Tuesday, December 11, 2012

Adapt : ปรับตัว ทำไมความสำเร็จมักเริ่มที่ความผิดพลาด



หนังสือชื่อ : ปรับตัว ทำไมความสำเร็จมักเริ่มที่ความผิดพลาด

ผู้แต่ง : Tim Harford

ผู้แปล : อรนุช อนุศักดิ์เสถียร

สำนักพิมพ์ : มติชน

ขายแล้วค่ะ !!!


     เป็นหนังสือเศรษฐศาสตร์ที่อ่านเข้าใจง่าย สนุก และได้แรงบันดาลใจค่ะ เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลง ทำให้ได้แง่คิดที่ว่า "จงยินดีรับความผิดพลาดด้วยความเบิกบานใจ" เพราะนั่นคือเราจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากความผิดพลาดนั้น จงทดลองกับไอเดียใหม่ๆ ถึงผลที่ได้จะออกมาไม่ได้อย่างหวัง ก็อย่าเลิกล้ม นำมาปรับปรุง และทดลองอีกครั้ง จนสำเร็จในที่สุด และก็อย่ายึดติดกับความสำเร็จนั้น ทำลายมัน และทดลองใหม่ เป็นวัฏจักรไปเรื่อยๆ :) ... ชีวิตคือการทดลอง

     หนังสือเริ่มต้น ด้วยความผิดพลาดมากมายของนักพยากรณ์ทางเศรษฐกิจที่ทำนายไว้เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ ดูเหมือนผู้เชี่ยวชาญก็ทำนายพลาด หรือบริษัทบางบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตที่ผ่านมา กลับประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรงในปัจจุบัน ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะว่า โลกใบนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่ใครจะวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องเเม่นยำ และดูเหมือนเราจะตามืดบอดกับอนาคตของเรามากกว่าที่เราคิด โลกนี้จึงเป็นโลกของการลองผิดลองถูก

      ผู้เขียนได้ยกตัวอย่าง ความเชื่อของกองทัพสหรัฐในสงครามอิรักว่า ถ้าเป็นฝ่ายล้ำหน้าในเทคโนโลยี มีข้อมูลพร้อม ก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น ในสงครามอิรัก การตัดสินใจจึงกระทำในห้องบัญชาการไฮเทค ภายใต้เครื่องคอมพิวเตอร์มากมาย ที่จับสัญญาณความผิดปกติต่างๆ จับความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา พวกผู้บัญชาการมีเเนวโน้มที่จะเชื่อว่า สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ผ่านจอคอมพิวเตอร์ แต่ความเชื่อนี้ ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ในอิรักดีขึ้น สถานการณ์ในอิรักดีขึ้นเมื่อกองทัพสหรัฐเรียนรู้จากความผิดพลาด และยอมให้ฝ่ายแนวหน้ามีอำนาจในการตัดสินใจ เพราะเหล่าแนวหน้ามี "ความรู้เกี่ยวกับสภาพการณ์ ณ เวลาและสถานที่หนึ่งๆ" ดีที่สุด ไม่มีทฤษฏีใดที่ใช้ได้ผลกับทุกสถานการณ์

     การแก้ปัญหา หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ก็อาจเกิดขึ้นจากการทดลอง เช่น เครื่องบินขับไล่สปิตไฟร์ซูเปอร์มารีน เครื่องบินขับไล่อันเกรียงไกรของอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเกิดจาก "การทดลองที่น่าสนใจ" โครงการเล็กๆ โครงการหนึ่ง หรือการค้นพบเส้นลองติจูด ที่นักดาราศาสตร์ของหอดูดาวหลวงไม่สามารถค้นหาวิธีคำนวณเส้นลองติจูดได้ จึงตั้งรางวัลให้กับผู้ที่แก้ปัญหานี้ได้ เป็นแรงจูงใจให้ช่างไม้ ชื่อ จอห์น แฮริสัน นำเสนอทางแก้ปัญหานี้ หรือการที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ ปฏิเสธที่จะให้ทุนวิจัยโครงการที่สามแก่ มาริโอ คาเพกกี เนื่องจากดู "เสี่ยงเกินไป" แต่คาเพกกีตัดสินใจที่จะเสี่ยง โดยการนำเงินวิจัยที่ได้จากสองโครงการแรกมาใช้ในโครงการนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการตัดต่อยีน และคาเพกกีได้รับรางวัลโนเบลทางการแพทย์

      บางครั้งการลงมือทำอะไรสักอย่าง ด้วยทัศนคติของการกลัวการล้มเหลว จึงทำให้เราพลาดโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งดีๆ ไป เพราะนี่คือเหตุผลที่ สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐตัดสินใจไม่ให้ทุนแก่ คาเพกกีในโครงการที่สาม เมื่อเรากลัวการล้มเหลว งานของเราจึงได้แต่ "ประคองตัว" แต่ไม่โดดเด่น ไม่ใช่นวัตกรรม ไม่สร้างความตื่นตะลึง

       หนังสือเล่มนี้ ยังได้กล่าวถึง งานของโมฮัดหมัด ยูนุส เจ้าของธนาคารกรามีนของศรีลังกา และเจ้าของรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ ที่ว่าความสำเร็จของเขา ก็มาจากการทดลองที่ล้มเหลวในตอนแรกเช่นกัน หนังสือยังได้กล่าวถึง การให้เงินความช่วยเหลือเเก่ประเทศที่ยากจนขององค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ว่ามีการวัดผลที่ฉาบฉวย ความเชื่อบางอย่างในอดีต เช่นการรักษาคนไข้ด้วยการสูบเลือดออก หรือเชื่อว่าควรให้เด็กทารกนอนคว่ำ เป็นความเชื่อที่ปราศจากการทดลองพิสูจน์ เมื่อไม่ได้ทดลอง และวัดผล แต่กลับเชื่ออย่างผิดๆ ผลออกมาก็ไม่ถูกต้อง และเราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย

       ในเเง่ของภาวะโลกร้อน ผู้เขียนได้วิจารณ์นโยบายของประเทศต่างๆ ที่เป็นนโยบายจาก "บนลงล่าง" คือมีการออกมาตรการต่างๆ โดยให้ใช้กับทุกคน หากแต่มาตรการเหล่านั้น ใช้ได้แค่กับสถานการณ์หนึ่งๆ กับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ครอบคลุมได้ทั้งหมด มันจึงดูเหมือนรัฐบาลกำลังสร้างสุนัขบลูด๊อกทางเศรษฐกิจขึ้นมา (สุนัขบลูด๊อก เป็นหมาพันธุ์ที่เราผสมขึ้นมาเอง มันจึงมีปัญหาทางสุขภาพหลายอย่าง) ผู้เขียนบอกว่า เนื่องจากรัฐบาลรู้เรื่องนี้น้อยที่สุด ดังนั้นหน้าที่ของรัฐบาลจึงควรเป็นเพียงแค่อำนวยความสะดวกในการแข่งขัน ไม่ควรเป็นผู้ออกระเบียบที่เฉพาะเจาะจงในระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อน
          
         ผู้เขียนพยายามบอกพวกเราว่า วิวัฒนาการฉลาดกว่าเรา และวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะเอาชนะกฏเกณฑ์ที่เรากำหนดขั้นเพื่อชี้นำเศรษฐกิจด้วย ดังนั้นถ้าเราปล่อยให้กระบวนการวิวัฒนาการแก้ปัญหาโดยอิสระแล้ว มันมักหาทางออกได้เอง

         แล้วกับระบบที่ไม่ควรมีข้อผิดพลาดล่ะ อย่างเช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือระบบการเงินการธนาคารโลก ตรงนี้ ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างความเหมือนกันอย่างน่ามหัศจรรย์ ในแง่ความซับซ้อนของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และระบบการเงินของอเมริกา แต่ระบบการเงินของอเมริการกลับคำนึงถึงความปลอดภัยน้อยกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาก ผู้เขียนบอกว่า ระบบความปลอดภัยบางครั้งก็เป็นภัย โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ทั้งอุบัติเหตุในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กับ AIA ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยที่ประสบวิกฤตทางการเงิน บทเรียนที่ได้จากวิกฤตเศรษฐกิจคือ เราไม่ควรสร้างโดมิโน หรือระบบการเงินที่เชื่อมโยงกัน จนกระทั่งเมื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งล้ม ธนาคารที่เหลือก็ซวนเซ เราควรสร้างสิ่งที่เรียกว่า "ประตูนิรภัย" เพื่อป้องกัน เนื่องจากเราไม่มีทางที่จะกำจัดความผิดพลาดได้ ดังนันเราควรออกแบบระบบให้เรียบง่าย แยกระบบที่มีความเสี่ยงสูงออกจากกัน กระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในการเเจงเบาะแสเมื่อเกิดความผิดพลาด และต้องเตรียมพร้อมเสมอกับอุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้

       ในแง่ขององค์กร เช่น บริษัท ก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวด้วยเช่นกัน ผู้เขียนได้ยกตัวอย่าง บริษัทกูเกิล ซึ่งกลยุทธ์ของกูเกิล คือไม่มีกลยุทธ์ การมีนโยบายให้พนักงานสามารถใช้ 20% ในเวลางานไปกับการ "ทดลอง" โครงการอะไรก็ได้ที่อยากทำ โดยไม่ต้องรออนุมัติด้วย!!! กูเกิลจึงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หลายอย่างที่ได้จากการทดลองนี้ (แต่แน่ล่ะ หลายๆ ก็ทดลองก็ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่โชคดีที่ไม่มีใครจำได้ ผู้คนจำได้แต่ความสำเร็จเท่านั้น)

         แล้วในแง่ชีวิตส่วนตัวของเราล่ะ ในทางจิตวิทยา การไม่ยอมรับความจริงว่าเราผิดพลาด เป็นความตึงเครียดในจิตใต้สำนึกเมื่อรับรู้ความคิดที่ขัดแย้งกัน เช่น เมื่อเราเล่นพนันแล้วเสีย บางคนจะถลำและเล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะ 
        
        ผู้เขียนแนะนำว่า เราควรจะมี "ก๊วนรู้ใจแต่ไม่เออออ" เพื่อนที่คอยชี้แนะ และให้คำปรึกษาสิ่งที่เราทำ เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาด และให้ผิดเป็นครู เมื่อเราต้องการทดลองทำสิ่งใหม่ เราควรสร้างพื้นที่ปลอดภัย แล้วทำการทดลองนั้น เช่น กันเงินบางส่วนไปลงทุนที่คนอื่นมองว่าเสี่ยง ถึงแม้จะขาดทุนในที่สุด แต่เราก็ยังมีเงินอีกส่วนเหลือ 

           ในโลกที่ซับซ้อน การทำอะไรครั้งแรกมักไม่ประสบผลสำเร็จ การรับเอาความคิดเรื่องการปรับตัวมาใช้ในชีวิตประจำวัน คือการยอมรับว่า เราจะล้มลุกคลุกคลานอยู่เนืองๆ แต่ขอให้เตือนตัวเองว่า การลองอะไรใหม่ๆ นั้น คุ้มค่า ความสำเร็จเพียงครั้งเดียวอาจพลิกชีวิตให้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ความล้มเหลวก็ไม่ได้ทำให้เราแย่ลง ตราบใดที่เราไม่ปฏิเสธความจริงแล้วถลำลึก

            สนใจอ่านหนังสือเล่มนี้ ซื้อต่อได้นะคะ ในราคา 125 บาท ซึ่งเป็นราคาลด 50% แล้วค่ะ ติดต่อได้ที่ kasibanoy@gmail.com ค่ะ







     

Wednesday, December 5, 2012

ผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก 2 : Why men marry bitches


 
หนังสือชื่อ : ผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก
 
ผู้แต่ง : Sherry Argov
 
ผู้เรียบเรียง : กาละแมร์ -   พัชรศรี เบญจมาศ
 
สำนักพิมพ์ :  วีเลิร์น
 
 
ขายแล้วค่ะ !!!
 
 
 
    ต่อจากเล่มที่แล้วค่ะ "ผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก : Why men love bitches" คราวนี้มาในสถานการณ์ที่ว่า เมื่อไรเขาจะขอเราแต่งงานสักที หรือเห็นเราเป็นแค่คู่ควงเล่นไปวันๆ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ เขารับรองว่า จะเป็นวิธีพลิกชีวิตสาวโสดขี้เหงาไปสู่เจ้าสาวในฝัน!!! 
 
    เหมาะสำหรับสาวเจ้าที่เริ่มสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อผู้ชายที่เธอคบมาก็ตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววเขาจะขอเธอแต่งงานสักที หรือเขาตีตัวออกห่างหลังจากมีอะไรกัน
 
     หนังสือเล่มนี้ จะทำให้เราเข้าใจกระจ่างขึ้นค่ะ ถึงความสัมพันธ์ของเรากับเขาคนนั้น เคล็ดลับมันอาจจะอยู่ที่ ถ้าเมื่อไรที่เราพูดทำว่า "แต่งงาน" น้อยลง การแต่งงานก็อาจจะมาเร็วขึ้นเท่านั้น หรือบางสถานการณ์ อาจทำให้เราได้มีโอกาสทบทวนตัวเอง และยอมรับว่า ท่าทางความสัมพันธ์ของเรานั้น "จะเสียเวลาเปล่า"
 
     หนังสือเล่มนี้เหมาะกับสาวร้าย หัวเเข็งค่ะ เธอผู้รักในศักดิ์ศรี และเชื่อว่า "เธอมีดีพอ!!" ดังนั้นเมื่อเธอยอมรับว่า ดูท่าความสัมพันธ์ในครั้งนี้ จะไปไม่รอด...สวยเลือกได้อย่างเธอ จะไม่เคยแม้แต่จะคิดว่า "ฉันไม่ดีตรงไหน ทำไมเขาไม่มาขอสักที" แต่เธอจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า "อีตานั่น คู่ควรกับฉันหรือเปล่า!!!???"
 
     สนใจซื้อต่อ ในราคาลด 50% แล้ว คือ 90 บาท บวกค่าจัดส่งอีก 50 บาท ก็ติดต่อมาได้ค่ะ ที่ kasibanoy@gmail.com
 

Tuesday, December 4, 2012

7 กลยุทธ์สู่ความมั่งคั่งและความสุข


หนังสือ : 7 กลยุทธ์สุ่ความมั่งคั่งและความสุข
ผู้แต่ง : Jim Rohn
ผู้แปล : กำธร เก่งสกุล
สำนักพิมพ์ : ต้นไม้


 ขายแล้วค่ะ !!!
 

    ใครๆ ก็อยากรวย และมีความสุขกันทั้งนั้น หนังสือเล่มนี้ บอกว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราสามารถมีทั้งความร่ำรวย และความสุขไปพร้อมๆ กันได้ เป็นหนังสืออีกเล่มที่จะปลุกแรงบันดาลใจของคุณค่ะ
    ผู้เขียนได้นำเสนอ 7 กลยุทธ์เพื่อความมั่งคั่ง และความสุขในชีวิต อันประกอบไปด้วย
  1. ปลดปล่อยอำนาจของเป้าหมาย
  2. แสวงหาความรู้
  3. เรียนรู้วิธีเปลี่ยนแปลง
  4. ควบคุมการเงินของคุณ
  5. ควบคุมเวลา
  6. แวดล้อมตัวคุณด้วยผู้ชนะ
  7. เรียนรู้ศิลปะของการดำเนินชีวิตที่ดี
    รายละเอียดทั้งหมดมีอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้วค่ะ ลดราคา 50% เหลือ 110 บาท และค่าจัดส่งอีก 50 บาทค่ะ สนใจซื้อต่อได้ที่ kasibanoy@gmail.com
    


ฟายน์แมน อัจฉริยะโลกฟิสิกส์


หนังสือชื่อ : ฟายน์แมน อัจฉริยะโลกฟิสิกส์
ผู้แต่ง : Richard P. Feynman
ผู้แปล : นรา สุภัคโรจน์
สำนักพิมพ์ : มติชน


ขายแล้วค่ะ !!!

    หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประวัติของ Mr. Feynman อัจฉริยะอารมณ์ดีนี้ เป็นหนึ่งในสิบของนักฟิสิกส์ยอดเยี่ยมของโลกตลอดกาล (แน่นอน...ในนั้นมีไอสไตน์รวมอยู่ด้วย) เป็นเจ้าของรางวัลโนเบล เป็นบิดาแห่งนาโนเทคโนโลยี และเป็นครูในตำนาน
      หนังสือเขียน อ่านสนุกค่ะ ทำให้เห็นถึงอารมณ์ขันของฟายน์แมน หนังสือเริ่มตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็กของเขา ที่มีแววอัจฉริยะ ด้วยการสามารถซ่อมวิทยุด้วยการคิด!!! พอโตขึ้นมาหน่อยก็พูดภาษาอิตาเลียนได้ไฟแลบ ทั้งที่ไม่เคยเรียน (ต้องอ่านเบื้องหลังเอาเองค่ะ ว่าทำได้ไง) มีเวลาว่าง ก็ศึกษาการเดินของมด หาวิธีจีบหญิง แกล้งอำคนอื่น ฝึกงัดตู้เซฟ (แบบมีมาดด้วย ทำเอาทุกคนทึ่งไปตามๆ กัน)
      เนื่องด้วยหนังสือเล่มนี้ เขียนด้วยตัวฟายน์แมนเอง ดังนั้น เราจะได้เห็นวิธีคิดอันน่าทึ่งของอัจฉริยะคนนี้ค่ะ นิสัยสนุกๆ บ้าๆ บอๆ ช่างสังเกต และชอบแกล้งคนอย่างไม่มีพิษมีภัย ทำให้ฟายน์แมนเป็นคนที่น่ารัก และน่าทึ่งในเวลาเดียวกัน
       ฟายน์แมน มีความเชื่อ (ที่เราสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ค่ะ) ว่า "ถ้ามีความตั้งใจ เราสามารถทำอะไรก็ได้ และเราควรสนุกสนานกับชีวิต" 
       หนังสือเล่มนี้ อ่านสนุก เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ได้คุณค่า แรงบันดาลใจมากเลยทีเดียวค่ะ อย่างน้อยก็เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวออยเอง ออกมาสนุกกับชีวิต และทำในสิ่งที่อย่างทำ สนใจเป็นเจ้าของ สามารถซื้อต่อได้ค่ะ ที่ kasibanoy@gmail.com ในราคา 145 บาท บวกค่าจัดส่งอีก 50 บาท ราคานี้ เป็นราคาที่ลด 50% แล้วนะคะ


Sunday, December 2, 2012

รามานุจัน อัจฉริยะไม่รู้จบ


หนังสือชื่อ : รามานุจัน อัจฉริยะไม่รู้จบ
ผู้แต่ง  : โรเบิร์ต คานิเกล
ผู้แปล : นรา สุภัคโรจน์
สำนักพิมพ์ : มติชน
ขายแล้วค่ะ !!!

    รามานุจัน เป็นชื่อของนักคณิตศาสตร์ชาวอินเดียค่ะ แต่เขาไม่เคยจบมหาวิทยาลัยเลย!!! (สมัยเรียนเราคงนึกออกนะคะว่า คณิตศาสตร์เป็นยาหม้อขมเพียงใด) รามานุจันเป็นชาวอินเดียที่เกิดในวรรณะพราหมณ์ หากแต่ฐานะยากจน กระดาษทดเลขยังเป็นเพียงกระดาษลังเก่าๆ แต่เป็นเจ้าของทฤษฎีต่างๆ มากมายทางคณิตศาสตร์ เช่น อนุกรมจำนวน เศษส่วนต่อเนื่อง
   ตอนเด็กๆ จากในหนังสือเล่มนี้ รามานุจันจัดว่าเป็นเด็กเรียนดีค่ะ และได้รับทุนไปศึกษาต่อในระดับมหา
วิทยาลัยอีกด้วย หากแต่เมื่อเขาได้มีโอกาสอ่านหนังสือคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป เขาตกอยู่ในความลุ่มหลงในคณิตศาสตร์ และทิ้งวิชาอื่นสิ้น ทำให้ถูกตัดทุนในที่สุด เรียนไม่จบ และต้องกลับบ้าน หากแต่ความลุ่มหลงในคณิตศาสตร์ก็ยังคงอยู่
   เนื่องด้วยเรียนก็ไม่จบ ฐานะก็ยากจน และมีครอบครัวต้องรับผิดชอบ รามานุจันจึงต้องไปเป็นเสมียนที่สำนักงานบัญชีเพื่อหาเลี้ยงตัว ก่อนส่งจดหมายแนะนำตัว พร้อมด้วยสูตรทางคณิตศาสตร์ที่คิดขึ้น ส่งไปยังนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อดัง (สมัยนั้น อินเดียยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอยู่ค่ะ) ในที่สุดนักคณิตศาสตร์คนหนึ่ง คือ จี.เอช. ฮาร์ดี้ ก็เห็นแววอัจฉริยะ รามานุจันจึงได้ถูกนำตัวมายังประเทศอังกฤษ
   ตลอดทั้งชีวิต รามานุจันอุทิศให้กับคณิตศาตร์ และการเป็นพราหมณ์ที่เคร่งครัด เขาคิดสูตรทางคณิตศาสตร์ออกมามากมาย ส่วนใหญ่มักเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ ที่บางสูตรก็ไม่ได้บอกวิธีการพิสูจน์ เนื่องจากรามานุจันไม่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นระบบ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพิสูจน์ทฤษฎีนัก รามานุจันทำงานเข้าขากับฮาร์ดี้เป็นอย่างดีในแง่คณิตศาสตร์ รามานุจันคิดสมการ ซึ่งฮาร์ดี้อำนวยความสะดวกให้รามานุจันได้มีเวลาทุ่มเทได้อย่างเต็มที่ และทำการพิสูจน์สมการ อธิบายออกมาเพื่อให้นักคณิตศาสตร์ทั่วไปเข้าใจได้ เเละตีพิมพ์ในชื่อของเขาทั้งสอง

    เป็นที่น่าเสียดาย สมัยนั้นอังกฤษเผชิญกับภาวะสงครามโลก ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหาร และรามานุจันซึ่งเป็นมังสวิรัติที่เคร่งครัด ประสบปัญหากับสภาวะอากาศที่หนาวเย็น และการหาผักทานยาก ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอ ช่วงปลายสงคราม เขาถูกส่งกลับมารักษาตัวที่ประเทศอินเดีย และเสียชีวิตในที่สุด (สันนิษฐานว่าเป็น วัณโรค) ด้วยอายุเพียง 32 ปี
     เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอีกเล่มหนึ่งค่ะ ได้เเรงบันดาลใจ และถ่ายทอดถึงความลุ่มหลงทางคณิตศาสตร์ของรามานุจันได้เป็นอย่างดี หนังสือลดราคา 60% ค่ะ เนื่องจากมีตำหนินิดหน่อยตรงสัน ราคาหนังสือเหลือ 140 บาท และขอค่าจัดส่ง 50 บาทค่ะ สนใจติดต่อ kasibanoy@gmail.com

Saturday, December 1, 2012

ผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก : Why men love bitches!!!


 
หนังสือชื่อ : ผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก
 
ผู้แต่ง : Sherry Argov
 
ผู้แปลและเรียบเรียง : กาละแมร์ - พัชรศรี เบญจมาศ
 
สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น
 
 
ขายแล้วค่ะ !!!
 

 
   
   เคยสังเกตชีวิตคู่ของคนรอบข้างเรากันไหมคะ ทำไมบางคู่ช่างต่างกันจังเลย บางคนผู้ชายดี๊ดี แต่
หญิงผู้เป็นแฟน กลับแรงส์!!  ต่างกับอีกคู่ ผู้หญิงช่างเป็นแม่พระเหลือเกิน แต่ทำไมกลับต้องมาแต่งงานกับผู้ชายแย่ๆ เอ...มันเกิดอะไรขึ้น
 
    หนังสือเล่มนี้ บอกว่า นางเอกที่แสนดีไม่ได้จบลงที่การได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปหล่อ แสนดีพอๆ กันเสมอไป นั่นมันเรื่องในนิยายน้ำเน่า ชีวิตจริง ผู้หญิงที่รู้ความต้องการของตัวเอง และไม่ "give a shit" ให้กับใครๆ ต่างหากที่จะได้ผู้ชายที่หมายปองมาครอง หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น เธอก็ไม่แคร์!!
 
     ผู้หญิงร้าย ในหนังสือเล่มนี้คือ ผู้หญิงที่เห็นคุณค่าของตัวเอง และรู้ความสำคัญของตัวเองดี ไม่ได้หมายความว่า เห็นว่าตัวสำคัญกว่าคนอื่นนะคะ หากแต่รู้ว่าตัวเองเท่านั้นที่รักตัวเองจริง ดังนั้นเธอจึงเป็นตัวของตัวเอง มีศักดิ์ศรี เมื่อผู้ชายเรียกร้องให้เธอทำ หรือเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในตัวเธอ ที่เธอรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ตัวเธอ หรือเธอรู้สึกไม่เห็นด้วยที่จะทำ เธอจะบอกเขาเลยค่ะ ว่า "ฉันไม่เปลี่ยน!!"
 
     เคยเห็นผู้หญิงบางคน พยายามเอาใจแฟนซะเหลือเกิน แต่ผู้ชายกลับเบื่อ และไม่เห็นค่า  บางคนถึงขั้นใช้เซ็กซ์ เพื่อหวังว่าจะมัดใจชายได้อยู่หมัด สาวร้ายในหนังสือเล่มนี้กลับเห็นต่าง เธอจะมองตัวเองด้วยสมองของตัวเองค่ะ และไม่ยอมให้ใครมาบงการความคิดของตนเองด้วย และเมื่อเธอเป็นตัวของตัวเองเช่นนี้ ผู้ชายจึงให้ความนับถือเธอ และมองว่าเธอคือสิ่งท้าทายในการเข้ามาจีบ และรู้ว่าเธอมีคุณค่า เธอจะมีเซ็กซ์ก็ต่อเมื่อเธอรู้สึกว่าถึงเวลาจริงๆ แล้ว และรู้สึกว่าความสัมพันธ์มาถึงขั้นที่เหมาะสมแล้วเท่านั้น
 
    ขอแอบบอกว่าหนังสือเล่มนี้อ่านสนุกค่ะ และได้นำเคล็ดลับที่ได้จากหนังสือไปใช้ในชีวิตจริงแล้วด้วย ปรากฏว่า ได้ผลค่ะ!!!
 
     สนใจหนังสือเล่มนี้ ก็ติดต่อมาที่ kasibanoy@gmail.com นะคะ ราคา 90 บาท และมีค่าจัดส่งอีก 50 บาทค่ะ ราคานี้ลด 50% แล้วค่ะ
 
 
 
 
 
 
 


คิดใหม่ : Re-imagine !!!

 

 
 
หนังสือชื่อ : คิดใหม่ Re-imagine!

ผู้เขียน : Tom Peters

สำนักพิมพ์ : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ จำกัด


ขายแล้วค่ะ !!!




เป็นหนังสือแนว Marketing ปกเเข็ง สี่สีทั้งเล่มค่ะ เขียนโดยกูรูทางด้านการบริหารจัดการ คุณ Tom Peters เจ้าของเครื่องหมายการค้า "!" เครื่องหมายตกใจสีสรรสดใส

    แค่อ่านเกริ่นนำของผู้เขียนก็สนุกแล้ว Tom บอกว่าเขาเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาด้วยความอัดอั้นตันใจ เพราะเขาอยากเห็นปรากฎการณ์ที่ "ว้าว!!!" หรือนวัตกรรมที่พลิกโลก ดังนั้นหนังสือเล่มนี้ จึงเหมาะกับใครก็ตามที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง อย่าง "ว้าว!!!"

    Tom บอกว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่เเล้ว การดำเนินธุรกิจแบบเดิมๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ในบทที่ 1 ของหนังสือ Tom ยังแนะนำให้นักธุรกิจ "ทิ้ง" แนวคิดทางธุรกิจที่ล้าสมัยแล้ว เช่น ทิ้งธรรมเนียมการกำหนดแผนปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ ทิ้งเรื่องของคุณภาพไปซะ และเลิกคิดได้เลยว่าจะได้เปรียบในการเเข่งขันอย่างยั่งยืน ช่วงเวลาต่อจากนี้ คือ ช่วงเวลาแห่ง "ความวุ่นวาย" และแสวงหาความผิดพลาด

   ในหนังสือ Tom เรียกร้องให้นักธุรกิจรู้จัก "ทำลายตัวเอง" ก่อนที่จะถูกคู่แข่งทำลาย (อันนี้ เราจะเห็นได้จากบริษัทใหญ่ๆ ในอดีต เช่น Sony, Hp, Koduk ซึ่งยึดติดกับความสำเร็จของตัวเองในขณะนั้น และไม่ยอม "ทำลายตัวเอง" จึงโดนคู่แข่ง และตลาดที่เปลี่ยนไปทำลาย ทำให้ต้องไล่ตามกันอุตลุต และเสียตำแหน่งเบอร์หนึ่งในวงการไป)

    มีคำคมคำหนึ่งที่ชอบมากในหนังสือเล่มนี้ คือ "อย่าเป็นเจ้าของอะไรเลย ถ้าหลีกเลี่ยง และถ้าทำได้ แม้แต่รองเท้าก็เช่าเขาเถอะ" Tom ได้ทำนายถึงแนวโน้มของธุรกิจในอนาคต (ตอนที่ Tom เขียนหนังสือเล่มนี้ คือเมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้ว และเราจะเห็นว่า สิ่งที่ทำนายนั้นดูเหมือนจะเป็นจริงตามนั้นในปัจจุบันนี้) โดยธุรกิจใหญ่ๆ มีเเนวโน้มที่จะเล็กลง แต่เป็นธุรกิจของผู้เชี่ยวชาญ ชำนาญเฉพาะทางมากขึ้น

    พลังเเห่งอินเตอร์เน็ตจะเข้ามามีบทบาท การทำงานไม่จำเป็นที่จะต้องตื่นเช้ามาทำงานตรงเวลา และเลิกงานตามเวลาอีกต่อไป พนักงานเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจงรักภักดีกับบริษัท หรืออยู่กับบริษัทนั้นนานๆ เนื่องจากการทำงาน จะเป็นการขายความเชื่ยวชาญ (อันนี้ จะเห็นได้ชัดในปัจจุบัน เด็กรุ่นใหม่มักจะทำงานในแต่ละที่ และเปลี่ยนงานไป เมื่อพบว่าไม่มีโอกาสความก้าวหน้า หรือเจอที่ใหม่ที่ดีกว่า ในขณะเดียวกัน บริษัทใหญ่ๆ เองก็จะมีการ lay off พนักงานเป็นระยะ เป็นการถ่ายเลือดเก่าออก เลือดใหม่เข้ามา คือการทำลายตัวเอง ก่อนที่จะถูกคู่แข่งทำลาย) ผู้บริหารจะมองว่า พนักงานคือ "ชิ้นส่วนที่ถอดออกได้ขององค์กร"

   ในหนังสือเล่มนี้ Tom มองว่าผู้หญิงมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อมากกว่าผู้ชาย ถึงแม้ว่าขณะนั้น คู่ของเธอคือฝ่ายที่ถือเงินอยู่ก็ตาม การตลาดเพื่อขายผู้หญิงจึงมีเเนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต

    อีกแนวโน้มของการตลาดในอนาคต คือ ตลาดสำหรับคนที่เริ่มแก่ตัว หรือตลาดของคนวัยทอง ที่ไม่ "ยอมแพ้" ให้กับความแก่ของต้วเอง คนกลุ่มนี้ มีกำลังทรัพย์ที่พร้อมจะจับจ่าย และจำนวนประชากรของคนกลุ่มนี้ในอเมริกาก็เพิ่มขึ้น

   สรุปแล้ว ในหนังสือเล่มนี้ Tom ได้กระตุ้นให้ผู้อ่านอย่ายึดติดกับกฏเดิมๆ รูปเเบบธุรกิจเดิมๆ แล้วก็คาดหวังว่า เมื่อมันสามารถทำเงินได้ในอดีต มันก็จะทำเงินได้ต่อไปในอนาคต ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วตรงกันข้าม ผู้นำธุรกิจต้องปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ รู้จักยอมรับความผิดพลาด และเรียนรู้ บางครั้งอาจต้องทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง อย่างถอดรากถอนโคนกันบ้าง อย่าหลงกับความสำเร็จในอดีต หรือปัจจุบัน หลีกเลี่ยงกฎระเบียบหยุมหยิม ระบบเจ้าขุนมูลนาย ที่จะขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ หรือเป็นกำแพงในการบรรลุเป้าหมาย

    หนังสือเล่มนี้อ่านสนุก อ่านเพลิดเลยทีเดียวค่ะ อ่านจบเเล้วได้พลัง อยากลุกขึ้นมาออกแบบ หรือทำอะไรที่เป็น "โปรเจคว้าว" ของตัวเองขึ้นมาเลยทีเดียว




Friday, November 30, 2012

รู้ทันสันดาน Tense : สนุกกับการเข้าใจภาษาอังกฤษ


หนังสือชื่อ : รู้ทันสันดาน Tense

ผู้แต่ง  : เฑียร ธรรมดา

สำนักพิมพ์ : ลีลาภาษา จำกัด

ยกให้หลานแล้วค่ะ!!!



    หนังสือเล่มนี้เหมาะกับผู้เริ่มต้นฝึกฝนภาษาอังกฤษ หรือผู้ที่ถึงแม้จะเรียนภาษาอังกฤษกันมาตั้งแต่สมัย ป.5 แต่ tense ก็ยังไม่เข้าหัวสักที

    ไวยากรณ์เหมือนยาหม้อขมของพวกเราเมื่อจำเป็นต้องเรียนภาษา แต่หนังสือเล่มนี้ ทำให้ไวยากรณ์เป็นเรื่องเข้าใจง่าย ด้วยการใช้ภาษาง่ายๆ และมีตัวอย่างประกอบ

    ถ้าเปรียบไปแล้ว ไวยากรณ์นั้นก็เหมือนกติกาในการพูดภาษานั้นๆ เหมือนกติกาในการแข่งกีฬา ถ้าเราอยากพูดภาษาให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อ เราก็ต้องพูดให้ถูกไวยากรณ์ในภาษานั้นๆ

    ภาษาอังกฤษกับภาษาไทยไม่เหมือนกันก็ตรงที่ภาษาอังกฤษมี "Tense" เจ้า Tense นี้ ฝรั่งเขาใช้บอกเวลา ว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อในอดีต ปัจจุบัน หรือกำลังจะเกิดในอนาคต บางครั้ง เจ้า Tense นี้ ยังใช้บอกอารมณ์ของผู้พูดได้อีกด้วย แถมบางครั้ง เจ้า tense หากใช้ในรูป Passive voice ยังบ่งบอกถึงความสุภาพของผู้พูดอีกด้วย ทั้งหมดที่หาอ่านได้ในหนังสือ "รู้ทันสันดาน  tense" เล่มนี้ค่ะ

   หนังสือเล่มนี้ อ่านง่าย เข้าใจง่าย และสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจ Tense และลักษณะการใช้งาน อย่างได้ผล ขอยืนยันค่ะ อ่านก็สนุก เนื่องจากมีภาพการ์ตูนน่ารักๆ สื่อให้เข้าใจง่าย ทำให้ไม่รู้สึกว่าเหมือนอ่านหนังสือเรียนอะไรเลย

   ขออนุญาตขายในราคา 100 บาท นะคะ ลดจากปกแล้ว 60% และขอเก็บค่าส่งด้วย 50 บาทค่ะ สนใจติดต่อมาได้ที่ kasibanoy@gmail.com ค่ะ ขอให้สนุกกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษค่ะ

Thursday, November 29, 2012

Slideology : พลังแห่งการนำเสนอ


 

หนังสือชื่อ : Slideology

ผู้แต่ง   : แนนซี ดูอาร์ต

ผู้แปล : นพดล จำปา

สำนักพิมพ์ : ขวัญข้าว

ราคา  : 500 บาท  ลด 20%
         เหลือ 400  บาท  
         ค่าส่งฟรี!!!
ติดต่อ kasibanoy@gmail.com



   หนังสือเล่มนี้เหมาะเลยทีเดียวกับคนที่ต้องนำเสนองานต่างๆ อยู่เสมอ แถมเขียนโดยเจ้าแม่ทางด้านการนำเสนออย่าง แนนซี ดูอาร์ตแล้วด้วย รับรองว่ามีคุณภาพค่ะ

   ที่กล้าการันตีอย่างนี้ ก็เพราะอ่านมาแล้วนั่นเองค่ะ หนังสือเล่มนี้บอกถึงการหาไอเดียสำหรับการนำเสนอ การหาแรงบันดาลใจ และมีกรณีตัวอย่างให้ดูกันด้วยค่ะ หนังสือเป็นภาพสี่สีทั้งเล่ม สวยงาม อ่านง่าย และให้แรงกระตุ้นในการลุกขึ้นมาสร้างสรรค์สไลด์สวยๆ เลยค่ะ

   สรุปจากที่อ่านนะคะ ได้ขอคิดมาว่า เวลาที่เราทำการนำเสนอ เราต้องชัดเจนก่อนว่า จุดประสงค์ที่เราต้องการนำเสนอนี้คืออะไร ใครคือผู้ฟังของเรา เราต้องตีโจทย์ให้ได้ว่า ผู้ฟังจะได้อะไรจากการฟังหรือดู presentation ของเรา เป็นแนวคิดที่แตกต่างจากเดิมๆ ที่เราทำกันอยู่ เพราะตอนเรียน จำได้ว่า เวลาทำสไลด์ทีไร ก็มักจะใส่สิ่งที่อยากเล่า อยากอวดทุกที

   หลายคนคงเคยผ่านตา การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple กันบ้างแล้ว สไลด์ของเขาเรียบง่ายมากค่ะ ไม่มีตัวอักษร ตัวเลขเยอะๆ เลย มีแค่ภาพ แต่ตรงใจ สื่อความหมายได้ชัดเจน ซึ่งตรงกับที่แนนซีเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า ความท้าทายของการนำเสนอ คือ การทำให้เรียบง่าย แต่สื่อความหมายชัดเจน ดังนั้น การทำสไลด์ถือเป็นศิลปะเลยค่ะ

   สร้างสรรค์สไลด์อย่างไรให้เรียบง่าย ตรงวัตถุประสงค์ มีอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้วค่ะ อ่านแล้วพบว่า มีทำสไลด์ที่ดูง่ายในสายตาคนอื่นนั้น เบื้องหลังมีรายละเอียดมากเลยทีเดีย ทุกองค์ประกอบต้องสัมพันธ์กัน ทั้งสี การจัดวาง พื้นหลัง ภาพ เนื้อหา

  ในหนังสือเล่มนี้ แนนซีบอกว่า ในสไลด์ 1 แผ่น ควรประกอบด้วยเนื้อหาไม่เกิน 75 คำ ถ้าเกินกว่านี้ ไม่เรียกว่าสไลด์แล้วค่ะ เธอแนะนำว่าให้เรียกว่าเอกสารแทน

  แล้วถ้าสิ่งที่เราต้องการนำเสนอนั้น มีรายละเอียดมากล่ะ แนนซีแนะนำให้รวบรวมพวกรายละเอียดต่างๆ จัดทำเป็นเอกสารแจกประกอบการนำเสนอแทน เอกสารแจกนี่แหละ ที่เราอยากใส่รายละเอียดมากแค่ไหนก็ได้ เพื่อผู้ฟังจะได้นำกลับไปศึกษาต่อเพิ่มเติมได้

  สรุปแล้ว การนำเสนอ คือ การบริหาร 3 ส่วนสำคัญ คือ เนื้อหา ภาพเรื่องราว และการนำเสนอ

  กฎของการทำสไลด์ข้อมูล คือ
  1.  บอกความจริง
  2. ตรงประเด็น
  3. ใช้เครื่องมือให้ถูกต้อง ถูกงาน
  4. เน้นว่าอะไรสำคัญ
  5. ทำให้เรียบง่าย
การออกแบบสไลด์ ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ คือ
  1. การจัดเรียงจัดวาง เช่น พื้นที่ว่าง ระยะชิดห่าง เป็นต้น
  2. การเคลื่อนไหว เช่น ความไหลลื่น ระยะทาง ทิศทาง
  3. องค์ประกอบเชิงภาพ เช่น พื้นหลัง สี ข้อความ รูปภาพ การไหลของสายตา
ทั้งหมด หาอ่านรายละเอียด ชมภาพตัวอย่าง และกรณีศึกษาได้จากหนังสือค่ะ หนังสือที่นำมาขายนี้ มีแค่เล่มเดียวนะคะ เพราะซื้อมาอ่านเอง อ่านจบแล้ว ก็อยากเเบ่งปัน (และหารายได้ด้วยนิดหน่อย) ติดต่อมาได้ค่ะที่ kasibanoy@gmail.com ราคา 400 บาทค่ะ (ลด 20%) ค่าส่งฟรีค่ะ
         

 

แนะนำตัวก่อนค่ะ

ชื่อ ออยค่ะ จุดประสงค์ของ blog อันนี้ คือตั้งใจที่จะเอาไว้เขียนวิจารณ์หนังสือที่ได้อ่านมา เนื่องจากเป็นคนรักการอ่านมาก และช่วงนี้ก็พอมีเวลาว่างอ่าน เมื่ออ่านแล้วก็เกิดอาการอยากเล่า อยากวิจารณ์สิ่งที่ได้อ่านมา ซึ่งจะมีประโยชน์กับตัวเองในแง่ที่ได้ทบทวน และตกผลึกทางความคิด และหวังว่าจะมีประโยชน์กับคนอื่น ในแง่ที่หากใครไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือ อาจจะได้อ่านสรุปจากที่ออยวิจารณ์นี้ หากบางเล่มรู้สึกว่าน่าสนใจ ก็อาจไปหาซื้ออ่านกันได้

ซึ่งมีหนังสือบางเล่ม ที่ออยอ่านแล้วสนุก ก็อยากจะแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันบ้าง ในราคาพิเศษ ลด 20 - 70% ขึ้นอยู่กับสภาพของหนังสือ อันนี้ก็ติดต่อมาได้นะคะ ตาม e-mail นี้ค่ะ kasibanoy@gmail.com

ขอให้สนุกกับการอ่านค่ะ
ออย