่ดูเหมือนนักสืบ Morse และ Lewis จะเกิดไอเดียบางอย่าง หรือเริ่มจุดประกายว่าใครเป็นคนร้าย แต่ผู้เขียนไม่ยอมบอกคนอ่านค่ะ ทำให้เราต้องอ่านต่อบทต่อไป 

หนังสือเล่มนี้อ่านไปก็ทั้งสนุก ทั้งขัดใจค่ะ คือตอนแรกเหมือนนักสืบ Morse จะมั่นใจแล้วว่าใครเป็นคนร้าย แต่ทำไปทำมา ดันมีหลักฐานที่ยืนยันว่า คนที่คิดไว้แต่แรกน่ะ ไม่ใช่ -- ขัดใจมากตอนอ่านมาจะเกือบจะจบเล่มแล้ว ยังไม่รู้แน่ชัดเลยว่า Valeria นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่! -- และสุดท้าย ถึงแม้จะอ่านจบเล่มแล้วก็ตาม เฉลยแล้วว่าใครคือคนร้าย แต่ผู้เขียนไม่ได้สรุปแรงจูงใจ หรือวิธีการค่ะ -- คือปกติ นิยายนักสืบบางเล่ม แค่อ่านบทสุดท้ายก็สามารถเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว แต่เล่มนี้แตกต่างค่ะ คือควรอ่านตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ข้ามหน้า จึงจะลำดับเหตุการณ์ได้ทั้งหมดค่ะ (นั่งลำดับเหตุการณ์ในใจเองด้วยนะ เพราะไม่มีเฉลยละเอียด) 

สรุปคือ สนุกค่ะ ภาษาที่ใช้บรรยายเหตุการณ์ต่างๆ ก็สวย ตอนแรกอ่านก็หงุดหงิดตรงที่นักสืบของเราทั้งคู่มีทฤษฎีมากมายหลายทฤษฎีด้วยกัน ว่าคนนั้นคนนี้เป็นคนร้าย แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ แต่พอมาคิดดู ในสถานการณ์แบบนั้น ความจริงไม่ชัดเจน แถมวิทยาการการพิสูจน์หลักฐานอะไรก็ไม่ได้ก้าวหน้าแบบสมัยนี้ ก็ต้องอาศัยการอนุมาน เดาสุ่ม จนกระทั่งได้คำตอบที่ถูกต้องที่สุดแบบที่นักสืบทั้งสองทำนั่นแหละ


Sunday, March 10, 2019

The Redbreast





หนังสือชื่อ  :  The Redbreast

ผู้แต่ง  :  Jo Nesbo

ผู้แปล  :  Don Bartlett

สำนักพิมพ์  :  Vintage Books


หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่ 3 ในซี่รี่ย์ชุดของสารวัตรแฮรี่ โฮล ค่ะ -- โดย Redbreast เป็นชื่อของนกตัวเล็กๆ หน้าอกสีแดงส้มค่ะ โดยตอนเริ่มเรื่อง Ellen คู่หูของสารวัตรโฮลเล่าให้ฟังว่า นก Redbreast เนี่ย ปกติพอหน้าหนาวก็จะอพยพหนีหนาวไปยังประเทศที่อุ่นกว่า หากแต่มีบางส่วน เป็นส่วนน้อย ที่ยอมเสี่ยง ไม่ยอมอพยพ และยอมทนหนาวอยู่ในนอร์เวย์ ไม่ใช่เพราะพวกมันขี้เกียจ แต่การไม่อพยพ ถ้าพวกมันรอดหน้าหนาวไปได้ พวกมันจะได้เปรียบในการเลือกที่ทำรังดีๆ ก่อนใคร

เรื่องมันเริ่มจากประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามาเยือนนอร์เวย์ค่ะ นักสืบโฮลและคู่หูได้รับมอบหมายให้ร่วมในการตรวจความเรียบร้อยอารักขาประธานาธิบดี -- เรื่องมันมาวุ่นวายตรงที่ ตำรวจนอร์เวย์กับตำรวจหน่วยพิเศษของนอร์เวย์ (ค่ะ ประเทศเดียวกันนั่นแหละ แต่คนละหน่วยงาน) ดันไม่ประสานกันว่าใครอยู่จุดไหนยังไง -- แฮรี่ โฮล พระเอกของเราก็ดันตาดี เห็นชายถือปืนติดอาวุธ เลยรีบเขาไปยิงสกัด --- กลายเป็นว่าคนที่โดนยิง คือพวกเดียวกันเอง -- แต่คราวนี้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเห็นว่า ถ้านักข่าวรู้สาเหตุว่ามีการยิงเกิดขึ้นในงานสำคัญแบบนี้ จะยิ่งทำให้ทุกอย่างดูแย่ขึ้น -- อย่ากระนั้นเลย แก้ปัญหาด้วยการโปรโมทพระเอกของเราให้เป็นฮีโร่ดีกว่า ว่าแล้วก็เลื่อนยศแฮรี่ โฮลให้เป็นสารวัตร และย้ายให้มาทำงานที่หน่วยพิเศษ (POT) แทนค่ะ

ที่ POT สารวัตรโฮล ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำสำคัญๆ นักค่ะ แต่ก็นะ สารวัตรดันไปผ่านตาข่าวชิ้นหนึ่ง ก็แค่คนซ้อมยิงปืนกับต้นไม้ในพื้นที่ไกลปืนเที่ยง -- แต่ที่สะดุดใจสารวัตรโฮลคือ ปืนที่ใช้ คือ ปืนไรเฟิลรุ่น Marklin -- ปืนนี้เอามาล้มช้างยังได้เลยค่ะ ประสิทธิภาพสูงมาก ราคาในตลาดมืดก็สูงมากๆ เช่นกัน -- ทำให้สงสัยว่าคนร้ายกำลังคิดการใหญ่อะไรอยู่ ???

หนังสือในช่วงต้นๆ ของเล่ม เขียนเล่าเรื่องสลับไปมาค่ะ ระหว่างเรื่องในตอนปัจจุบัน (ปัจจุบันของคนแต่งคือปี 2000 ค่ะ) กับเรื่องในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปี 1944 เป็นเรื่องของกลุ่มทหารนอร์เวย์ที่เป็นอาสาสมัครให้นาซีเยอรมัน และไปรบในแนวหน้าน่ะค่ะ -- คืออ่านแล้วจะเหมือนเหตุการณ์ในอดีตส่งผลต่อปัจจุบันน่ะค่ะ 
เสน่ห์ของหนังสือคือ เรื่องเล่าอดีต-ปัจจุบันที่สลับไปมา ทำให้เราผู้อ่านรู้แน่ๆ ว่ามันต้องเชื่อมโยงกัน แต่เรายังหาความเชื่อมโยงอย่างแน่ชัดไม่ได้ค่ะ ทำให้ต้องตามอ่านมาเรื่อยๆ 
อีกอย่างคือ แค่เราคนอ่านเท่านั้นค่ะ ที่รู้เรื่องเหตุการณ์ในอดีต ในขณะที่สารวัตรโฮลไม่รู้เรื่องนี้ และพยายามสืบสวนอย่างเต็มที่ ตรงนี้ก็ชวนให้เราลุ้นหน่อยๆ ให้สารวัตรรู้เหมือนที่เรารู้
 
และถึงแม้ว่า อ่านมาขนาดกลางๆ เล่ม เราคนอ่านจะรู้แล้วว่า คนร้ายต้องเป็นกลุ่มทหารผ่านศึกนอร์เวย์ที่เคยเป็นอาสามัครช่วยรบกับฝ่ายฮิตเลอร์ในสงครามโลกครั้งที่สอง เรารู้ถึงชื่อว่ามี 5 คน ชื่ออะไรบ้าง แต่เราก็ยังเชื่อมโยงไม่ได้ค่ะ ว่า 1 ใน 5 ที่เป็นคนร้ายคือใคร -- และแรงจูงใจของการปฏิบัติการครั้งนี้คืออะไร (แรงจูงใจเนี่ย อ่านมาจนจะจบเล่มค่ะ ถึงได้เฉลย)

ทุกเหตุการณ์ในหนังสือที่อ่านแล้วดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน เช่น กลุ่มนีโอนาซี , The prince, แฟนใหม่สารวัตรโฮล  คือกลายเป็นว่า สุดท้ายมันเชื่อมกันไปหมดเลยค่ะ เขียนวางปมได้ดีมากเลยค่ะ ทำให้สนุก จนต้องอ่านทุกรายละเอียด ข้ามไม่ได้เลยค่ะ เพราะถ้าข้าม ตอนเฉลยสุดท้ายจะงงว่ามาได้ยังไง ...

เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอีกเล่มหนึ่งเลยค่ะ เสียดายนิดหนึ่งตรงที่มาอ่านหนังสือเล่มนี้เอาตอนปี 2019 ตอนอ่านก็เลยต้องทำอารมณ์นิดหนึ่งว่า เล่มที่อ่านคือปี 2000 การสือสารอะไรๆ ที่เขียนในหนังสือก็เลยยังไม่ทันสมัย รวดเร็วเท่าสมัยนี้