Wednesday, February 21, 2024

8 Rules of Love

 


หนังสือชื่อ  :  8 Rules of Love

ผู้เขียน  :  Jay Shetty

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


เป็นหนังสือที่อยากแนะนำให้คนที่ต้องการมีความสัมพันธ์ หรือรักษาความสัมพันธ์ที่จริงจังกับใครสักคนควรอ่านค่ะ ... นี่ไม่ใช่หนังสือรักๆ ใคร่ๆ โรแมนติกค่ะ มันเครียดกว่าที่คิด

ผู้เขียนเขียนโดยใช้คัมภีร์พระเวทของศาสนาฮินดูมาเป็นหลัก เนื่องจากผู้เขียนเคยบวชเป็นพระฮินดูมาก่อนน่ะค่ะ พระเวทบอกว่าความรัก มี 4 ระดับ แบ่งตามอาศรม คือ

1. Brahmacharya arhram --> เตรียมตัวที่จะรัก ซึ่งเริ่มต้นด้วยการรู้จักที่จะรักตัวเอง ในขั้นนี้มีกฎอยู่ทั้งหมด 2 ข้อ

2. Grhastha ashram --> ฝึกหัดรัก เรียนรู้ที่จะรักคนอื่น ในขณะที่ก็ยังรักตัวเองอยู่ด้วย ในขั้นนี้มีกฎ 3 ข้อ

3. Vanaprastha ashram -->  ปกป้องรัก เรียนรู้ที่จะรับมือกับข้อขัดแย้งระหว่างคนรัก พร้อมกันนั้นก็รู้ว่าเมื่อไรที่ถึงเวลาที่จะต้องปล่อยวางรักนั้น ในขั้นนี้มีกฎ 2 ข้อ

4. Sannyasa ashram --> รักที่สมบรูณ์ แพร่กระจายความรักไปยังทุกคน รักดิน รักน้ำ รักฟ้า ขั้นนี้มีกฎ 1 ข้อ

รวมทั้งหมดจึงเป็นกฎ 8 ข้อของความรักค่ะ

กฎข้อที่ 1 : Let Yourself be alone

อย่าเริ่มความสัมพันธ์เพียงเพราะกลัวที่จะอยู่คนเดียว หรือเพราะเหงา เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้เราถลำไปเลือกคนผิด ...คนที่ดีจะมาในเวลาที่เหมาะ 

ในข้อนี้ สอนให้เราเรียนรู้ที่จะสันโดษ ให้เวลาอยู่กับตัวเอง เรียนรู้ความเป็นตัวของตัวเอง อะไรที่เราชอบหรือไม่ชอบค่ะ 

กฎข้อที่ 2 : Don't ignore your karma

กรรมคือการกระทำ ข้อนี้สอนให้เราลองหาประสบการณ์ใหม่ และเรียนรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบสิ่งใหม่ที่ได้เรียนรู้นั้น 

กรรมในความหมายของคัมภีร์พระเวท คือ การตัดสินใจในปัจจุบันของคุณ (จะดีหรือไม่ก็ตาม) จะเป็นตัวกำหนดประสบการณ์ในอนาคตของคุณ ... ดังนั้น กฎข้อนี้คือ ให้เราลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นั่นเอง โดยทำไปเพื่อตัวเองค่ะ ไม่ใช่เพื่อหาคู่แต่อย่างใด จำไว้ว่า อะไรที่เราต้องการได้รับจากคนอื่น อย่างแรกคือเราต้องให้สิ่งนั้นแก่ตัวเองก่อน เช่น อยากได้ความเคารพจากคนอื่น ก็ต้องเริ่มด้วยการเคารพตัวเองก่อน

กฎข้อที่ 3 : Define love before you think it, feel it, or say it

เตรียมตัวสำหรับการออกเดท เตรียมตัวสำหรับคู่ชีวิตในอนาคต ในข้อนี้นำเสนอ กฎ three-date rule คือ 

เดทแรก --> ถามตัวเองว่าเราชอบบุคลิกของเขาหรือไม่ ชอบหน้าตา หรือนิสัยของเขาหรือไม่  ถ้าชอบก็คบต่อ 

เดทสอง --> ถามตัวเองว่าเราชอบสิ่งที่เขาทำหรือไม่ แนวคิด ทัศนคติของเขาหรือไม่ ถ้าชอบก็คบต่อ

เดทสาม --> เป้าหมายในชีวิตของเขาคืออะไร เรารับได้หรือไม่ และพร้อมที่จะช่วยให้เขาบรรลุถึงเป้าหมายนั้นหรือไม่

คือให้คิดซะว่า กำลังหาเพื่อนร่วมทีมน่ะค่ะ ... นี่ไม่ใช่หนังสือรักโรแมนติก แต่คือหนังสือที่สอนให้รักแบบใช้สมอง

กฎข้อที่ 4 : Your partner is your guru

เมื่อเป็นคนรักกันแล้ว ให้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน

กฎข้อที่ 5 : Purpose comes first

ทุกคนต่างมีเป้าหมาย หรือความฝันในชีวิต ค้นหาให้เจอ และสนับสนุนซึ่งกันและกัน ...ผู้เขียนยกตัวอย่างเช่น คู่รักคู่หนึ่ง ฝ่ายหญิงต้องการเป็นนักธรรมชาติบำบัด ส่วนฝ่ายชายอยากฝึกซ้อมเพื่อลงแข่งไตรกีฬา (ความฝันในชีวิตไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเงิน หรืออาชีพนะคะ เป็นอะไรที่เราอยากทำ) ทั้งคู่จึงต้องวางแผนร่วมกันเพื่อให้ทั้งคู่บรรลุในสิ่งที่ฝัน

กฎไม่ได้สอนให้เราสละความฝันของเราเพื่อคนรัก แต่ให้เรามานั่งคุยกัน ประนีประนอมกันเพื่อให้บรรลุถึงสิ่งที่ฝันด้วยกันทั้งคู่

กฎข้อที่ 6 : Win or lose together

กล่าวถึงเรื่องข้อขัดแย้ง เวลามีเหตุที่ทำให้คู่รักต้องทะเลาะกัน เห็นไม่ตรงกัน ... บางครั้งต่างคนต่างเอาชนะคะคานกัน แต่ในฐานะที่เป็นคู่รักกัน ไม่มีคำว่าใครแพ้ใครชนะหรอกค่ะ ถ้าคนหนึ่งเถียงชนะอีกคน ก็แปลว่าแพ้กันทั้งคู่ ... เพราะทั้งคู่คือทีมเดียวกัน 

หนังสือเตือนด้วยว่า ส่วนใหญ่ความขัดแย้งใหญ่โตเกิดขึ้นจากการใช้ "โทนเสียง" ที่ผิด ...คือไม่ได้เจตนาแย่ แต่เมื่อคำที่ใช้มันบาดลึก หวังจะให้อีกฝ่ายเจ็บปวดให้มากที่สุด อีกฝ่ายก็เลยต้องตั้งป้อมป้องกันตัวเอง จากนั้นก็กลายเป็นอยู่กันคนละฝั่ง และก็ทะเลาะกันใหญ่โตบานปลาย...

กฎข้อที่ 7 : You don't break in a breakup

เมื่อไปต่อไม่ไหว ก็ต้องปล่อย ... กฎข้อนี้กล่าวถึงการเลิกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเราเป็นฝ่ายบอกเลิก หรือเป็นฝ่ายถูกเลิก ...การทำใจ การพยายามกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ชอบประโยคหนึ่งในหนังสือค่ะ บอกว่า

"Something is breaking, but you are not that something."

คือความสัมพันธ์อาจจะแตกสลาย แต่ไม่ใช่จิตวิญญาณในตัวเรา เรายังเป็นเรา และเราจะเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิต ในความสัมพันธ์ใหม่ในอนาคต

กฎข้อที่ 8 : Love again and again

ความรักที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าการรักกันระหว่างหนุ่มสาว คือความรักที่พร้อมให้แก่ทุกคน ถึงจุดที่เรียกว่า "กรุณา" ในพระเวท 

วิธีที่ดีที่สุดในการสัมผัสความรัก คือการให้ความรัก

หนังสือสอนให้รู้จักมอบความรักจากจุดเล็กๆ คือครอบครัว ขยายไปยังเพื่อน เพื่อนร่วมงาน ชุมชน คนแปลกหน้า องค์กร และโลก ... แค่ใจดีต่อกันบ้าง เมตตาต่อกันบ้างค่ะ

"You can seek love your whole life and never find it, or you can give love your whole life and experience joy."

---

ความรู้สึกระหว่างอ่านคือ ...เครียดอ่าาาาา... หวังว่าจะได้อ่านเรื่องรักโรแมนติก มาเจอรักแบบใช้สมอง 55 แต่ดีค่ะ อ่านแล้วต้องใจจะเอามาปรับใช้กับตัวเองเลยค่ะ รักก็เหมือนปลูกต้นไม้ล่ะค่ะ เราต้องรดน้ำ ดูแลทุกวัน ต้องใส่ใจในรัก 

หนังสือเขียนโดยอ้างอิงศาสนาฮินดู ซึ่งใกล้เคียงกับศาสนาพุทธค่ะ บางตอนยังอ้างถึงศาสนาพุทธมหายาน หรือนิกายเซน เพราะด้วยภูมิหลัง จึงทำให้คนไทยพุทธอย่างเราอ่านได้เข้าใจลึกซึ้งกว่าการอ้างพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเสียอีกค่ะ


No comments:

Post a Comment