Sunday, November 9, 2014

Private Down Under







หนังสือชื่อ  :  Private Down Under

ผู้แต่ง  :  James Patterson และ Michael White

สำนักพิมพ์  :  CPI Group (UK) Ltd


ถ้าใครชอบอ่านหนังสืออ่านเล่นแนวเเอคชั่น สอบสวน น่าจะชอบเล่มนี้ค่ะ ...แต่สำหรับออยไม่ใช่แนวที่ชอบ แต่ก็อ่านจนจบ เพราะผู้แต่งเขียนเรื่องได้กระชับ ดำเนินเรื่องรวดเร็วดีค่ะ อ่านได้ลื่นไหล ทั้งที่ไม่ใช่แนวที่ตัวเองชอบอ่าน แต่ก็ตัดใจทิ้งไม่อ่านไม่ลง

จบจากเล่มนี้ น่าจะมีเล่มต่อไปอีกค่ะ ที่ใช้ตัวเอกของเรื่องคนเดียวกัน เหมือนเป็นหนังสือซีรีย์นักสืบ ประมาณนั้น เล่มนี้เป็นเล่มเปิดตัวสำนักงานนักสืบเอกชน "Private Sydney" โดยมี Craig Gisto เป็นหัวหน้าทีม

ในเล่มนี้ เหมือนธุรกิจนักสืบเอกชนของ Private Sydney จะดำเนินไปด้วยดีทีเดียว เนื่องจากมีหลายเคสให้ทีมงานต้องสืบสวนกัน แถมยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากตำรวจอีกด้วย

เคสแรก เคสเปิดตัว คือ เด็กหนุ่มถูกฆ่าตาย เด็กหนุ่มคนนี้เป็นลูกชายของนักธุรกิจ ซื่งเป็นอดีตตำรวจในฮ่องกง แต่อพยพมาอยู่ซิดนีย์ พ่อของเขาคาดว่า ลูกชายน่าจะถูกฆ่าตายอันเนื่องมาจากการแก้แค้นของมาเฟียฮ่องกง ที่ต้องการให้เขาร่วมมือกระทำสิ่งผิดกฏหมายให้ หากแต่เขาปฏิเสธไป สร้างความไม่พอใจให้เเก่มาเฟียเป็นอย่างมาก

อีกเคส ภรรยาผู้ทุกข์ร้อน ขอให้นักสืบ Private ช่วยตามหาสามี ซึ่งเธอสังหรณ์ว่าจะถูกลักพาตัว จากการสืบสวนของ Private พบว่าสามีของเธอกำลังทำธุรกิจร่วมกับมาเฟียท้องถิ่น ผู้เป็นเจ้าของซ่องในซิดนีย์ (และสามีของเธอเองก็กำลังแบล็คเมล์นักการเมืองคนหนึ่งเพื่อเงิน)

เคสต่อมา นักร้องเพลงร็อคชื่อดัง มาขอให้นักสืบช่วย เนื่องจากเขาเชื่อใน club27 ที่ว่านักร้อง ดาราที่มีชื่อเสียงในอดีตหลายคน จะตายก่อนอายุ 27 และขณะนี้เขาอายุจะย่างเข้า 27 เขาสงสัยว่า ผู้จัดการของเขาเอง ที่ตั้งใจวางแผนจะสังหารเขา

เคสสุดท้าย มีการฆาตกรรมต่อเนื่องเกิดขึ้นหลายรายในย่านคนรวย โดยผู้ตายเป็นผู้หญิง และโดนฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหด ผู้หญิงที่ตายเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว สามีรวย เธอถูกฆาตกรรม และศพทุกราย เสื้อผ้าช่วงล่างถูกเปิด และยัดธนบัตรเข้าไปที่อวัยวะเพศ!!! นักสืบและตำรวจต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อจับตัวฆาตกรให้ได้ ก่อนที่จะมีเหยื่อรายที่ห้า

คดีทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมๆ กันค่ะ หนังสือไม่ได้แยกเป็นตอนๆ ทำให้เหล่านักสืบต้องวุ่นวายกับการสืบสวนคดีเหล่านี้พร้อมๆ กัน

หนังสือเล่มนี้ ออยยืมของห้องสมุดมาอ่านค่ะ แต่หากใครสนใจหามาอ่าน ยังมีขายเป็นเเบบ kindle ที่ www.amazon.com นะคะ 



Thursday, August 21, 2014

Jonathan Livingston Seagull





หนังสือชื่อ :  Jonathan Livingston Seagull

ผู้แต่ง :  Richard Bach

ผู้ถ่ายภาพประกอบ :  Russell Munson

สำนักพิมพ์ : AVON BOOKS, INC.


       หนังสือ โจนาทาน ลิฟวิงสตัน นางนวล เรื่องนี้ เคยเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสมัยออยเรียนมัธยมค่ะ จำได้ว่าในตอนนั้น อ่านออก...แต่ไม่เข้าใจ คือไม่ "อิน" ไปกับสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อ ...มาวันนี้ โตขึ้น หยิบมาอ่านใหม่อีกครั้ง เข้าใจอะไรๆ มากขึ้นเลยค่ะ เป็นหนังสือดีอีกเล่มที่อยากแนะนำค่ะ

       หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือของคน "หัวกบฏ" ค่ะ คนที่คิดนอกกรอบ คนที่กล้าที่จะแตกต่าง คนที่มุ่งตามความฝัน ความเชื่อของตนเอง แต่ยังคงมีความรักในเพื่อนมนุษย์

        หนังสือเล่าเรื่องของ นกนางนวล ที่ชื่อ โจนาทาน ลิฟวิงสตัน ค่ะ ปกตินกนางนวลจะกินปลา จะบินตามเรือประมง เพื่อคอยหาโอกาสโฉบปลามากิน ส่งเสียงร้องเจี้ยวจ้าว แย่งปลากัน ...แต่โจนาทาน กลับแตกต่างจากนกนางนวลทั่วไป โจนาทานรักที่จะ "บิน" ค่ะ เขาคอยฝึกบิน เขาต้องการที่จะบินให้สูงขึ้น และเร็วขึ้นๆ ซึ่งโจนาทานเองก็ไม่รู้ว่า จะทำไปทำไม เขาแค่เพียงอยากรู้ข้อจำกัดของเขา และอยากจะทำลายข้อจำกัดนั้น ก็เท่านั้นเอง

         เนื่องด้วยความนอกกรอบของโจนาทานนี่เอง ทำให้นกนางนวลตัวอื่นๆ ในฝูงไม่พอใจมาก ในที่สุดโจนาทานก็โดนขับออกจากฝูงค่ะ และเมื่อโจนาทานไม่มีฝูงแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลว่าใครจะว่ายังไงกับสิ่งที่เขารักที่จะทำ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกบินค่ะ

       และเมื่อโดนขับออกจากฝูง โจนาทานก็ได้เข้าร่วมกับฝูงใหม่ค่ะ ฝูงใหม่นี้มีอุดมการณ์เช่นเดียวกับโจนาทาน นั่นคือ การพยายามฝึกบิน ...โจนาทานจึงมีความสุขในฝูงใหม่ เขาฝึกบินจนกระทั่งเก่งกล้า แต่กระนั้นเขาก็ยังคงคิดถึงฝูงนกนางนวลฝูงเดิมที่เขาจากมา...ที่ฝูงใหม่นี่เอง โจนาทานได้พบกับ "เจียง" นกนางนวลปรมาจารย์ เจียงกล่าวถึงสวรรค์ไว้อย่างน่าฟังค่ะ ว่า "You will begin to touch heaven, Jonathan, in the moment that you touch perfect speed. And that isn't flying a thousand miles an hour, or a million, or flying at the speed of light. Because any number is a limit, and perfection doesn't have limits. Perfect speed, my son, is being there."   

      เจียงสอนโจนาทานถึงการบินในระดับที่เรียกว่า "สมบูรณ์" ค่ะ เป็นระดับที่เหมือนหายตัวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้เลย ไม่มีเรื่องของเวลา หรือความเร็วเข้ามาเกี่ยวเลย ...โจนาทานฝึกจนสามารถทำได้ค่ะ! และก่อนที่เจียงจะจากไป เจียงได้บอกแก่โจนาทานว่า "keep working on love."   

       โจนาทานครุ่นคิดถึงคำพูดก่อนจากของเจียงค่ะ และจนในที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะกลับไปยังฝูงนกนางนวลที่เขาจากมา เพื่อกลับไปสอนนกนางนวลตัวอื่นๆ ให้ "บิน" ได้อย่างที่เขาเป็น -- อ่านมาถึงตรงนี้ ออยว่า โจนาทานนี่คล้ายๆ เป็นศาสดาของเหล่านกนางนวลเลยนะคะ

          ณ.ฝูง โจนาทานได้นักเรียนใหม่ค่ะ เริ่มจาก  Fletcher Lynd แล้วก็ขยายนักเรียนไปเรื่อยๆ ทั้งหมด 7 นางนวลด้วยกัน (และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นด้วย เพราะมีหลายพันนางนวลสนใจฟังสิ่งที่โจนาทานพูด)

        มีประโยคหนึ่งที่ออยชอบมากจากหนังสือเล่มนี้ คือตอนที่โจนาทานพูดกับนักเรียนของเขา Kirk Maynard Gull ผู้ซึ่งคิดว่าตัวเองไม่สามารถบินได้ว่า "Look at Fletcher! Lowell! Charles-Roland! Judy Lee! Are they also special and gifted and divine? No more than you are, no more than I am. The only difference, the very only one, is that they have begun to understand what they really are and have begun to practice it." -- ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ค่ะ เเค่เชื่อในตัวเอง และเริ่มลงมือฝึกฝน!!!

          หนังสือเล่มนี้มีเเปลเป็นภาษาไทยนะคะ มีนักแปล 2 ท่านด้วยกันที่เเปลเรื่องนี้ (เท่าที่ออยรู้นะคะ) คือ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ กับของคุณชาญวิทย์ เกษตรศิริ หาอ่านกันได้ค่ะ เป็นหนังสือเก่า ผู้แต่งแต่งไว้นานแล้ว แต่ก็ยังเข้ายุคสมัย อ่านได้ทุกยุคค่ะ เพราะหัวใจที่กบฏมีอยู่ทุกที่ ทุกเวลาในประวัติศาสตร์

          ส่งท้ายบทความกันด้วยคำพูดของโจนาทานค่ะ พูดกับ Fletch ก่อนที่โจนาทานจะจากไป "Poor Fletch. Don't believe what your eyes are telling you. All they show is limitation. Look with your understanding, find out what you already know, and you'll see the way to fly."







Monday, June 23, 2014

The Snowman



หนังสือชื่อ :  The Snowman

ผู้แต่ง :  Jo Nesbo

ผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษ :  Don Bartlett

สำนักพิมพ์ :  Vintage books


        Jo Nesbo แต่งหนังสือสอบสวนคดีฆาตกรรม ที่มีสารวัต Hole เป็นตัวเอกออกมาหลายเล่มเชียวค่ะ และเรื่อง The Snowman ก็เป็นหนึ่งในนั้น

       เรื่องราวความลึกลับเริ่มขึ้นเมื่อ เด็กน้อยตื่นขึ้นมาในกลางดึกคืนหนึ่ง คืนที่พ่อไม่อยู่บ้านไปต่างเมือง  เด็กชายพบว่า แม่ก็ไม่ได้นอนอยู่ที่เตียงเหมือนกัน เขาค้นหาเเม่ไปทั่วบ้าน แต่ก็ไม่เจอ พบเพียงผ้าพันคอผืนโปรดของแม่ พันอยู่รอบตุ๊กตาหิมะ!!!
 
        สารวัตร Hole ซึ่งตอนนี้รับผิดชอบแผนกคดีคนหาย ในพื้นที่เมือง Oslo เข้ามารับผิดชอบคดีนี้ เขาพบว่ามีความเชื่อมโยงกับอีกหลายๆ คดีคนหาย ผู้ที่สูญหายไป เป็นแม่ที่มีสุขภาพดี มีลูกน้อยต้องดูแล แต่อยู่ๆ กลับหายไปซะเฉยๆ อย่างนั้น หายไปแบบไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปด้วย ไม่มีจดหมาย ไม่มีอะไรเลย...ดูเหมือนเป็นคดีลักพาตัว หากแต่ไม่มีการเรียกค่าไถ่หรือแบล็คเมล์ตามมา...ที่แปลกคือ คดีเหล่านี้มักเกิดขึ้นตอนหน้าหนาว เมื่อเริ่มมีหิมะตก พยานบางคนบอกว่า เขาเห็น Snowman หรือ ตุ๊กตาหิมะ ในก่อนวันเกิดเหตุด้วย

          ซึ่งก็สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ สารวัตร Hole ได้รับจดหมายลึกลับฉบับหนึ่ง เขียนบอกว่า ให้เขาตามหาคนปั้นตุ๊กตาหิมะ!!! เพราะนั่นคือฆาตกรตัวจริง ...หรือว่า สารวัตร Hole กำลังเผชิญหน้ากับฆาตกรต่อเนื่องในกรุง Oslo !

             ในระหว่างการสืบสวนที่แข่งกับเวลานั้น สารวัตร Hole ก็พบว่า ผู้หญิงที่หายไปเหล่านั้น ต่างมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ และเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ที่ร่วมในการสืบสวนครั้งนี้ ก็มีเบื้องหลังอันซับซ้อน และปิดบังอยู่ พร้อมๆ กันนั้น สารวัตร Hole ยังต้องเผชิญกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับแฟนเก่า ที่เลิกราไปแล้ว ซึ่งเธอมีแฟนคนใหม่แล้ว และกำลังจะแต่งงานกันด้วย หากเธอเหมือนเธอจะยังไม่สามารถลืมสารวัตรคนเก่งของเราได้...

           ใครคือฆาตกร? และแรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร? ....ต้องหยิบหามาอ่านเองค่ะ บอกได้เลยว่าสนุก ความสัมพันธ์ของสารวัตร Hole กับแฟนเก่าจะเป็นอย่างไรต่อไป? .... เพื่อนร่วมงานของสารวัตรปิดบังอะไรไว้อยู่? ...ผู้สูญหายมีความลับอะไรซ่อนอยู่?...และดูเหมือนคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ที่ดูเหมือนไกลตัว และเริ่มขยับเข้ามาใกล้กับชีวิตส่วนตัวของสารวัตร Hole เข้ามาทุกที...บอกได้คำเดียวแค่ว่า จบคดีนี้ มีผลกระทบทำให้ชีวิตส่วนตัวของสารวัตร Hole เปลี่่ยนไปเลยทีเดียวค่ะ
 
              เล่มที่ออยอ่านนี้เป็นฉบับภาษาอังกฤษค่ะ ภาษาไทยคงกำลังแปล ดังนั้นแฟนๆ สารวัตร Hole คงต้องรออีกนิดนะคะ 

ปล.  ตอนนี้ออยขอปิดการขายหนังสือมือสองราคาถูกนะคะ เพราะย้ายมาอยู่ต่างประเทศแล้ว ทำให้ไม่สะดวกในการจัดส่ง หากแต่จะยังมารีวิวหนังสืออ่านสนุกอยู่ค่ะ
 
             


 
 

   

Monday, May 12, 2014

เมื่อโลกไม่ได้หมุนรอบอเมริกา : The Post-American World [release 2.0]



หนังสือชื่อ  :  เมื่อโลกไม่ได้หมุนรอบอเมริกา 
                                                  THE POST-AMERICAN WORLD [release 2.0]

ผู้แต่ง  :  Fareed Zakaria

ผู้แปล  :  พรเลิศ อิฐฐ์ และ วิโรจน์ ภัทรทีปกร

สำนักพิมพ์  :  วีเลิร์น


ออยซื้อหน้งสือเล่มนี้ มาด้วยความขำกับชื่อเรื่องค่ะว่า อเมริกายังไม่รู้ตัวอีกเหรอจ้ะ ว่าบทบาทของตัวเองกำลังลดลงๆ อยู่ในทุกขณะ

ผู้แต่งเป็นคนอินเดียค่ะ แต่มาเรียนและทำงานที่อเมริกาจนได้สัญชาติ ดังนั้นงานเขียนจึงอยู่ตรงกลางของทั้งสองโลกค่ะ เป็นหนังสือที่วิเคราะห์โดยให้ข้อมูลแห่งความเป็นจริง และเป็นกลางดีทีเดียว

ในหนังสือบอกไว้ว่า จริงๆ แล้ว ก็ไม่เชิงว่าอเมริกาจะเสื่อมลงหรอกค่ะ หากแต่ว่า ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า บทบาทของอเมริกาลดลงในเวทีโลก ตัวอเมริกาเองก็มีปัญหาเศรษฐกิจของตัวเองที่รอวันระเบิด อเมริกาเป็นประเทศบริโภคนิยมค่ะ เป็นหนี้ตั้งแต่ระดับรัฐมาจนถึงระดับประชาชน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อยู่ดีกินดียิ่งขึ้น และเริ่มมีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้น บางประเทศ เช่น จีน ถึงขั้นเป็นเจ้าหนี้ของอเมริกาเสียด้วยซ้ำ

ในหนังสือ ผู้เขียนได้เริ่มต้น โดยนำเสนอหลักฐานว่า ขณะนี้เรากำลังอยู่ในยุคที่สงบสุขค่ะ ไม่มีสงครามใหญ่ๆ ที่ฆ่าคนเป็นจำนวนมาก หรือมีโรคระบาดทำลายล้าง ถึงแม้เราจะรู้สึกว่า มีการตายที่เลวร้ายเกิดขึ้นทุกวัน หากแต่นั่นเป็นเพราะเทคโนโลยีการสื่อสารที่ย่อให้โลกเราเล็กลงต่างหาก ด้วยความสงบสุขนี้เอง ทำให้ความเจริญเริ่มกระจายไปทั่ว หลายประเทศซึ่งเคยยากจน ก็เริ่มลืมตาอ้าปากได้ มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น บทบาทให้เวทีโลกก็เพิ่มขึ้นด้วย

ผู้เขียนได้เล่าถึงประวัติศาสตร์ของประเทศจีน ในอดีตจีนยิ่งใหญ่มากค่ะ มีกองเรือที่ล่องเรือไปทั่วโลก กองเรือจีนนำโดยเจิงเหอ เป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกา และแอฟริกา แต่ต่อมา เกิดปัญหาภายในของจีนทำให้จีนปิดประเทศมาหลายร้อยปี โดยปล่อยให้อังกฤษ และสหรัฐอเมริกาครองความยิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจในโลกไป

ต่อมาผู้เขียนได้วิเคราะห์ถึง จุดเสื่อมของอังกฤษ ในสมัยจักรวรรดิ์นิยม อังกฤษมีประเทศอาณานิคมเป็นจำนวนมาก กลายเป็นดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน...จุดเสื่อมของอังกฤษ เริ่มที่สงครามโบเออร์ (Boer War) สงครามเล็กๆ ในแอฟริกาใต้ ระหว่างอังกฤษ กับชาวนาอพยพชาวดัตช์ ผลของสงครามคือ อังกฤษชนะค่ะ แต่ก็เหมือนแพ้ เพราะสูญเสียทหาร และเงินไปจำนวนมาก ทำให้กองทัพอ่อนล้า ภาพลักษณ์ของประเทศก็ย้ำแย่ลง ทำให้ประเทศอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี และอเมริกา พากันตำหนิ ต่อต้านพฤติกรรมของอังกฤษ

ดูคล้ายประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย จุดเสื่อมของอเมริกา ผู้เขียนมองว่า คือช่วงสงครามอิรักค่ะ หลังจากเหตุการณ์ 911 รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีบุช พยายามที่จะหาความชอบธรรมในการบุกอิรัก ถึงขั้นสร้างหลักฐานเท็จว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรง และเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพโลก ... การกระทำของอเมริกาครั้งนั้น ทำให้หลายประเทศตำหนิค่ะ เช่น จีน รัสเซีย เป็นต้น ผู้คนเริ่มมองว่า อเมริกาต่างหากที่เป็นภัยคุกคามของโลก!!!

ผู้เล่นหน้าใหม่ของโลกไม่ได้มีเพียงจีนค่ะ ผู้เขียนให้ความเห็นว่า ในอนาคต เราอาจไม่ได้มีประเทศมหาอำนาจประเทศเดียว หากแต่มีหลายๆ ประเทศมหาอำนาจ ส่วนแบ่งของอำนาจจะมีมากขึ้น ผู้เขียนมองว่า อินเดีย บราซิล และประเทศในแอฟริกา ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น

ผู้แต่งได้เปรียบเทียบความแตกต่างในการจัดการ การปกครองระหว่างอินเดีย กับจีน นั่นคือ จีนจะเป็นระบบสั่งการจากบนลงล่าง ดังนั้นหากสิ่งใดที่รัฐบาลจีนต้องการ สิ่งนั้นย่อมได้เสมอ เช่น จะสร้างถนน
16 เลนก็สร้างได้เลย ไม่ต้องสนใจเสียงคัดค้าน แต่การปกครองของประเทศประชาธิปไตยอย่างอินเดียเป็นแบบ ล่างขึ้นบน ดังนั้นระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ของอินเดียจึงไม่ค่อยจะดีเท่าไร เมื่อเทียบกับจีน การดำเนินการต่างๆ เป็นไปอย่างเชื่องช้า...แต่..อินเดียมีความได้เปรียบอยู่ค่ะ ความได้เปรียบของอินเดียอยู่ที่ภาคเอกชนของอินเดีย คนอินเดียส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ ระบบราชการ ศาลของอินเดียที่อังกฤษได้วางรากเอาไว้ ก็ดีอยู่เเล้ว จึงไม่ต้องมาเริ่มใหม่แบบจีน

การที่ประเทศเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้ เติบโตมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ ก็มีอีกด้านที่น่ากังวลค่ะ ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ ตามมาด้วยแนวคิดรักชาติอย่างสุดใจ เช่น สำหรับจีน ใครก็ตามอย่ามาแตะไต้หวันนะคะ อย่ามาช่วยให้ไต้หวันเป็นเอกราชเชียว จีนโกรธสุดเหวี่ยงแน่นอน

แต่ทั้งหมดนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าอเมริกาจะแย่นะคะ อเมริกายังมีข้อได้เปรียบอีกมากในการแข่งขัน เช่น การที่ประเทศสหรัฐทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากไปกับการวิจัยและพัฒนา การเปิดกว้างรับผู้อพยพที่มีคุณภาพเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ เป็นต้น

หนังสือเล่มนี้มีข้อมูลมากมายเชียวค่ะ อ่านสนุกด้วย เพื่อสนุบสนุนสมมุติฐานของผู้แต่งที่ว่า ขณะนี้อเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทาย อเมริกากำลังจะไม่ใช่มหาอำนาจหนึ่งเดียวในโลกอีกต่อไป แต่หากต้องแชร์อำนาจกับอีกหลายๆ ประเทศค่ะ

หนังสือเเปลเล่มนี้เป็นของสำนักพิมพ์วีเลิร์นค่ะ เพิ่งจัดพิมพ์ปีนี้ (2557) ราคา 280 บาท คิดว่าน่าจะยังมีขายตามร้านหนังสือทั่วไปนะคะ

Tuesday, April 29, 2014

ความสุขแห่งชีวิต : The Human Comedy


หนังสือชื่อ  :  ความสุขแห่งชีวิต (The Human Comedy)

ผู้แต่ง  :  วิลเลียม ซาโรยัน

ผู้แปล  :  มัทนี เกษกมล

สำนักพิมพ์  :  แพรว
 


เคยไหมคะ เคยอ่านหนังสือเล่มไหน เมื่ออ่านจบแล้ว รู้สึกสงบ คือหนังสือไม่ได้ทำให้สนุก หัวเราะ หากแต่ทำให้รู้สึกสงบ ครุ่นคิด ตรึกตรอง ...สำหรับออยแล้ว "ความสุขแห่งชีวิต" คือหนังสือเล่มที่ว่านี้ค่ะ

หนังสือเป็นเรื่องของครอบครัวแมคคอลี่ ที่อาศัยอยู่ในเมืองอิธคา ในช่วงเวลาสงครามค่ะ เมืองอิธคาเป็นเมืองเล็กๆ ผู้คนยากจน หนังสือสะท้อนถึงช่วงสงคราม ที่คนหนุ่มสาวในอเมริกาถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ยังเหลือแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชราที่รออยู่ข้างหลังในเมืองอันสงบเงียบนี้ด้วยความหวัง

ครอบครัวเเมคคอลี่ ประกอบไปด้วย แมทธิว ผู้พ่อที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อสองปีก่อน ลี่มิสซิสแมคคอลี่ คุณแม่ผู้เข้มแข็ง มาร์คัส ลูกชายคนโตที่โดนเกณฑ์ทหาร เบส น้องสาวคนต่อมา โฮเมอร์ น้องชายผู้ต้องทำงานตอนหลังเลิกเรียน เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว และ ยูลิสซิส น้องคนสุดท้องอายุสี่ขวบ

ในท่ามกลางบรรยากาศของความเงียบเหงา ของการที่คนที่รักจากไป และไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกหรือไม่ การรอคอยข่าวของบุคคลอันเป็นที่รักอย่างมีความหวัง โฮเมอร์ ได้งานทำเป็นเด็กส่งโทรเลขค่ะ เขาต้องนำข่าวด่วนไปให้ผู้คน ในสถานการณ์อย่างนี้ ข่าวด่วนของเขาคือ ความตายของบุคคลอันเป็นที่รักที่อยู่ไกล เขาจึงเหมือนผู้ส่งสารความตาย ...มันจึงเป็นงานที่กดดันทางอารมณ์สำหรับเด็กชายอายุสิบสี่ยิ่งนัก
 
"หนูต้องจำเอาไว้นะลูก" แม่พูด "จงให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีแก่คนอื่นเสมอ แม้จะต้องทำไปอย่างโง่ๆ และฟุ่มเฟือย หนูต้องให้แก่ทุกคนที่ผ่านมาในชีวิต แล้วจะไม่มีอะไรหรือใครจะใช้อำนาจใดมาหลอกลวงหนูได้ เพราะถ้าหนูให้แก่ขโมย เขาก็จะขโมยจากหนูไม่ได้ และเขาเองก็จะไม่ได้เป็นขโมยอีกต่อไป และยิ่งหนูให้มากเท่าไร ก็ต้องให้มากขึ้นอีกเท่านั้น"

"ย่อมจะมีความเจ็บปวดอยู่ในสิ่งต่างๆ เสมอ" มิสซิสแมคคอลี่พูด "แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเราจะต้องสิ้นหวังไปเสียหมด คนดีๆ ย่อมจะทำให้ความเจ็บปวดหายไปได้เสมอ คนโง่จะไม่สังเกตเห็นนอกจากในตัวเอง คนชั่วจะทำให้ความเจ็บปวดฝังลึก แล้วแพร่ยังทุกแห่งที่เขาไป แต่ไม่ใช่ความผิดของใครเลย คนชั่วก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่หรือคนดี เขาไม่ได้ขอมาที่นี่และไม่ได้มาเพียงลำพังจากความไม่มีอะไรเลย แต่มาจากหลายๆ โลก หลายๆ อย่างประสมให้เกิดขึ้น คนชั่วไม่รู้หรอกว่าตัวเองชั่วร้าย เขายังเป็นคนบริสุทธิ์ ทุกๆ วันคนเราจะต้องยกโทษให้คนที่ชั่วร้าย พวกเขาจะต้องมีคนรัก เพราะมีบางอย่างในตัวเราทุกคนอยู่ในตัวคนที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก และบางอย่างในตัวคนที่ชั่วร้ายที่สุดก็มีอยู่ในตัวเราทุกคน เขาเป็นของเราและเราก็เป็นของเขา เราทุกคนเป็นอันหนึ่งเดียวกัน แยกกันไม่ได้ บทสวดมนต์วิงวอนของชาวนาก็เป็นบทสวดของแม่ เหมือนกับอาชญากรรมของฆาตกรก็เป็นอาชญากรรมของเเม่เหมือนกัน เมื่อคืนนี้ลูกร้องไห้ก็เพราะลูกเริ่มเรียนรู้ถึงสิ่งเหล่านี้"

ที่โรงเรียน โฮเมอร์มีเพื่อนร่วมชั้นที่เขาหมั่นไส้ คือ ฮิวเบิร์ต แอ๊คลี่ ค่ะ เนื่องจากกริยาเป็นผู้ดี และผู้หญิงที่โฮเมอร์แอบชอบ ดันไปชอบนายคนนี้ โฮเมอร์ป่วนจนคุณครูต้องลงโทษทั้งคู่หลังเลิกเรียนค่ะ

"ครูรู้จ้ะเรื่องนั้น" มิสฮิคส์อธิบาย "ครูรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่คนทุกคนในโลกก็รู้สึกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นๆ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ดีเท่ากับคนอื่นๆ โจ เทอร์ราโนว่า เป็นเด็กฉลาด มีไหวพริบกว่าฮวเบิร์ต แต่ฮิวเบิร์ตเขาก็มีแบบฉบับของเขาเอง ในประเทศประชาธิปไตย คนทุกคนมีสิทธิเท่ากันในแง่ของความพยายาม ทุกคนมีอิสระที่จะพยายามทำความดีหรือความเลว ที่จะเติบโตขึ้นอย่างมีเกียรติหรืออย่างโง่เง่า ครูกระตือรือร้นอยากให้ลูกศิษย์ของครูทุกคนมีความพยายามที่จะทำความดี และเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีเกียรติด้วยกันทุกคน ลูกศิษย์ครูจะมีกิริยาท่าทางภายนอกเป็นอย่างไร ครูไม่เคยเดือดร้อนเลย ท่าทางโก้กับกิริยาสุภาพไม่เคยหลอกครูได้ ครูสนใจเฉพาะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังลึกลงไปในกิริยาแต่ละชนิดนั้นต่างหาก ไม่ว่าลูกศิษย์ครูจะเป็นคนรวย หรือคนจน จะดำ จะขาว จะเหลือง ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จะเป็นเด็กฉลาดหรือปัญญาทึบ จะเป็นอัจฉริยะหรือเป็นเด็กธรรมดา ครูไม่สนใจทั้งนั้น ถ้าหากว่าเด็กคนนั้นมีความรักเพื่อนมนุษย์ ถ้าเขามีหัวใจ -- ถ้าเขารักความจริงและรักเกียรติ -- ถ้าเขาเคารพผู้ที่ด้อยกว่าและรักผู้ที่เหนือกว่า ถ้าเด็กๆ ในชั้นของครูเป็นมนุษย์ ครูก็ไม่ได้อยากให้เป็นมนุษย์ที่มีกิริยามารยาทเหมือนกันไปหมด ถ้าเป็นเด็กดีแล้ว จะแตกต่างกันไปถึงไหนก็ไม่เป็นไรเลย ครูอยากให้ลูกศิษย์ของครูทุกคนเป็นตัวของตัวเอง โฮเมอร์ ครูไม่ได้อยากให้เธอเป็นเหมือนใครสักคนเพียงเพื่อจะทำให้ครูพอใจหรือเพื่อว่าครูจะสอนได้ง่ายขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้น อีกหน่อยครูก็คงเบื่อ เพราะห้องเรียนจะเต็มไปด้วยสุภาพสตรีสุภาพบุรุษตัวน้อยๆ ที่เพียบพร้อม ครูอยากให้ลูกศิษย์ของครูเป็นคนธรรมดาๆ ที่แตกต่างกันไป -- คนหนึ่งอาจจะเก่งเป็นพิเศษ -- อีกคนอาจจะร่าเริงหรือแก่นแก้ว -- ครูอยากให้ฮิวเบิร์ต แอ๊คลี่ มาฟังครูที่นี่ด้วยกันกับเธอเหลือเกิน -- เขาจะได้ทำความเข้าใจกับเธอ ถ้าหากว่าเดี๋ยวนี้เธอสองคนจะไม่ถูกกัน นั่นก็เป็นธรรมดา ครูอยากให้เขารู้ว่าทั้งเธอและขาเริ่มเป็นอารยะ เพราะเธอยอมรับนับถือซึ่งกันและกันทั้งๆ ที่ไม่ถูกกัน นี่และคือความหมายของอารยะ นี่แหละคือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์โบราณ"

 ออยได้หนังสือเล่มนี้มานานแล้วค่ะ ตั้งแต่ปี 2543 แต่อ่านทีไร ก็ได้ความสงบกลับมาเหมือนเดิม หนังสืออาจจะเขียนว่า เป็น "วรรณกรรมเยาวชน" แต่คนผู้ใหญ่ยิ่งอ่านยิ่งดีค่ะ เพราะเราผ่านโลกมามากกว่า ยิ่งอ่านเเล้ว ยิ่งเข้าใจโลกมากขึ้น 

ออยเช็คในเวปไซค์ของแพรวสำนักพิมพ์ พบว่าหนังสือเล่มนี้ยังไม่มีพิมพ์ใหม่ ...น่าเสียดายค่ะ อยากให้อ่านกัน เป็นหนังสือดีที่แนะนำ

Monday, April 28, 2014

ทะยานไกล...ให้ถึงฝัน : Put Your DREAM to the Best





หนังสือชื่อ  :  ทะยานไกล...ให้ถึงฝัน

ผู้แต่ง  :  John C. Maxwell

ผู้แปล   :  ปณต

สำนักพิมพ์  :  Nation Book



คุณมีความฝันหรือเปล่า?
ฝันคุณเป็นจริงแค่ไหน?

มาศึกษาวิธีทำฝันให้เป็นจริงได้จากหนังสือเล่มนี้ค่ะ ผู้แต่งได้นำเสนอการตั้งคำถามกับตัวเอง 10 ข้อ หากเราสามารถตอบคำถามง่ายๆ ทั้ง 10 ข้อนี้ได้ ฝันเราก็มีโอกาสเป็นจริงได้สูงแล้วค่ะ คำถามทั้ง 10 ข้อนี้คือ 
1. ความฝันนี้เป็นของเราจริงหรือ? - คือไม่ใช่อย่างเป็นโน้นเป็นนี่เพราะอยากให้คนที่เรารักพอใจ หรือเป็นความคาดหวังของพ่อแม่เรา
"เราไม่สามารถบรรลุความฝันที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของได้"
 
2. เราเห็นภาพฝันชัดเจนหรือเปล่า? - ความชัดเจนของความฝัน จะช่วยให้เรามองเห็นทางที่จะมุ่งไปสู่
"ก้าวแรกที่ขาดไม่ได้ของการเดินทางไปคว้าสิ่งที่เราต้องการคือ
การตัดสินใจเสียก่อนว่าเราต้องการอะไร"
- เบน สเตน                                 
 
3. เราควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้ความฝันสำเร็จได้หรือเปล่า? - ความฝันของเราต้องไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ไม่ใช่เพียงแค่ฝัน หากแต่ต้องลงมือฝึกฝนปฏิบัติอย่างจริงจังด้วย
"เราจะเป็นในสิ่งที่เราทำซ้ำแล้วซ้ำอีก
สิ่งดีเลิศนั้นมิใช่การกระทำ แต่มันเป็นนิสัย"
- อริสโตเติล                                 

4. ฝันนั้นกระตุ้นให้เราไขว่คว้าหรือไม่? - ไม่ว่าจะยากลำบากสักเพียงไหน อุปสรรคมากมายเพียงใด แต่เราก็ยังมุ่งมั่นสู่ฝันนั้นอย่างไม่ลดละ
"ในชีวิตเราต้องตั้งเป้าหมายไว้สองอย่าง อย่างแรกคือ ทำในสิ่งที่เราต้องการ
อย่างที่สองคือ สนุกกับมัน ซึ่งคนที่ฉลาดที่สุดเท่านั้นจึงจะทำเป้าหมาย
อย่างที่สองสำเร็จ"
- โลแกน เพียร์แซลล์ สมิธ                       
 
5.  เรามีแผนการที่จะมุ่งสู่ฝันหรือยัง? - คือไม่ใช่แค่ฝันเห็นแต่เป้าหมายที่ประสบความสำเร็จแต่อย่างเดียว แต่เราต้องมีวิธีที่จะเดินทางไปสู่ความสำเร็จนั้นด้วย
"ความลับของความก้าวหน้าก็คือการเริ่มต้น
ความลับของการเริ่มต้นก็คือ ทำอะไรให้มันง่ายขึ้นเสียก่อน
ย่อยงานชิ้นใหญ่ให้เป็นงานเล็กๆ ที่ทำง่ายหลายๆ ชิ้น
แล้วเริ่มต้นจากชิ้้นแรก"
- มาร์ค ทเวน                                           

6. มีคนที่จำเป็นต่อความฝันของเราหรือยัง? - คนที่เป็นแรงบันดาลใจ คนที่จะช่วยให้เราบรรลุฝัน หรือทีมงานที่มีประสิทธิภาพของเรา
"ความฝันนั้นเป็นภาพบันดาลใจที่เราเห็นในใจของตนเอง
ซึ่งมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะทำสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว"
- คริส ฮอดจ์                          
 
7. เราเต็มใจลงทุนเพื่อฝันหรือไม่? - ความฝันต้องลงมือทำ จึงจะเป็นจริง และในบางครั้ง เราต้องเสียสละบางอย่างเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่ฝัน เราพร้อมหรือยัง เช่น เราอาจต้องเสียสละเวลา ในขณะที่คนอื่นรื่นเริง เพื่อนำมาฝึกซ้อมให้เป็นแชมป์ เป็นต้น
"ไม่ว่าเราจะตัดสินใจเดินในเส้นทางใด จะมีคนบอกว่าเส้นทางนั้นผิดเสมอ
จากนั้นจะมีอุปสรรคเกินขึ้นจนกระตุ้นให้เราเชื่อว่า
สิ่งที่คนเหล่านั้นพูดเป็นความจริง
ดังนั้น การกำหนดทางเดินแล้วไปให้สุดทางนั้น
จึงจำเป็นต้องมีความกล้าอย่างมาก"
- ราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สัน       
          
8. เราเข้าใกล้ฝันแค่ไหนแล้ว? - อย่าลืมที่จะประเมินตัวเองเป็นระยะๆ ว่าทางที่เรากำลังเดินอยู่นั่น คือทางที่ถูกต้อง ที่มุ่งไปสู่ฝันของเรา
"ความพยายามจะให้รางวัลแก่ผู้ที่ปฏิเสธการยอมแพ้เท่านั้น"
- ดับเบิลยู. คลีเมนต์ สโตน         
 
9. การมุ่งหน้าสู่ฝันนั้น ทำให้เรามีความสุขหรือเปล่า? - บางครั้งการได้มาซึ่งความฝัน ก็ต้องเเลกกับสิ่งล้ำค่าอื่นๆ บางทีมันอาจจะไม่คุ้ม เช่น เเลกกับชีวิตครอบครัว ซึ่งเราอย่าลืมพิจารณาเรื่องนี้ด้วย การประสบความสำเร็จอย่างเดียวดายไม่มีค่าอะไร เมื่อเทียบกับการมีความสุขอยู่ท่ามกลางครอบครัวและคนที่เรารัก
"และในท้ายที่สุด สิ่งที่เราพิชิตได้จะไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นตัวเราเอง"
 
10. ฝันของเราเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นหรือไม่? - เราควรทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ฝันของเราควรจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆ คนรุ่นหลัง ไม่ใช่ฝันเพียงเพื่อตัวเอง
"หากใครสักคนได้รับโอกาสที่ทำให้ได้ชีวิตอย่างแสนพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม
เขาย่อมไม่มีสิทธิ์เก็บมันไว้กับตัวเพียงคนเดียว"
- ฌาค อีฟ คูซโต          



Tuesday, April 1, 2014

ทำน้อยให้ได้มาก : The Power of Less






หนังสือชื่อ : ทำน้อยให้ได้มาก (The Power of Less)

ผู้แต่ง : Leo Babauta

ผู้แปล : วิกันดา พินทุวชิราภรณ์

สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น


ขายแล้วค่ะ!!!


เราทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากันค่ะ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้เวลาในแต่ละวันนั้น ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร เคยสังเกตกันไหมคะ ว่าบางคน (หรือแม้แต่ตัวเราเอง) ดูยุ่งอยู่ตลอดเวลา ยุ่งทั้งวัน แต่พอหมดวันมาทบทวนดู กลับเเทบไม่ได้ทำอะไรเสร็จเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง!!! 

หนังสือเล่มนี้บอกไว้ตั้งแต่หน้าปกเลยค่ะ ว่า "ความลับที่คนงานยุ่งตลอดเวลาไม่เคยรู้" และ "เพราะการทำมากไม่ได้หมายถึงผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นเสมอไป" -- จริง และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ!

หนังสือเเบ่งออกเป็น 2 ส่วนค่ะ คือส่วนของหลักการ และการนำไปใช้จริง --- จากที่อ่านมานะคะ สรุปง่ายๆ เคล็ดลับของการทำน้อยให้ได้มากคือ "ความเรียบง่าย" ค่ะ

ความเรียบง่าย หมายถึงในทุกๆอย่างค่ะ อย่าทำชีวิตให้มันยุ่งยากนัก หลักการง่ายๆ นี้ประกอบด้วย

- สร้างข้อจำกัด  ในหนังสือเล่มนี้หมายถึง การอย่าทำอะไรให้มันยุ่งยากเยิ่นเย้อค่ะ ทำงานให้กระชับ ตรงประเด็น ตั้งข้อจำกัดให้กับงาน จะช่วยลดเวลาได้มาก เช่น ตั้งข้อจำกัดว่า จะตอบและเช็คอีเมล์วันละสองครั้งเท่านั้น และจะเขียนอีเมล์ฉบับละไม่เกิน 5 ประโยค การจำกัดเวลาในการคุยโทรศัพท์ หรือการจำกัดเวลาที่ใช้ในการเล่นอินเตอร์เน็ต เป็นต้น

- เลือกแต่สิ่งที่สำคัญ  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่สำคัญล่ะ? -- เราจะรู้ได้ด้วยการตอบคำถามต่อไปนี้ -- "ค่านิยม และเป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร?" "เรารักในสิ่งไหน?" "อะไรที่มีความสำคัญ?" "งานชิ้นไหนที่ส่งผลกระทบมากที่สุด?" "งานใดที่ส่งผลกระทบในระยะยาวมากที่สุด?" "ความจำเป็นหรือความอยากได้?" 
หนังสือแนะนำให้ตั้งเป้าหมายและโครงการที่เรียบง่ายขึ้นมา สัก 3 โครงการค่ะ เหตุที่ไม่ใช่เเค่โครงการเดียว ก็เพราะว่า ในการทำงานจริงๆ นั้น อาจจะมีช่วงจังหวะที่โครงการที่หนึ่งต้องรอการตอบกลับ ดังนั้นระหว่างนั่น เราสามารถหยิบโครงการที่สองขึ้นมาทำได้ แต่หากมากกว่า 3 โครงการ ก็จะเยอะเกินไปค่ะ ทำให้เรายุ่งทั้งวัน แต่ทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง

- ทำให้เรียบง่ายขึ้น  กำจัดสิ่งเล็กๆ ที่ไม่สำคัญออกไปค่ะ เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น เริ่มจากเรื่องง่ายๆ เลยคือการจัดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย มีแต่เฉพาะสิ่งที่จำเป็นสำหรับงานโครงการ ณ ขณะนั้นเท่านั้น งานบางอย่างที่เสียเวลา ไม่สำคัญ หากสามารถมอบหมายให้คนอื่นทำแทนได้ ก็จงทำ รู้จักการปฏิเสธว่า "ไม่" กับการร้องขอของเพื่อนร่วมงานให้เราทำบางอย่าง ที่อาจทำให้เราหลุดจากงานเป้าหมายเราได้

- จดจ่อ  จดจ่อกับเป้าหมาย กับปัจจุบันขณะ กับงานที่อยู่ตรงหน้า และอย่าลืมที่มีความคิดเชิงบวกเสมอ ทำงานทีละอย่าง และทำอย่างจดจ่อ ไม่ผละไปทำอย่างอื่นจนกระทั่งงานส่วนนั้นเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน การทำเช่นนี้ จะทำให้เราได้งานที่เสร็จและมีประสิทธิภาพค่ะ เป็นการฝึกสมาธิ เนื่องจากตอนที่เรามีใจจดจ่อกับงานตรงหน้า สมาธิเราจะอยู่ในพะวงของงานที่เรากำลังทำ เราจะไม่สนใจสิ่งรอบตัวจนกระทั่งงานเสร็จ -- เทคนิคนี้ต้องมั่นฝึกฝนอยู่เสมอค่ะ และไม่ต้องหงุดหงิดสิ้นหวังนะคะ หากเราเผลอไผลใจลอยไปบ้าน ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ นี่ไม่ใช่ความล้มเหลว

- สร้างนิสัย  หัดสร้างนิสัยใหม่ที่เราอยากเป็นค่ะ หนังสือแนะนำให้สร้างนิสัยใหม่แค่ เดือนละหนึ่งอย่าง อย่าอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเเบบปฏิวัติ คือเป็นคนใหม่ทั้งหมด เพราะทำได้ไม่กี่วัน คุณจะท้อค่ะ และกลับมาเป็นเหมือนเดิม ดังนั้น ให้เลือกนิสัยที่อยากเปลี่ยนแปลงขึ้นมาสักนิสัยหนึ่ง เขียนแผนการ ประกาศให้คนอื่นรับรู้ จากนั้นก็รายงานความคืบหน้ารายวัน แล้วก็ฉลองค่ะ เมื่อคุณทำสำเร็จ
ผู้เขียนได้ยกตัวอย่าง การสร้างนิสัยใหม่ของเขาเอง ในการพยายามเลิกบุหรี่ กินอาหารสุขภาพ ออกกำลังกาย -- เป็นนิสัยที่จะทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้นค่ะ
ผู้เขียนแนะนำให้เริ่มจากนิสัยง่ายๆ ก่อนนะคะ เลือกนิสัยที่วัดผลได้ เช่น ออกกำลังกายวันละ 20 นาที เน้นที่ความเสมอต้นเสมอปลายค่ะ และให้มองโลกในแง่ดีเสมอ เพราะบางวันเราอาจจะขี้เกียจ หรือเคยชินกับนิสัยเก่า ทำให้ไม่อยากทำ มันก็แค่ความล้มเหลวชั่วคราว ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ยังมี -- บางครั้งการเอาชนะนิสัยเดิมๆ ก็เพียงแค่ลุกออกไปเริ่มทำ เท่านั้นเอง -- เล่าจากประสบการณ์ของออยเองนะคะ บางวันออยก็ขี้เกียจออกไปว่ายน้ำออกกำลังกายมาก เเต่เพียงแค่ตัดใจลุก คว้ากระเป๋า เดินออกจากห้อง หลังจากนั้น ทุกอย่างก็จะอัตโนมัติค่ะ 

- เริ่มจากสิ่งเล็กๆ  เริ่มต้นทีละน้อยค่ะ ถึงแม้ว่าวันแรก เราอาจจะฮึด อยากทำเยอะๆ เช่น วันแรกของการออกกำลังกาย เราอาจอยากวิ่งสัก 5 กิโลเมตร ก็ให้หักใจไว้ค่ะ วิ่งสักแค่ 1 กิโลเมตรพอ เพราะหากเราโหมพลังในวันแรก วันถัดไป พลังจะตกค่ะ -- หากจะสร้างนิสัย ให้เริ่มทีละเล็กละน้อยค่ะ เน้นเสมอต้นเสมอปลาย ทำทุกวัน อย่าหยุดติดกันเกินสองวัน 
หรือแม้กระทั่งเป้าหมายชีวิต หรือโครงการของเราก็ดี หากเป็นโครงการใหญ่ ใช้เวลานานกว่าจะบรรลุผล หนังสือเล่มนี้ แนะนำว่า ให้ย่อยงานออกเป็นชิ้นเล็กๆ ค่ะ แบบที่วัดผลได้ในแต่ละวัน และจากนั้นก็พยายามทำให้เสร็จตามแผนในแต่ละวัน

ลดความเร็วในชีวิตลงค่ะ ดูแลสุขภาพร่างกาย มองโลกในแง่ดีเสมอ ตัดสิ่งที่ไม่สำคัญออกไป พยายามเน้นทำแต่สิ่งที่เป็นเป้าหมายในชีวิต จดจ่อแต่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนกระทั่งงานเสร็จ และหาเวลาว่างๆ ให้ตัวเอง ในการทบทวนและปรับปรุงโครงการเสมอ -- แค่นี้ ชีวิตก็ง่ายขึ้น แต่งานกลับมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้วค่ะ

หนังสือเล่มนี้ เพิ่งออกใหม่ค่ะ ยังน่าจะสามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป หรือจะซื้อต่อจากออยก็ได้นะคะ ออยคิดราคา 110 บาทค่ะ (จากราคาปก 170 บาท) ค่าจัดส่งฟรีค่ะ สนใจติดต่อได้ที่ kasibanoy@gmail.com

Wednesday, February 5, 2014

ปฏิทินปัญญา : A Calendar of Wisdom






หนังสือชื่อ  :  ปฏิทินปัญญา (A Calendar of Wisdom)

ผู้แต่ง  :  ลีโอ ตอลสตอล (Leo Tolstoy)

ผู้แปล  :  มนตรี ภู่มี

สำนักพิมพ์  :  แพรวสำนักพิมพ์



           หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือรวบรวมปรัญญาชีวิตและคำคมที่ควรอ่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพิ่มพลังชีวิต และให้ความหมายกับชีวิตว่า เราอยู่ไปเพื่ออะไร อะไรที่เราจะทำให้แก่โลกได้บ้าง เหมือนคำคมที่เคยอ่านเจอนานมาแล้ว ที่เขาว่า "ถ้าท่านมีเงินสองบาท จงใช้เงินหนึ่งบาทซื้อข้าว และอีกหนึ่งบาทซื้อดอกไม้ อย่างแรกจะทำให้ยังมีชีวิตต่อไป อย่างที่สอง จะทำให้รู้ว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร" ..หนังสือเล่มนี้ จัดว่าคือดอกไม้ที่ว่านั่นค่ะ

             ชอบหนังสือเล่มนี้ ตั้งแต่คำนำของ คุณมนตรี มีภู่ ผู้แปลแล้วค่ะ ผู้แปลเขียนทำนองว่า "เมื่อเรามีทุกข์ อารมณ์ขันและการมองโลกในแง่ดี อาจช่วยเราได้แค่ระดับหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นการบิดเบือนความจริงอยู่ไม่น้อย เมื่อเรามีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น เราจะพบว่า อารมณ์ขรึม (การนิ่งคิดอย่างไตร่ตรอง) และการมองโลกอย่างที่เป็นจริง ต่างหาก ที่จะช่วยเราได้อย่างแท้จริง"...

              ขออนุญาตคัดคำคม ปรัชญาบางส่วนจากหนังสือเล่มนี้ มาแบ่งปัน เพื่อความ "สงบในจิตวิญญาณ" กันนะคะ

                     "ผู้ที่ระงับความโกรธไว้ได้ เรียกว่าเป็นนายบังคับม้า เพราะความโกรธแล่นเร็วยิ่งกว่าม้าศึกฝีเท้าเร็วที่สุด ผู้ที่ระงับความโกรธไม่ได้ จึงได้แต่เพียงเกาะกุมบังเหียนม้าไว้
- ธรรมบท หนังสือพุทธปัญญา"

                    "ข้าพเจ้าคิดว่า หน้าที่หลักของพ่อแม่และผู้ให้การศึกษาก็คือ ทำให้เด็กๆ เข้าใจว่า จุดเริ่มต้นอันศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ภายในตัวพวกเขานั่นเอง
- วิลเลียม เอลเลอรี แชนนิง"

                      "เมื่อลูกธนูไม่เข้าเป้า นายธนูตำหนิตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น ผู้มีปัญญาก็เช่นเดียวกัน
- ขงจื๊อ"

                   "คนเราไม่ควรคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังความตายให้มากจนเกินไป จงทำตามเจตจำนงของผู้ที่ส่งเรามายังโลกนี้ เจตจำนงที่ว่านั้นอยู่ในความคิดและหัวใจของเรา"

                   "ไม่มีสิ่งใดจะอธิบายถึงเหตุแห่งความโกรธได้ เหตุแห่งความโกรธนั้นอยู่ในตัวท่านนั่นเอง"

                  "ในสมัยโบราณ เมื่อต้องการฆ่าหมี เขาจะแขวนไม้ท่อนหนักๆ ห้อยไว้เหนือชามน้ำผึ้ง เมื่อหมีผลักท่อนไม้ออกเพื่อจะกินน้ำผึ้ง ท่อนไม้ก็จะเหวี่ยงกลับมาฟาดหมี เมื่อเจ้าหมีเริ่มโมโหก็จะผลักท่อนไม้แรงขึ้น และย่อมถูกฟาดกลับมารุนแรงขึ้นกว่าเดิม ท่อนไม้เหวี่ยงกลับมาฟาดครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งฆ่ามันตาย คนเราก็ทำแบบเดียวกันนี้เมื่อโต้ตอบความชั่วร้ายที่ได้รับจากคนอื่นด้วยความชั่วร้าย คนเราไม่อาจฉลาดไปกว่าหมีหรืออย่างไร"

                   "ช่างประหลาดเหลือเกิน! คนโกงพยายามปกปิดความชั่วของตนโดยทำเป็นเคร่งศาสนา หรือทำเป็นมีจริยธรรมสูงส่ง หรือทำเป็นรักบ้านเกิดเมืองนอน
- ไฮน์ริช ไฮเนอ"

                    "เพื่อเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของหลายๆ สิ่ง ทั้งภายในตัวท่านเองและผู้อื่น คนเราควรเปลี่ยน ไม่ใช่เปลี่ยนเหตุการณ์ แต่เปลี่ยนความคิดที่สร้างเหตุการณ์นั้นขึ้น"

                    "ท่านไม่อาจเลือกทางดำเนินชีวิตใดได้แย่ไปกว่าการทำตามความเห็นของผู้อื่น"

                   "จงคิดแต่เรื่องดีๆ เท่านั้น แล้วเมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะกลายเป็นการกระทำที่ดี"

                 "ไม่มีอดีตและอนาคต ไม่มีใครเคยเข้าไปสู่ดินแดนจินตนาการทั้งสองอย่างนี้ได้ มีก็แต่ปัจจุบันเท่านั้น อย่ากังวลกับอนาคต เพราะอนาคตนั้นไม่ได้มีอยู่ จงอยู่กับปัจจุบันและเพื่อปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันของท่านดี มันก็จะดีไปตลอดกาล"

                   นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างพอหอมปากหอมคอ ซึ่งเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ในหนังสือเล่มนี้เท่านั้นค่ะ หนังสือเล่มนี้แบ่งแต่ละหน้าเป็นแต่ละวันในหนึ่งปี ดังนั้นจึงมีทั้งหมด 365 หน้า แต่ละหน้า หรือแต่ละวัน ก็มีคำคมจำนวน 4-7 คำคมค่ะ ถือว่าคุ้มราคามากค่ะ
                      
                      




Sunday, February 2, 2014

อภิมหาข้อมูล : Big Data





หนังสือชื่อ :  อภิมหาข้อมูล (Big Data)

ผู้แต่ง  :  Viktor Mayer-Schonberger และ Kenneth Cukier

ผู้แปล  :  กวี รุจีรัตน์

สำนักพิมพ์  :  ทรูไลฟ์


ขายแล้วค่ะ!!!
         
                     
                 เป็นหนังสือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นมากค่ะ อ่านแล้วทำให้ปฏิวัติความคิดที่เคยเรียนมาหลายอย่างเลยที่เดียว

                 ย้อนกลับไปสมัยที่เรียนวิทยาศาสตร์ อาจารย์จะบอกว่า การทดสอบ หรือการวิเคราะห์ตัวอย่างทางสิ่งแวดล้อมนั้น เนื่องจากประชากรของตัวอย่างมีเป็นจำนวนมาก เราจึงไม่สามารถตรวจสอบตัวอย่างทั้งหมดได้ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องทำการ "สุ่มตัวอย่าง" โดยใช้หลักการทางสถิติเข้ามาช่วย เพื่อให้การสุ่มตัวอย่างนั้นมีความถูกต้อง เที่ยงตรง เป็นตัวแทนของสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ...หลักจากนั้น ออยก็เรียนสถิติ เรียนเทคนิคการสุ่มตัวอย่างเเบบต่างๆ การหาความคลาดเคลื่อนของการสุ่ม เทคนิคการวิเคราะห์ต่างๆ ฯลฯ...
              ครั้นพอมาทำงานเป็นสาวโรงงาน ก็สุ่มตัวอย่างอีก นำตัวอย่างที่สุ่มได้ (โดยคาดหวังว่าจะเป็นตัวแทนของสินค้าทั้งล็อต) มาทำการวิเคราะห์ ได้ผลการทดลองมาอย่างเหนื่อยยาก ผลการทดลองที่ได้ จะใช้ในการพิสูจน์ว่า สินค้าทั้งล็อตนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ ถ้าได้ ก็ปล่อยสินค้าออกจากโรงงาน จากนั้นเอกสารการทดลองนี้ ก็เก็บเข้าตู้ เป็นอันจบ จะหยิบมาใช้อีกครั้ง ก็ต่อเมื่อสินค้ามีปัญหา ลูกค้าร้องเรียน จึงจะทำการสืบกลับ เพื่อหาสาเหตุของปัญหา แต่โดยรวมแล้ว ผลการทดลองชิ้นนั้น หรือข้อมูลของสินค้าล็อตนั้น มักจะเก็บอยู่ในตู้เฉยๆ ไม่ได้มีใครไปทำอะไรกับมัน

               แต่เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้เรียนรู้ว่า ...โลกกำลังจะเปลี่ยนไปแล้วจ้ะ...เทคนิคการสุ่มตัวอย่างมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดได้ เช่น เมื่อมีการแบ่งหมวดย่อยของตัวอย่างข้อมูลมากๆ หรือเกิดจากความอคติของผู้สุ่มตัวอย่าง อีกทั้งการสุ่มตัวอย่าง ต้องการการวางแผนที่รัดกุมรอบคอบ เช่น การแบ่งกลุ่ม การเตรียมแบบสอบถาม ทำให้การสุ่มตัวอย่างไม่สามารถให้ผลที่รวดเร็วได้ และยิ่งเราพยายามสุ่มตัวอย่างจำนวนมากๆ ความทันสมัยของข้อมูลก็จะลดลง

                  ดังนั้นเทคนิคการสุ่มตัวอย่างจึงกำลังถูกแทนที่ด้วย...ไม่มีการสุ่ม...เอามันหมดเลย..ประชากรทั้งหมดคือตัวอย่าง หรือ N = all ...และนักสถิติกำลังถูกแทนที่ด้วยนักอัลกอริทึม

                 หนังสือเริ่มด้วยการเล่าเรื่องอันน่าทึ่งในปี 2009 ถึงการระบาดของไข้หวัดสายพันธ์ใหม่ ผู้เชื่ยวชาญในตอนนั้น วิตกกันมากว่า การระบาดครั้งนี้จะนำมาซื่งการเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก หนทางที่จะยับยั้งการระบาดคือ การหาแหล่งกำเนิดของการระบาด และกำจัดบริเวณ เพื่อไม่ให้การระบาดแพร่กระจาย แต่ปัญหาคือ คนไข้มักจะมาหาหมอเมื่อไม่สบายหนักแล้ว ดังนั้นการทำนายการระบาดของโรงพยาบาล จึงจะช้ากว่าการระบาดที่เกิดขึ้นจริง...หากแต่ google กลับทำนายได้แม่นยำกว่า!!! ...แน่นอน..โดยใช้ big data หรือข้อมูลคำค้นหาของผู้ใช้ของ google ซึ่งมีเป็นจำนวนหลายล้านคำนั่นเอง

                หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องผลอันน่าแปลกใจ และดูไม่มีเหตุผลเลย เมื่อสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งร่วมกับโรงพยาบาล สร้างโปรแกรมโดยใช้ข้อมูล big data เพื่อตรวจจับความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยของทารกคลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อภายใน 24 ชั่วโมง ผลการวิจัยปรากฏว่า สัญญาณชีพที่คงที่เกินไปมักจะเป็นสัญญาณการบอกล่วงหน้าของอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้เด็กน้อยถึงแก่ชีวิตได้...ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดกับหลักเหตุและผลของคนเราทั่วไป

               ดังนั้น...ยินดีต้อนรับสู่โลกของ Big data...โลกที่หลักเหตุและผลใช้การไม่ได้...มนุษย์เรายึดหลักการเหตุและผลในการใช้ชีวิต หากแต่เมื่อเหตุมีข้อมูงปัจจัยจำนวนมาก การประมวลผลจึงอาศัยเเนวโน้มความน่าจะเป็น โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงหลักการเหตุและผล ดังนั้น ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลโดยใช้ Big data บางครั้งก็ขัดแย้งกับความเข้าใจของเราๆ ...Big data จึงไม่ได้สนใจเรื่องเหตุผล หากสนใจเรื่องแนวโน้มการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์มากกว่า เช่น ...ห้างค้าปลีกแห่งหนึ่งในอเมริกา ใช้อภิมหาข้อมูลเพื่อเพิ่มยอดขายสินค้าเด็กอ่อน พบว่าลูกค้าที่ตั้งครรภ์ได้เพียงสามเดือน (ซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายยังมองไม่เห็นภายนอก) จะซื้อโลชั่นแบบไร้กลิ่น และอีก 2-3 อาทิตย์ถัดมา พวกเธอจะซื้ออาหารเสริมบำรุงร่างกาย...นี่เป็นข้อมูลชิ้นดี โดยห้างไม่ต้องสนใจว่าทำไมพวกเธอจึงมีพฤติกรรมเช่นนั้นเหมือนกันหมด  สนใจเพียงแค่การส่งคูปองลดราคาสินค้าเด็กอ่อนให้เธอก็พอ

                หนังสือยังมีหลายตัวอย่างที่น่าทึ่งค่ะ ของการนำอภิมหาข้อมูลมาใช้ ทั้งในทางด้านธุรกิจ การค้า วิทยาศาสตร์ ฯลฯ และนอกจากจะกล่าวถึงการนำ big data มาใช้ประโยชน์แล้ว ในหนังสือ ยังพูดถึงโทษ เรื่องเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว (ข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ต การรูดเครดิตการ์ดของเรา ข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ของเรา กลายเป็นส่วนหนึ่งของ big data ที่บริษัทเหล่านี้ สามารถนำมาประมวล และทำเงินได้..แต่เรากลับไม่ได้อะไร เผลอๆ อาจได้รับความรำคาญ หรือรู้สึกคุกคามกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลก็เป็นได้) หรือ ในหนังสือ ยังกล่าวถึงผลกระทบในอนาคตของการใช้อภิอหาข้อมูลในทางที่ผิด เพราะข้อมูลที่ได้จากการประมวลผล เป็นเพียงแนวโน้มของความเป็นไปได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะถูกต้อง 100% หรือจะเป็นไปตามคำทำนายเสมอไป

                   เป็นหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มเลยทีเดียวค่ะ อาจจะมีติบ้าง ก็ตรงที่รูปแบบการจัดเรียงเนื้อหา ไม่ค่อยดี ทำให้ตัวหนังสือติดกันเป็นพรืด ทำให้ดูง่วงนอน ไม่น่าอ่าน แต่เนื้อหาในหนังสือ น่าสนใจเชียวค่ะ ใกล้ตัวเรามากๆ ด้วย 

                     หากสนใจหนังสือเล่มนี้ ยังหาซื้อได้ที่ร้านซีเอ็ดนะคะ หรือจะซื้อต่อจากออยก็ได้ ในราคาลดถึง 50%  เหลือเพียง 175 บาท บวกค่าจัดส่งทาง EMS อีก 50 บาทค่ะ สนใจติดต่อได้ที่ kasibanoy@gmail.com ค่ะ

Saturday, February 1, 2014

เชิดหุ่นเชือด : Nemesis






หนังสือชื่อ  :  เชิดหุ่นเชือด (Nemesis)

ผู้แต่ง  :  Jo Nesbo

ผู้แปล  :  นันทวัน เติมแสงสิริศักดิ์

สำนักพิมพ์  :  น้ำพุ




        ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ Jo Nesbo คือคนเดียวกับที่แต่ง "ฤกษ์งาม ยามเชือด (The Devil's Star)" เล่มที่ออยได้รีวิวไปก่อนหน้านี้ ถ้าดูจาก timeline ในหนังสือเเล้ว เหตุการณ์ในหนังสือเล่มนี้ เกิดขึ้นก่อน หนังสือเรื่อง "ฤกษ์งาม ยามเชือด" ค่ะ แต่อ่านเล่มไหนก่อน ก็ไม่มีปัญหานะคะ เรื่องจบในตอนค่ะ อ่านเล่มไหนก่อน ก็ไม่งง

            เรื่องราวในหนังสือ ลึกลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อนเช่นเคยค่ะ เริ่มจากมีโจรบุกเดี่ยวเข้าปล้นธนาคารเเห่งหนึ่งในกรุงออสโล โจรได้เงินอย่างที่เขาต้องการแล้ว แต่กลับทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด โดยการกระซิบบางอย่างกับหญิงที่ถูกจับเป็นตัวประกัน จากนั้นก็ลั่นไกสังหารเธอ! 

                สารวัตร แฮร์รี โฮล ได้รับหน้าที่สืบสวนคดีนี้ค่ะ (ไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมนะคะ เป็นตัวป่วนในทีมซะมากกว่า) คดีนี้มืดแปดด้าน ไม่มีเบาะแสอะไรเลย จนถึงขนาดตำรวจต้องไปขอความช่วยเหลือจากอดีตโจรปล้นธนาคารชื่อดัง "ราสโคล" ที่ตอนนี้ติดคุกอยู่ เพื่อช่วยระบุผู้ต้องสงสัย ...นายราสโคล นี่ก็มีเบื้องหลังที่น่าสนใจค่ะ คือแกเป็นโจรปล้นธนาคารชื่อดัง ไม่มีใครจับแกได้ แต่อยู่ๆ แกก็เดินขึ้นโรงพัก สารภาพสิ้นทุกอย่างที่กระทำลงไป และยอมติดคุก ไม่มีใครรู้ว่าอะไรเป็นแรงจูงใจให้แกยอมเข้าคุก ทั้งๆที่ตำรวจคว้าน้ำเหลวในการพยายามจับแก...

                  คดีนี้ยิ่งลึกลับซับซ้อนขึ้น เมื่อหลักฐานจากกล้องวงจรปิดในธนาคาร จากการวัดระยะห่างทางสังคม ทำให้เชื่อได้ว่า โจรกับเหยื่อรู้จักกัน!!! ...แล้วทำไมโจรต้องฆ่าเธอ? ...เพื่อปิดปากอย่างนั้นเหรอ?

                  ระหว่างที่คดีโจรปล้นธนาคารกำลังเข้มข้น สารวัตรโฮล ก็มีปัญหาชีวิตค่ะ เมื่อพบว่า แฟนเก่าถูกพบเป็นศพอยู่ในห้องปิดตาย แถมมีหลักฐานว่าสารวัตรโฮลเคยอยู่ในที่เกิดเหตุ ที่ร้ายกว่านั้นคือ เขาจำอะไรในคืนที่อยู่กับเธอไม่ได้เลย!

           เบื้องต้น คดีของเเอนนา (แฟนเก่าของสารวัตรโฮล) ถูกสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตายค่ะ หากแต่สารวัตรโฮลไม่ปักใจเชื่อเช่นนั้น เนื่องจากผู้ตายเป็นคนถนัดซ้าย หากแต่ศพที่พบกลับลั่นไกปืนโดยใช้มือขวา! ...นอกจากนี้สารวัตโฮลยังได้รับ e-mail จากผู้ส่งนิรนาม ที่ระบุว่าตนเป็นคนฆ่าแอนนา! ...งานนี้ สารวัตรโฮลต้องลงมือสืบสวนด้วยตนเอง ...เรื่องราวชุลมุนพันเกไปจนถึงอดีตคนรักคนอื่นๆ ของแอนนา และชีวิตครอบครัวของเธอ!

              หนังสือเล่มนี้ เป็นการเปิดตัว ตำรวจสาว "บีท เลินน์" ค่ะ ตำรวจอัจฉริยะ ผู้มีความสามารถพิเศษในการจดจำใบหน้าคน แม้เพียงครั้งแรก ครั้งเดียวที่พบ บีทเป็นลูกตำรวจค่ะ พ่อของเธอเป็นตำรวจที่มีประสบการณ์ หากแต่โดนโจรปล้นธนาคารยิงตาย ในระหว่างที่เข้าไประงับเหตุ (ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าประหลาดใจมากว่า ทำไมนายตำรวจที่เก่ง และมีประสบการณ์จึงทำอะไรโง่ๆ ไม่รอกำลังเสริม)

              ทุกอย่างดูชุลมุนค่ะ และดูเป็น 2 คดีที่ไม่เกี่ยวข้องกัน สารวัตรโฮลกับบีท ต้องวิ่งวุ่น จากออสโล ไปบราซิล แล้วกลับมาออสโล เพื่อคลี่คลายคดี ...ใครคือโจรปล้นธนาคาร?..ทำไมต้องฆ่าเหยื่อ ทั้งๆ ที่ได้เงินไปแล้ว?...โจรปล้นธนาคารกับเหยื่อรู้จักกันหรือไม่?...อะไรทำให้โจรปล้นธนาคารชื่อดัง อย่างราสโคลยอมมอบตัว?...ใครฆ่าแอนนา และทำไม? ...ทำไมพ่อของบีทจึงไม่รอกำลังเสริม? 

                  

Friday, January 31, 2014

ปฏิบัติการล่าไอคิว : The Know-It-All






หนังสือชื่อ  :  ปฏิบัติการล่าไอคิว (The Know-It-All)

ผู้แต่ง  :  A.J. Jacobs

ผู้แปล  :  วไลลักษณ์ อุณจักร

สำนักพิมพ์  :  มติชน


ขายแล้วค่ะ!!!

       
      เป็นหนังสือความรู้รอบตัวแบบอ่านง่ายๆ สบายๆ ค่ะ เหมาะสำหรับคนที่อยากหาหนังสืออ่านเสริมความรู้ ที่ไม่เครียดจนเกินไป
           
           หนังสือเล่มนี้เริ่มจากแรงบันดาลของผู้แต่งค่ะ ที่เขาอยากเป็นคนเก่งที่สุดในโลก (ใครล่ะที่ไม่อยาก) ประกอบกับรู้สึกว่า ความรู้ต่างๆ ที่เรียนมาสมัยมัธยม มหาวิทยาลัยนั้น ได้ค่อยๆ เลือนหายไปจากสมองของเขามากแล้ว เขาเลยตั้งปณิธานว่า จะอ่านสารานุกรมบริแทนกา จากตัวอักษร A-Z ให้จบให้ได้!!!
                ดังนั้นเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ จะเป็นกึ่งๆ ไดอารี่ส่วนตัวของผู้เขียน กับสิ่งที่เขาได้อ่านมาจากสารานุกรมบริแทนกาค่ะ

                  การอ่านหนังสือให้จบเล่ม คงไม่ใช่ปณิธานที่ยิ่งใหญ่อะไร หากแต่นี่เป็นสารานุกรมบริแทนกา ซึ่งมีเป็นเล่มโตๆ ทั้งหมด 32 เล่ม 33,000 หน้า จากผู้เขียน 9,500 คน!!! ดังนั้น คนที่จะอ่านสารานุกรมนี้จนจบได้ ต้องมีทั้งเวลา ความตั้งใจมุ่งมั่น และความอดทนเป็นอย่างยิ่ง (หนังสือสารานุกรม ก็น่าเบื่อ คล้ายๆ หนังสือเรียนดีๆ นี่เอง)

               ผู้แต่งไม่ได้อ่านสารานุกรมอย่างผ่านๆ ไปเผื่อให้จบเร็วๆ นะคะ หากแต่เขาอ่านอย่างตั้งใจเชียวค่ะ และมีการจดรายละเอียดต่างๆ นำมาเล่าให้พวกเราอ่าน ในรูปแบบขำๆ ร่วมไปกับเล่าเรื่องราวในชีวิตของเขา เริ่มตั้งแต่อยากมีลูก แต่ก็ไม่มีสักที รู้สึกอิจฉาคู่อื่นที่มีลูกไปก่อนหน้าแล้ว จนในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์ การเตรียมพร้อมเพื่อเป็นคุณพ่อมือใหม่ เรื่องราวในครอบครัว การแข่งขันระหว่างพ่อ-ลูก (ผู้แต่งมีคุณพ่อซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฏหมายค่ะ แต่งตำรามาหลายเล่ม นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้แต่งอยากเป็นคนเก่งเหมือนคุณพ่อกระมัง)

           นอกจากหนังสือเล่มนี้จะสนุก และได้ความรู้อย่างเบาๆ แล้ว ยังแฝงแง่คิดด้วยค่ะ ว่าผู้เเต่งมีวิธีการทำให้การทำงานที่ดูน่าเบื่อ และใช้เวลา อย่างการอ่านสารานุกรม ให้เป็นเรื่องน่าสนุกได้อย่างไร ซึ่งเราอ่านแล้วก็สามารถนำมาปรับใช้ได้นะคะ กับการเรียน หรือทำงาน เพราะหลายๆ ครั้งที่เราต้องทำงานหรือเรียนวิชาที่น่าเบื่อ (ซึ่งเราเองรู้ดีว่ามันจะดีกับอนาคตของเรา เราจึงต้องทนทำหรือเรียนไป) เราสามารถมองมันในเเง่มุมที่สนุกเหมือนผู้แต่งก็ได้ค่ะ ...ทั้งหมดนี่ มันขึ้นอยู่กับทัศนคติของเรามีต่อสิ่งที่เราทำค่ะ....

          แล้วหลังจากที่ผู้เเต่งบรรลุปณิธานของตน ในการอ่านสารานุกรมจนจบ เขากลายเป็นคนฉลาดขึ้นหรือเปล่า? ....ต้องให้ไปอ่านกันเองค่ะ แต่ขอเล่านิทานที่ได้อ่านจากหนังสือเล่มนี้ค่ะ  ...มีจักรพรรดิ์องค์หนึ่ง อยากจะให้เล่านักปราชญ์รวบรวมประมวลความรู้ทั้งหมดที่มี ออกมาเป็นสรุปสั้นๆ เพื่อที่จะได้ให้ลูกชายขององค์จักรพรรดิ์อ่าน นักปราชญ์ก็รวบรวมเขียนเป็นหนังสือสารานุกรมได้จำนวนหนึ่ง จักรพรรดิ์ไม่พอใจค่ะ บอกว่ายาวไป ไล่ให้ไปสรุปมาอีก...นักปราชญ์ก็ไปทำสรุปมา ได้มาเป็นหนังสือเพียงเล่มเดียว จักรพรรดิ์เห็นแล้วก็ยังไม่พอใจ ยังติว่ายาวเกินไป...สุดท้ายแล้ว นักปราชญ์ก็ทำได้ค่ะ สรุปประมวลความรู้ในหนังสือสารานุกรมจนเหลือแค่ประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว คือ "แล้วมันก็จะผ่านไป" (This too shall pass)...

         สนใจอ่านหนังสือเล่มนี้ ซื้อต่อจากออยได้นะคะ ในราคาลด 60% เหลือ 165 บาทค่ะ รวมค่าจัดส่งทาง EMS อีก 50 บาทค่ะ สนใจติดต่อ kasibanoy@gmail.com ค่ะ หนังสือมีแค่เล่มเดียวนะคะ เพราะซื้อมาอ่านเอง และขายต่อค่ะ