Monday, September 2, 2024

The Diary of a CEO

 



หนังสือชื่อ  :  The Diary off a CEO
ผู้แต่ง  :  Steven Bartlett
สำนักพิมพ์  :  Ebury Edge

จัดว่าเป็นหนังสือ How-to ที่ดีที่สุดที่เคยอ่านในปีนี้เลยล่ะค่ะ ปกติหนังสือพวก How-to เนี่ยจะน้ำท่วมทุ่ง เนื้อหาใจความสำคัญมีแค่นิดเดียว ที่เหลือทั้งเล่มเขียนหนาๆ คือการพยายามใช้สำนวนการเขียนให้คนอ่านคล้อยตามประเด็นที่คนเขียนต้องการสื่อ

แต่หนังสือเล่มนี้ต่างออกไปค่ะ ไม่เชิงเป็นหนังสือ How-to ซะทีเดียว แต่กึ่งๆ เป็นหนังสือแนะนำการทำ marketing ในโซเชียลมีเดีย รวมถึงการสร้างทีม การทำงานร่วมกับคนอื่นให้บรรลุผลที่ต้องการ

ผู้เขียนแบ่งหนังสือออกเป็น 4 ภาค หรือ 4 เสา และในแต่ละภาคก็มีบทย่อยๆ เป็นกฎต่างๆ และแต่ละกฎก็น่าสนใจอ่านทั้งนั้นเลย กลายเป็นหนังสือ how-to ที่เหนือหาอัดแน่นเลยค่ะ
ภาคที่ 1 คือตัวเอง 
การปรับปรุงตัวเอง ผู้เขียนมองว่า การจะบรรลุความสำเร็จใดๆ ควรเริ่มต้นด้วยทัศนคติในตัวเองก่อน เริ่มจากเติมเต็มความรู้ให้แก่ตัวเอง และเพิ่มทักษะความสามารถ จากนั้นค่อยหาเน็ตเวิร์ค ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และค่อยหาทรัพยากร เงินทุนลงทุน แล้วสุดท้ายค่อยคิดถึงภาพลักษณ์ที่ต้องการแสดงให้โลกเห็น -- เราควรทำทั้งหมดนี้ตามขั้นตอน อย่าลัดทำอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เพราะจะกลายเป็นว่าเราเริ่มธุรกิจทั้งที่ยังไม่พร้อมในภาคนี้ ผู้เขียนเน้นในการปรับปรุงตัวเอง วิธีการสร้างนิสัยที่ดี หรือเลิกนิสัยที่เสีย 

ภาคที่ 2 เรื่องราว
ในบทนี้ คือการเล่าเรื่องของเราหรือบริษัทของเราให้ผู้คนรับรู้ -- คนจะจำเรื่องเหลวไหล ขบขันที่เราทำได้ง่ายกว่าสาระประโยชน์ ดังนั้นถ้าอยากจะให้บริษัทเป็นที่รู้จัก ก็ควรหาจุดขายขำๆ ให้คนจำได้ 
ภาคนี้มีหลายกฏ และน่าสนใจทั้งนั้นเลยค่ะ เพราะผู้เขียนเชี่ยวชาญเรื่องการโฆษณาในโซเชียลมีเดีย ดังนั้นอ่านแล้วได้ความรู้นำมาปรับใช้กับธุรกิจได้เลยล่ะค่

ภาคที่ 3 ปรัชญา
เป็นเรื่องของปรัชญาในการทำงาน ทัศนคติในการรับมือกับปัญหาต่างๆ ในที่ทำงาน และการวางเป้าหมายในการทำงานค่ะ

ภาคที่ 4 ทีม
การสร้างทีมงาน สร้างเพื่อนร่วมงาน ในฐานะผู้จัดการ เราควรทำตัวเหมือนของเหลว รับมือกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องแต่ละคนแตกต่างกัน ตามนิสัยเฉพาะตัวของลูกน้องคนนั้นๆ เพื่อให้พวกเขาร่วมมือทำงานและบรรลุเป้าหมายของทีม 
ผู้จัดการที่ดีต้องสามารถหาคนที่เก่งกว่าในเฉพาะทางนั้นๆ มาทำงานให้เราค่ะ และทำงานโดยประเมินความสำเร็จจากความก้าวหน้าของงาน ที่อาจจะเขยิบทีละน้อยๆ แต่ก็ก้าวหน้า (งานบางอย่างต้องใช้เวลา) แทนที่จะประเมินผลงานจากการทำงานเสร็จ 
.
เป็นหนังสือที่ดีเลยล่ะค่ะ อ่านเถอะ อ่านแล้วได้แง่คิดอะไรแน่นอน

Sunday, August 25, 2024

Three Little Birds

 


หนังสือชื่อ  :  Three Little Birds

ผู้แต่ง  :  Sam Blake

สำนักพิมพ์  :  Corvus


เป็นนิยายสืบสวนสอบสวนค่ะ เรื่องเกิดขึ้นในประเทศไอร์แลนด์ 

ตัวเอกของเรื่องคือ Carla Steele เป็นหัวหน้าสถาบัน ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยานิติเวช  Carlar สามารถใช้ดินเหนียวปั้นจำลองใบหน้าของเหยื่อจากโครงกระดูกหัวกระโหลกได้ ซึ่งช่วยอย่างมากสำหรับการตามระบุตัวศพนิรนาม

เรื่องมันเริ่มจาก มีคนบังเอิญเจอหัวกระโหลกในทะเลสาบน้ำจืด Cross -- ตำรวจในพื้นที่จึงนำหัวกระโหลกมาให้ Carla ช่วยระบุตัว ตำรวจคิดว่าน่าจะเป็นกระโหลกของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งหายตัวไป แต่เมื่อ Carla เห็นหัวกระโหลก ก็ระบุได้ทันทีว่าต้องเป็นคนหายที่นานกว่านั้นเป็นปีๆ และน่าจะเป็นผู้หญิง...ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา เมือง Coyne's Cross เป็นเมืองที่สงบมาก ไม่เคยมีเหตุอะไรร้ายแรง ในอดีตมีผู้หญิงหายตัวไปแค่ 2 คน คือ Gemma Langan หายไปเมื่อปี 2009 และ Kellie Murphy หายไปเมื่อปี 2018 -- ซึ่งคดีของ Gemma ตำรวจจับคนร้ายได้ แต่ไม่เจอศพของเธอ

ตำรวจเอากระโหลกมาให้ในวันทำงานก่อนวันหยุดประจำปี ทะเลสาบ Cross ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว จุดประกายให้ Carla และ Grace เพื่อนสนิทอยากไปพักผ่อนในช่วงวันหยุดค่ะ เพราะเดินทางไม่ยาก ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง แถมได้ดูสถานที่จริงที่เจอหัวกระโหลกด้วย 

และไม่น่าเชื่อว่า กระโหลกที่จมอยู่ก้นทะเลสาบเป็นปีๆ เมื่อโผล่ขึ้นมา ทำให้เหตุการณ์ในอดีตที่คิดว่าถูกฝังกลบไปกับศพนั้น โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง! 

ที่ทะเลสาบ ระหว่างเดินเล่น Carla กับตำรวจ Jack ก็บังเอิญเจอศพ! เป็นน้องสาวของเจ้าของรีสอร์ตที่ Carla กับ Grace เช่าพักอยู่ ศพอยู่ในสภาพถูกทารุณ แขวนอยู่กับต้นไม้ หัวใจของศพหายไป!

วันถัดมา เจ้าของรีสอร์ท (ซึ่งเป็นพี่สาวของศพแรก) ก็ถูกฆ่าตายในเรือบ้านของเธอเอง! สภาพศพคล้ายกัน ถูกควักหัวใจออกมาเหมือนกัน สามีของเธอเป็นผู้พบศพ

ดูเหมือนจะไม่ใช่การฆ่าแบบสุ่มแล้วล่ะค่ะ

เมื่อ Carla กลับมาที่ทำงาน เธอก็รีบปั้นใบหน้าจำลองของหัวกระโหลกทันที ...และพบว่า กระโหลกนั้นเป็นของ Gemma Langan หญิงสาวอายุ 17 ปี ที่หายไปในปี 2009 ... และดูเหมือนฆาตกรที่ทำให้เธอตายจะยังลอยนวลอยู่ข้างนอก ตำรวจจับคนร้ายผิดคน คนร้ายที่ตอนนี้อยู่ในคุก ไม่มีทางที่จะเป็นคนร้ายตัวจริง 

.

สนุกค่ะ ร่วมลุ้นว่า Carla จะสามารถระบุคนร้ายตัวจริงได้หรือไม่ ก่อนที่จะมีเหยื่อรายต่อไป 

และมีเล่าภูมิหลังของ Carla ที่ทำให้เธอมาทำงานด้านนี้ ก็เนื่องจากเพื่อนสนิทของเธออีกคน คือ Lizze หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนที่พวกเธอเรียนอยู่ปีสามในมหาวิทยาลัย เรื่องนี้มีผลต่อสภาพจิตใจของ Carla เป็นอย่างมาก ...นอกจากไปเรียนต่อจนเชี่ยวชาญด้านมนุยศาสตรแล้ว เมื่อเรียนจบ Carla ก็ขอซื้อ และอาศัยอยู่ที่บ้านหลังที่เคยอยู่กับ Lizze เพื่อให้แน่ใจว่าถ้า Lizze กลับมา จะยังมีคนรออยู่ที่บ้านเสมอ 

Three Little Birds คือรอยสักนกเล็กๆ 3 ตัว กางปีกบินอยู่ อันเป็นตัวแทนของ ตัว Carla เอง, Lizze และ Grace เพื่อนของเธอ


Monday, July 15, 2024

The Silent Corner


 หนังสือชื่อ  :  The Silent Corner

ผู้แต่ง  :  Dean Koontz

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


นี่คือหนังสือที่เป็นต้นกำเนิดของทฤษฎีสมคบคิดที่เกี่ยวกับวัคซีนโควิด!

Dean Koontz ผู้แต่งจินตนาการล้ำมากค่ะ หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปี 2017 ก่อนการระบาดของโรคโควิดค่ะ

ตัวเอกของเรื่องคือ Jane Hawk เป็นเจ้าหน้าที่ FBI สวย เก่ง เคยตามล่าฆาตกรฆ่าต่อเนื่องมาแล้ว ... แต่ตอนนี้ Jane อยู่ในช่วงลาพักร้อนค่ะ ...สามีของ  Jane คือ Nick เพิ่งฆ่าตัวตายไป ฆ่าตัวตายอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีสัญญาณของการเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อน ชีวิตทั้งส่วนตัวและหน้าที่การงานก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น 

Jane ไม่เชื่อว่าสามีของเธอฆ่าตัวตายโดยสมัครใจ ดังนั้นเธอจึงทำการสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น และพบว่า ในระยะเวลาไม่นานนี้ ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา มีคนฆ่าตัวตายอย่างปริศนาเพิ่มขึ้น เป็นการฆ่าตัวตายโดยคนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าตัวตาย ไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าจะคิดสั้น และวิธีการจบชีวิตก็ไม่เข้ากับบุคลิกของผู้ตายเป็นอย่างยิ่ง

สืบไปสืบมา กลายเป็นว่า Jane โดนคุกคาม มีคนมาขู่ โดยผ่านทาง Travis ลูกชายวัยห้าขวบของ Jane ทำให้ Jane ระแวงเรื่องความปลอดภัยของลูกชาย และเริ่มรู้แล้วว่า การฆ่าตัวตายของ Nick มีเบื้องหลัง และองค์กรหรืออะไรก็ตามที่บงการเรื่องนี้ มีอิทธิพลสูงมาก ..ดังนั้นไม่ว่า Jane จะพูดจะแฉอะไรออกไปก็ยากจะมีคนเชื่อ 

Jane ไม่คิดจะหยุดการสอบสวนเรื่องนี้ เพราะเมื่อมีคนขู่ แสดงว่าเรื่องที่สงสัยเป็นเรื่องจริง Jane จึงต้องเอาลูกชายไปฝากไว้กับคนที่ไว้ใจ และจากนั้นก็โชว์เดี่ยว สอบสวนเรื่องนี้คนเดียว เดินทางทั่วอเมริก เพื่อสัมภาษณ์ญาติใกล้ชิดของคนที่ฆ่าตัวตายปริศนา เพื่อหาว่าเบาะแสเชื่อมโยง

มันเป็นเรื่องทฤษฎีสมคบคิดที่ชวนให้ระแวงทุกคนเลยค่ะ คือเราไม่รู้ว่าใครที่โดนองค์กรนี้บงการสมองบ้าง ไม่สามารถดูได้จากภายนอก ... แถมทุกคนที่ฆ่าตัวตาย ก็มีหลักฐานชัดว่าฆ่าตัวตายจริงๆ ไม่ใช่ฆาตกรรมอำพรางแต่อย่างใด มีบางคนเขียนจดหมายลาตาย แต่จดหมายลาตายก็ไม่มีใครอ่านเข้าใจ แม้แต่ตัวคนใกล้ชิดของผู้ตายก็ไม่เข้าใจว่าผู้ตายต้องการสั่งเสียอะไร 

ตัวอย่างเช่น Jane ขับรถไปสัมภาษณ์ภรรยาหม้ายของนายพลในกองทัพที่ฆ่าตัวตายปริศนา ระหว่างสนทนากัน ภรรยาหม้ายคนนี้ขอตัวไปรับโทรศัพท์ แล้วเธอก็ยิงตัวตายเฉยเลย! เหมือนนึกอยากจะตายก็ฆ่าตัวตายซะงั้น ...ซึ่งมันไม่ปกติค่ะ คนเราก่อนจะคิดถึงขั้นจบชีวิตตัวเอง มันต้องผ่านกระบวนการหลายอย่างเป็นสัญญาณให้เห็นก่อน แต่นี่ไม่เลย???

.

.

สปอยด์ : มีกลุ่มอิลีท กลุ่มคนรวยมีอิทธิพลของประเทศ (ซึ่งในหนังสือไม่ได้บอกว่ามีใครบ้าง เพราะนี่คือเล่มหนึ่ง) คนกลุ่มนี้ต้องการบงการโลก เชื่อว่า มนุษย์ และ AI ด้วยความช่วยเหลือของนาโนเทคโนโลยี จะช่วยให้โลกสงบสุขขึ้น พวกเขาได้สร้างนวัตกรรมที่เป็น nanomachines เครื่องจักรนาโน -- ในหนังสือไม่ได้เรียกมันว่าวัคซีน mRNA นะคะ แต่บอกว่าเป็นนวัตกรรมตัดแต่งไรโบโซม (ไรโบโซม ทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีนในเซลล์) ซึ่งเมื่อฉีดสารนี้เข้าไปในร่างกาย แต่ละเซลล์จะสร้างสารที่เป็นกลไกขึ้นมา และเมื่อรวมกันคล้ายๆ จิ๊กซอว์มาต่อๆ กัน กลไกนี้ก็จะสามารถโปรแกรมและควบคุมสมองได้ เป็นโครงข่ายในสมองเหมือนใยแมงมุม ทำให้คนที่ได้รับสารเชื่อฟัง ทำตามที่ได้โปรแกรมไว้ เช่น มีผู้หญิงสวยที่ถูกโปรแกรมให้เป็นโสเภณี ทำงานในซ่องชั้นสูง หาเงินเข้ากระเป๋านักวิทยาศาสตร์คนคิดสารนี้ หรือโปรแกรมให้คนเป็นนักฆ่า 

.

หลักฐานที่จะพิสูจน์การกระทำของคนกลุ่มนี้ ไม่มีเลยค่ะ คือไม่มีอะไรที่สามารถเล่าให้คนอื่นฟังแล้วน่าเช่ือถือเลย ที่ Jane สัมภาษณ์หมอนิติเวชที่ผ่าสมองของคนฆ่าตัวตายคนหนึ่ง หมอบอกว่า ในสมองของผู้ตายมีโครงข่ายเหมือนใยแมงมุมพันรอบ แต่อยู่แค่ไม่กี่วินาที ใยแมงมุมนั้นก็หายไปกับตา หมอไม่มีหลักฐานอื่นใดนอกจากนี้ แถมหลังจากนั้น ก็โดนไล่ออกจากงานด้วยค่ะ 

.

สนุกค่ะ แต่ไม่จบแค่เล่มเดียว เล่มนี้คือเล่มแรก Dean Koontz ไม่เคยทำให้ผิดหวังค่ะ


Friday, June 21, 2024

The Man Who Died Twice

 


หนังสือชื่อ  :  The Man Who Died Twice

ผู้แต่ง  :  Richard Osman

สำนักพิมพ์  :  Viking (an imprint of Penguin Books)


สนุกค่ะ อารมณ์ขันแบบอังกฤษ ตัวละครหลักเป็นผู้สูงวัย (70+) ดูเหมือนนี่จะเป็นเล่มที่สองในซีรีย์นี้ แต่อ่านแยกได้ไม่งงค่ะ อาจจะมีบ้างที่ไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ของตัวละครบางคน แต่ไม่ใช่ประเด็นหลักค่ะ 

แก๊งส์ The Thursday Murder Club เป็นกลุ่มผู้สูงวัย ประกอบไปด้วย

- Joyce Meadowcroft

- Ron Ritchie

- Ibrahim Arif

- Elizabeth Best

เริ่มจาก Elizabeth ได้รับจดหมายขอนัดเจอจากคนที่ตายไปแล้ว ซึ่งเป็นคนที่ Elizabeth ชันสูตรศพด้วยตัวเองด้วย ด้วยความอยากรู้ เธอจึงไปพบ ...และกลายเป็นว่า เจอกับอดีตสามี Douglas

Douglas เป็นสายลับ MI5 ปฏิบัติภารกิจพลาด ในระหว่างเข้าไปสืบในบ้านของอาชญากร Martin Lomax แล้วเพชรดันหายไป (ภารกิจราชการให้เข้าไปสืบในบ้านเฉยๆ แต่ Douglas ดันถือโอกาสขโมยเพชรมาด้วย ตั้งใจเอาไปใช้เป็นทุนตอนเกษียณ) ...ความซวยคือ Lomax ดันจับได้จากกล้องวงจรปิดว่าใครเป็นขโมย ดังนั้น Douglas ก็เลยต้องซ่อนตัว และขอให้อดีตภรรยา Elizabeth ช่วย

Martin Lomax คือนายประกันในโลกอาชญากรรม เป็นคนกลาง อย่างในเรื่อง มาเฟียอเมริกาจะซื้อยาจากพ่อค้ายา ในเมื่อทั้งคู่อยากทำธุรกิจกัน แต่ต่างไม่ไว้ใจกันและกัน ดังนั้นจึงต้องมีคนกลางที่น่าไว้ใจเป็นคนค้ำประกัน มาเฟียอเมริกาเอาเพชรมาค้ำประกันกับ Lomax และถ้าพ่อค้ายาส่งยาให้มาเฟีย Lomax ก็จะมอบเพชรให้พ่อค้ายา ...แต่ในกรณีนี้ เพชรดันมาหายตอนที่อยู่ในมือคนกลางอย่าง Lomax 

ตอนแรก Elizabeth ปฏิเสธ 

แต่ต่อมา Ibrahim โดนวัยรุ่นเหลือขอทำร้ายร่างกาย เพื่อขโมยโทรศัพท์ ถึงแม้ตำรวจจะรู้ว่าวัยรุ่นที่ก่อเหตุคือ Ryan Baird ...แต่กฎหมายทำอะไรไม่ได้มาก ไม่มีหลักฐานกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น Ryan เลยรอดคุก เดินออกไปสวยๆ 

Elizabeth เลยตกลงช่วย Douglas เพื่อเอาเงินมาแก้แค้นให้ Ibrahim -- วิธีโครตลงทุน โดยการซื้อโคเคนล็อตใหญ่ แล้วแอบวางไว้ในห้องน้ำในบ้าน Ryan แล้วก็แจ้งตำรวจมาจับ 

เหมือนเรื่องจะจบ แต่กลายเป็นว่า Douglas พร้อมผู้คุ้มกันถูกยิงเสียชีวิต โดย Lomax ไม่เกี่ยวข้องด้วย ไม่ได้สั่งฆ่า ...และตอนนี้ที่ซ่อนเพชรก็หายไปกับการตายของ Douglas

Elizabeth ต้องไขปริศนา หาเพชรให้เจอ และคลายความแคลงใจว่าตกลง Douglas ตายจริงไหม หรือแกล้งตายเหมือนที่เคยทำมาก่อน

ขณะเดียวกัน Ryan Baird ที่โดนจับข้อหามีโคเคนในครอบครอง ก็ดันหนีประกันตัว หายเข้ากลีบเมฆ แก๊งส์ผู้สูงวัย Thursday Murder Club ก็ต้องร่วมกันไขปริศนาตาม Ryan กลับมารับโทษให้ได้

Sunday, June 9, 2024

Such a Quiet Place

 



หนังสือชื่อ  :  Such a Quiet Place

ผู้แต่ง  :  Megan Miranda

สำนักพิมพ์  :  Corvus


สนุกค่ะ อ่านเสียการเสียงาน เรื่องไม่ยาวมาก เดินเรื่องเร็ว ตัวละครไม่เยอะ แต่พลิกไปพลิกมา และเดาแทบไม่ออกว่าใครคือฆาตกรตัวจริงกันแน่

เรื่องเกิดขึ้นที่หมู่บ้านชื่อ Hollow's Edge ในอเมริกา เป็นหมู่บ้านที่มีกันแค่ 10 หลังเองค่ะ (ในหนังสือมีแผนที่แสดงที่ตั้งของบ้านให้) คนในหมู่บ้านอยู่กันมานาน ส่วนใหญ่ทำงานในวิทยาลัย หรือที่โรงเรียนใกล้ๆ คือเป็นทั้งเพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมงานที่ทำงานที่เดียวกัน หมู่บ้านที่เงียบสงบ ลูกบ้านเป็นคนมีการศึกษา ช่วยเหลือกัน และสอดส่องความปลอดภัยของกันและกัน เป็นยิ่งกว่าเพื่อน เป็นยิ่งกว่าคนในครอบครัว รู้ทั้งด้านมืดและด้านสว่างของกันและกัน ... จนกระทั่ง เกิดคดีฆาตกรรมยกครัวในบ้านหลังหนึ่งเมื่อ 14 เดือนก่อน และผู้ต้องสงสัยก็คือเพื่อนบ้านนั่นเอง

เรื่องเล่าในมุมของ Harper ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านติดกับบ้านของ Brandon & Fiona Truett สองสามีภรรยาที่เสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน ทั้งคู่เสียชีวิตด้วยคาร์บอนมอนออกไซต์ มีคนติดเครื่องยนต์รถของ Fiona ที่จอดในโรงรถในบ้าน และควันเข้าไปในบ้าน ทั้งคู่นอนอยู่ชั้นล่าง เสียชีวิตจากการได้รับก๊าซคาร์มอนมอนออกไซต์

Harper เป็นคนเจอศพ เพราะเนื่องจากเธออยู่บ้านติดกัน เลยได้ยินเสียงหมาของเพื่อนบ้านเห่าทั้งวัน อารมณ์รำคาญ เลยไปเคาะประตูเพื่อคุยกับเพื่อนบ้าน ...กลายเป็นแจ็คพอตเจอศพ 

คนในหมู่บ้านสงสัยว่าการตายของสองสามีภรรยา Truett เป็นการฆาตกรรมค่ะ เพราะตัววัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ของบ้านหลังนั้นหายไป สงสัยว่าฆาตกรจะถอดไป 

ทุกคนพากันสงสัย Ruby Fletcher เพื่อนร่วมบ้านของ Harper เพราะ Ruby ออกไปนอกบ้านคืนนั้น กล้องวงจรปิดหน้าบ้านของหนึ่งในลูกบ้านบันทึกไว้ รวมถึงคำให้การของ Harper ว่าได้ยินเสียง Ruby กลับเข้าบ้านทางหลังบ้าน และอาบน้ำตอนตีสอง

Ruby เป็นที่รู้จักของคนในหมู่บ้านมานานแล้วค่ะ ก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่กับ Harper ด้วยซ้ำ เคยเป็นนักศึกษาในวิทยาลัย เดินเข้าเดินออกหมู่บ้าน รับจ้างพาหมาเดินเล่น หรืออะไรๆ เล็กๆ น้อยๆ ตามแต่ที่คนในหมู่บ้านจะจ้าง และก็ตามจีบ Mac หนึ่งในสมาชิกในหมู่บ้าน 

Ruby ย้ายมาอยู่กับ Harper หลังจากที่วันหนึ่ง Aiden จู่ๆ ก็ขอแยกทางกับ Harper และที่ช็อค Harper มากที่สุดคือดูเหมือนเธอจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องว่าผัวตัวเองจะขอเลิก ดูเหมือนเพื่อนบ้านที่สนิทกับเธอที่สุดก็รู้ก่อนเธอเสียอีก 

--

Ruby ถูกจับ ติดคุกอยู่ 14 เดือน และต่อมาศาลปล่อยตัวเพราะหลักฐานอ่อน ... และ Ruby ตัดสินใจกลับมาที่ Hollow's Edge อีกครั้ง กลับมาอยู่กับ Harper

หนังสือบรรยายถึงความช็อค ความเคลือบแคลงใจของ Harper ว่า Ruby มีเจตนาอะไร ทำไมจึงกลับมายังสถานที่ที่ทุกคนปรักปรำเธอ (รวมถึงตัว Harper เองด้วย) .. คนอ่านจะรู้สึกว่า Harper เป็นพวกใจดี แต่เป็นพวกไม่กล้าทำอะไรเด็ดขาด ไม่กล้าทำร้ายจิตใจใคร ในขณะ Ruby เป็นพวกฉวยโอกาสจากคนที่อ่อนแอกว่า 

.

สนุกและได้ข้อคิดอะไรดีๆ จากหนังสือเล่มนี้ ความน่ากลัวของพลังแห่งกลุ่ม ความที่แต่ละคนต่างเจตนาดี แต่พอรวมเป็นกลุ่ม ขับเคลื่อนและสร้างระบบขึ้นมา และกลุ่มเริ่มเล่นบทผู้พิพากษา ตัดสินคนอื่น จนทำลายชีวิตของคนๆ หนึ่งได้เลย .... อย่างในกรณีนี้ มันง่ายที่ทุกคนจะเบลมและสงสัยว่า Ruby เป็นฆาตกร เพราะ Ruby คือคนเดียวในหมู่บ้านที่ไม่ใช่เจ้าของบ้าน เป็นกึ่งๆ ผู้เช่าและแขกระยะยาว ...เมื่อเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น เราก็ไม่อยากโทษคนที่เรารู้จัก ดังนั้นจึงง่ายกว่าที่จะชี้นิ้วกล่าวหาคนนอก 




Thursday, June 6, 2024

Humble Pi

 


หนังสือชื่อ  :  Humble Pi : A Comedy of Maths Errors

ผู้แต่ง  :  Matt Parker

สำนักพิมพ์  :  Penguin Books


ได้ความรู้ถึงความผิดพลาดต่างๆ จากนวัตกรรมที่เกิดขึ้นเนื่องจากการคำนวณพลาดทางคณิตศาสตร์ แต่หนังสือภาพไม่ชัดมากๆ ค่ะ ภาพเล็ก และเนื่องจากเป็นหนังสือกระดาษ ดังนั้นจะซูมดูภาพให้ชัดๆ ก็ไม่ได้ (เป็นภาพขาว-ดำ) เนื้อหาบางเรื่องก็เกินเข้าใจ ผู้เขียนพยายามอธิบายแต่เป็นการอธิบายด้วยการเขียน ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้เข้าใจได้ ... เอาเป็นว่าถ้าอ่านเอาสนุก เสริมปัญญาก็แนะนำค่ะ 

หนังสือเร่ิมด้วยการบอกว่า มนุษย์เราไม่เก่งในการประเมินตัวเลขจำนวนมากๆ คือเราจินตนาการได้ว่า 10 หรือ 100 หรือ 1,000 เยอะแค่ไหน แต่ถ้าจำนวนมันใหญ่ขึ้นเป็น ล้านล้าน เรานึกไม่ออกค่ะ เรารู้แค่ว่ามันเยอะมาก แค่นั้น 

ค่ากลางระหว่างเลข 1 กับ 9 คือ 5 คนที่ตอบ 5 คือคนที่เคยเรียนคณิตศาสตร์ บวกลบคูณหารเลขเป็นค่ะ แต่ถ้าเอาคำถามนี้ไปถามเด็กน้อยที่ยังไม่เข้าโรงเรียน คำตอบจะคือ 3 ... ที่เป็นเช่นนี้เพราะการรับรู้เรื่องจำนวนตัวเลขของคนเราไม่ได้เป็นเส้นตรง

หนังสือเล่าถึงความผิดพลาดที่เกิดจากการใช้ปฏิทินคนละแบบกัน ทำให้ทีมชาติรัสเซียพลาดการร่วมแข่งขันโอลิมปิกในปี 1908 ที่ลอนดอนเป็นเจ้าภาพ

หรือปัญหา Y2038 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 19 มกราคม ปี 2038 เวลา 3.14 am ชิปในเครื่องใช้ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์จะหยุดทำงาน เพราะหน่วยความจำที่ใช้เก็บเวลาในเครื่องหมด (หน่วยความจำที่เก็บเวลาใช้ 32-bits และนับมาตั้งแต่ปี 1970 ดังนั้นจึงจะหมดเวลาลงในปี 2038) 

หนังสือเล่าเรื่องความผิดพลาดทางวิศวกรรม มีการเปลี่ยนแบบสร้างสะพานระหว่างก่อสร้าง แล้ววิศกรลืมคำนวณค่าบางอย่างที่ควรเปลี่ยนเมื่อแบบเปลี่ยน 

หรือการที่ผู้ใช้ใช้ excel เก็บข้อมูลสำคัญ ทำเหมือนเป็น database และความผิดพลาดจึงเกิดขึ้น เพราะ excel ไม่ใช่ database ไม่ว่าจะเป็นทศนิยม หรือ autocorrect ใน excel ที่สร้างปัญหา

ผู้เขียนเล่าเรื่องที่เขาพยายามชี้แจงกับทางราชการว่า ป้ายลูกฟุตบอล (ผู้เขียนอยู่อังกฤษ) ที่ชี้แนะนำสนามฟุตบอลทั่วอังกฤษนั้นไม่ถูกต้อง ลูกฟุตบอลจริงๆ ประกอบด้วยทรงห้าเหลี่ยมมาต่อๆ กัน แต่ในป้ายจราจรเป็นหกเหลี่ยม รูปหกเหลี่ยมไม่สามารถต่อกันเป็นลูกฟุตบอลได้ ดังนั้นป้ายจราจรนี้จึงไม่ถูกต้องตามหลักคณิตศาสตร์ ... แต่เทศบาลก็ไม่นำพาค่ะ เพราะการเปลี่ยนใช้เงินงบประมาณมากกว่าการปล่อยให้ผิดไปอย่างนั้น

หรือบทที่ว่าด้วยการโฆษณาเกินจริงของร้านค้าต่างๆ เช่น แมคโดนัลเคยโฆษณาว่ารายการอาหารของร้าน สามารถออเดอร์ผสมเป็นเมนูได้กว่า 40,312 เมนู แต่นักคณิตศาสตร์แย้งว่า จริงๆ แล้วทำได้แค่ 256 เมนูเท่านั้น 

หรือปัญหา roll-over error คือถ้าความจุเต็ม มันจะวนกลับมา 0 อีกครั้ง จึงทำให้ Whatsapp group ต้องจำกัดว่ามีแชทในกลุ่มได้ไม่เกิน 256 คน

หรือบทที่ว่าด้วยเรื่องหน่วย การคำนวณที่ใส่หน่วยพลาด ทำให้เครื่องบินต้องลงจอดฉุกเฉินมาแล้ว เนื่องจากช่างคำนวณและเติมน้ำมันเครื่องบินในหน่วยปอนด์ที่คุ้นเคย แทนที่จะเป็นกิโลกรัมตามข้อปฏิบัติมาตรฐาน 

ส่วนตัวคิดว่าบทที่สนุกที่สุดคือ เรื่องการสุ่มค่ะ การสุ่มมีความสำคัญมากในการเขียนโปรแกรม แต่การสุ่มอย่างไรให้สุ่มจริงๆ เราต้องมีการสุ่มทางกายภาพ มีเครื่องสุ่มจริงๆ เช่น ทอยเหรียญ ทอยลูกเต๋า ฯลฯ เพราะการสุ่มโดยคอมพิวเตอร์ สามารถทำนายได้  

ผู้เขียนเล่าเรื่องการป้องกันความผิดพลาด เปรียบความผิดพลาดเหมือนรูในสวิตส์ชีส เอาแผ่นชีสมาวางทับๆ กัน ยากมากที่รู้ในชีสจะตรงกันจนมองทะลุ ...ก็เหมือนความผิดพลาดหากมีการทวนสอบตามขั้นตอน ก็ยากมากที่ความผิดพลาดนั้นจะหลุดไปจนสร้างความเสียหายได้ --- แต่ขณะเดียวกัน มีความผิดพลาดอีกอย่างที่เปรียบเหมือนการหยดของร้อนลงบนชีส ของร้อนก็ทะลุลงข้างล่างได้ เปรียบเหมือนความผิดพลาดของอุปกรณ์ที่ระบบป้องกันไม่ดีพอ เช่น error message อ่านไม่เข้าใจ หรืออุปกรณ์ไม่หยุดการทำงานเมื่อไม่ปลอดภัยและอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ เป็นต้น

สนุกค่ะ แต่อย่างที่เขียนไป ไว้อ่านเบาๆ ประดับความรู้ค่ะ ไม่ได้ดีขนาดไว้อ่านเป็นหนังสืออ้างอิงวิชาการอะไรจริงจัง


Thursday, May 16, 2024

The Woman in the Window


 

หนังสือชื่อ  :  The woman in the window

ผู้แต่ง  :  A. J. Finn

สำนักพิมพ์  :  HarperCollins


แอนนา (Anna) อดีตจิตแพทย์เด็ก ที่มีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นในชีวิตของเธอ ทำให้เธอได้รับความกระทบกระเทือนทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทางร่างกายนั้นหายดีแล้ว แต่ทางจิตใจยังคงอยู่ ทำให้แอนนากลายเป็นโรคอะโกราโฟเบีย (agoraphobia - โรคกลัวที่ชุมชน) ทำให้แอนนาต้องขังตัวเองอยู่ภายในบ้าน ไม่สามารถก้าวเท้าออกนอกบ้านได้ แม้แต่สวนหลังบ้านก็ไม่ได้ค่ะ จะเป็นแพนิคทันที 

แอนนากินยาจิตเวชเยอะมาก ดื่มเหล้าก็เยอะ ดูดีวีดี และขังตัวอยู่ในบ้านอพาร์ทเมนต์ขนาด 4 ชั้น มานานกว่าสิบเดือนแล้ว เธอปิดหน้าต่าง ปิดม่านมิดชิด อยู่มืดๆ กับแมวหนึ่งตัว และก็มีผู้เช่าคือ เดวิด (David) เช่าห้องใต้ดินอยู่ แต่อยู่แยกกันเป็นสัดส่วน เดวิดจะขึ้นมาเช็คเธอเป็นครั้งคราวว่ามีอะไรให้ช่วยไหม -- ส่วนลูกสาวกับสามีของเธอนั้นย้ายไปอยู่อีกเมืองหนึ่งแล้ว คือสามีได้งานที่เมืองใหม่ และมีการวางแผนย้ายอะไรเรียบร้อยแล้ว แต่กลับเกิดเหตุกับแอนนากระทันหัน ทำให้แอนนาไม่สามารถย้ายไปรวมอยู่กับสามีและลูกได้ ได้โทรคุยหากันทุกวัน

การฆ่าเวลาของแอนนาก็ด้วยการดูดีวีดีหนังเก่าๆ ดื่มไวน์ เข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับโรคกลัวที่ชุมชนนี้ในเว็บบอร์ด และก็แอบส่องเพื่อนบ้านทางหน้าต่างค่ะ แอนนามีกล้องซูมของนิคอน เธอใช้เลนส์ซูมส่องดูเพื่อนบ้าน

ต่อมามีเพื่อนบ้านคนใหม่ย้ายมาอยู่ฝั่งตรงข้ามทางหลังบ้าน มีสวนคั่นกลาง คือครอบครัว Russell อันประกอบไปด้วย Alistair คนพ่อ Jane แม่ และ Ethan ลูกชายวัย 17 ปี

Ethan เอาของขวัญมาให้กับแอนนา  เพื่อเป็นการแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนบ้านใหม่

Jane คนแม่ ก็ช่วยแอนนาจากสถานการณ์ที่เธอแพนิคอยู่หน้าบ้านตัวเอง Jane พาแอนนากลับบ้าน และก็มีการคุยกัน ถือได้ว่า Jane เป็นเพื่อนคนแรกของแอนนาหลังจากเกิดอุบัติเหตุ

ความเผือกเรื่องชาวบ้าน ทำให้แอนนาเห็น Jane ถูกแทง และถูกลากศพออกไป แต่ไม่เห็นว่าใครคือคนทำ แอนนาสงสัยว่า Alistair คนพ่อ คือฆาตกร แอนนารีบโทรแจ้งตำรวจ และพยายามออกจากบ้านไปที่บ้านตรงข้ามของพวก Russell แต่ไปได้ไม่ถึงเกิดแพนิค เสียสติไปก่อน แต่โชคดีเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินที่ได้รับแจ้งเหตุมาถึงพอดี เลยพาแอนนาส่งโรงพยาบาล

แต่กลายเป็นว่า เรื่องที่แอนนาเห็น ไม่มีใครเชื่อเลยค่ะ ตำรวจไปเช็คที่บ้าน Russell ก็พบว่าทุกคนยังอยู่กันดี แต่กลายเป็นว่า Jane Russell คนแม่คืออีกคน ไม่ใช่คนที่แอนนาเจอด้วยและเคยคุยเล่นด้วยกัน!

แอนนายืนยันว่าเธอเห็นการฆาตกรรมจริงๆ แต่หลักฐานกลับแสดงให้เห็นว่าเธออาจมีอาการหลอนจากการทานยาจิตเวชหลายขนาน และทานร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอลด์ด้วย ...​จนหลายๆ คนพูดเข้า แอนนาก็ชักเริ่มไม่มั่นใจในตัวเองแล้ว ว่าตัวเองอาจจะมีปัญหาจริงๆ 

จนกระทั่ง แอนนามีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเธอไม่ได้หลอนคิดไปเอง Jane Russell คนที่มาเยี่ยมแอนนาที่บ้านมีอยู่จริง! 

---

สนุกค่ะ ดำเนินเรื่องฉับไว อ่านสนุก เหตุที่ทำให้แอนนาได้รับกการกระทบกระเทือนทางจิตใจจนกลายเป็นโรคกลัวที่ชุมชนก็ดูมีเหตุผล ฆาตกรก็เป็นคนที่คิดไ่ม่ถึง แม้แต่จิตแพทย์อย่างแอนนาก็ดูไม่ออก ...​ขัดใจก็ความซื่อของแอนนา ที่เธอคิดว่าตำรวจน่าจะไม่เชื่อหลักฐานที่เธอเจอ ก็เลยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ Ethan ฟังแทน เพราะแอนนาสงสัยว่าพ่อของ Ethan คือฆาตกร ... คือคิดว่าลูกจะเชื่อแอนนาจนยอมปรักปรำใส่ร้ายพ่อหรือไง? อีกอันที่สงสัยคือ เดวิดไปไหน? ในหนังสือบอกว่าโมโหแอนนาและออกจากบ้านไป แล้วก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย คือหายไปเลย ตัวละครนี้ทิ้งไปเลย???

Thursday, May 2, 2024

The Year of the Locust

 


หนังสือชื่อ  :  The year of the locust

ผู้แต่ง  :  Terry Hayes

สำนักพิมพ์  :  An Imprint of Simon & Schuster, LLC


เนื้อหาเละเทะอย่างน่าเสียดายค่ะ ครึ่งแรกของเล่มสนุกมาก ครึ่งหลังกลับเละออกทะเลไปไหล... เริ่มต้นแบบนิยายของทอม แคลนซี่ แต่จบออกทะเลกลายเป็น walking dead ซะงั้น เสียดายจริงๆ เละเทะจนอ่านไม่จบ

หนังสือมีทั้งหมด 4 part ค่ะ 

Part 1

พระเอกชื่อ Kane (เป็นรหัสในวงการ) เป็นสายลับของ CIA มีความสามารถหลายภาษา มีปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ เคยเป็นทหารเรือ แต่ไม่ผ่านการคัดเลือกให้บรรจุในเรือดำน้ำตามที่ใฝ่ผัน เลยผันตัวมาทำงานเป็นสายลับกับ CIA แทน

ตั้งแต่กลุ่ม ISIS ล่มสลาย ก็มีกลุ่มก่อการร้ายหน้าใหม่ปรากฎขึ้นมาเรื่อยๆ และ CIA ก็คอยจับตาดู ... ซึ่งกลุ่มก่อการร้ายชื่อ New Islamic Army of the Pure ดูจะเป็นกลุ่มที่ CIA กังวลมากที่สุด กลุ่มก่อการรร้ายกลุ่มนี้มีที่ตั้งอยู่ในอิหร่าน ตรงชายแดนระหว่างอิหร่าน ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน 

พอมีที่ตั้งอยู่ในอิหร่าน CIA อเมริกาก็เข้าไปตรงๆ ไม่ได้ หัวหน้าของกลุ่มก่อการร้ายนี้ชื่อ al-Tundra แต่ CIA ไม่รู้อะไรนอกไปจากนี้ ไม่รู้ประวัติ หรือหน้าตาของคนนี้ จึงทำให้ CIA ต้องจับตามองเป็นพิเศษ และอยากรู้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายนี้มากเป็นพิเศษ

ต่อมามีคนทรยศในกลุ่มก่อการร้ายต้องการขายข่าวแก่ CIA  โดยข่าวนี้บอกถึงสถานที่ที่กลุ่มก่อการร้ายนี้จะปฏิบัติการ ทาง CIA ก็เลยส่งพระเอกไปรับข่าว (มันต้องคุยต่อหน้า เพราะไม่ไว้ใจการดักฟังของอิหร่าน)

พระเอกไปถึงจุดนัดพบช้ากว่าเวลาที่นัดไว้นิดหน่อย แต่กลายเป็นว่าคนขายข่าวโดนจับตรึงกางเขนตายแล้ว ดังนั้นพระเอกเลยเปลี่ยนแผน จะกลับฐาน ... แต่กลายเป็นโดนกลุ่มก่อการร้ายตามล่า และสุดท้ายโดนจับ 

และนั่นทำให้พระเอกได้พบกับ al-Tundra หัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย และแอบรู้ชื่อจริงของเขา 

al-Tundra หรือชื่อจริงคือ Roman Kazinsky มีรอยสักรูปตั๊กแตนปาทังกา (locust) ที่หลัง เพราะเขาชอบมัน เมื่อฝูงตั๊กแตนลงที่ไหน ที่นั้นฉิบหาย มันจะกวาดล้างและกินต้นไม้ทุกอย่าง 

กลุ่มก่อการร้ายต้องการจะประหารพระเอกออกทีวี ถ่ายทอดออกอากาศเพื่อเป็นการโฆษณาชวนเชื่อหาผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่ม (แบบที่ ISIS เคยทำ) เลยเอาพระเอกไปผูกกับเสาในทะเล รอให้น้ำขึ้น พระเอกจะได้จมน้ำตาย ...ในการถ่ายทอดสดนี้ พระเอกได้เจอกับ Emir ผู้นำทางจิตวิญญาณของกลุ่มก่อการร้ายที่มาชมการประหารพระเอกด้วย

แต่สุดท้ายพระเอกก็หนีรอดไปได้ในนาทีสุดท้าย

Part 2

คือเล่าว่าพระเอกหนีรอดไปได้อย่างไร และ CIA เจอตัวพระเอกและเอากลับมาได้อย่างไร และพระเอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับ CIA อย่างไร 

ดังนั้นตอนนี้ CIA จึงรู้ว่า al-Tundra คือใคร และใครเป็นคนสนับสนุนทางการเงินให้แก่กลุ่มก่อการร้าย

จากนั้นก็ถึงเวลาสะสาง CIA ต้องการสังหาร Emir กับ al-Tundra แต่ปัญหาคือทั้งหมดอยู่ในอิหร่าน อเมริกาไม่อยากก่อสงครามกับอิหร่าน จะยิงขีปนาวุธเข้าไปในอิหร่านตรงๆ ไม่ได้ ไม่งั้นเกิดสงครามแน่

ทางออกก็คือขีปนาวุธชนิดใหม่ ที่หลบหลีกเรดาห์ไ้ด้ และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพราะไม่ดูดซับแสง เป็นขีปนาวุธล่องหน 

จากการดักฟังบอกว่า กลุ่มก่อการร้ายมีนัดประชุมกันที่มัสยิดแห่งหนึ่งชายแดนอิหร่าน -- CIA จึงวางแผนสังหารผู้ก่อการร้ายขณะกำลังนั่งในรถเดินทางมายังจุดนัดพบ

ผู้ก่อการร้ายสำคัญๆ ตายหมด ยกเว้น al-Tundra ฉลาดรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ได้อยู่ในรถ และหนีออกมาได้ 

จากนั้น al-Tundra หรือต่อไปจะเรียกชื่อจริงว่า Kazinsky ก็หายไป

Part 3

ตอนนี้เนื้อเรื่องเริ่มเละแล้วค่ะ 

พระเอกต้องพักฟื้น (rehab) ตามกฎ แต่ระหว่างนั้นก็ช่วยตามหา Kazinsky จนพบว่า Kazinsky กลับรัสเซีย ไปทำงานที่เหมืองที่เชเชน

เหมืองที่ Kazinsky ทำงาน เป็นเหมืองที่ถลุงแร่ที่เอามาจากนอกโลก!!! คือยานอวกาศไปเก็บแร่จากดาวเคราะห์น้อยมา แล้วก็เอามาถลุงที่โลก

คือรัสเซียทำเหมืองบนอวกาศ แต่อเมริกาและประเทศอื่นๆ ไม่รู้??? มารู้ก็ตอนเมื่อ CIA ต้องการติดตามตัว Kazinsky 

แต่ถึงอเมริกาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ดันมีกล้อง และมีสายลับเป็นหมออยู่ในเหมืองแห่งนี้แล้ว???

เจอ Kazinsky แล้ว แต่พระเอกไม่ได้รับอนุญาตให้บินไปตามหา Kazinsky เพราะอยู่ระหว่างพักฟื้น

แต่กลับให้งานพระเอกให้ตามหาคนทรยศชาวอิหร่าน คือเดิมช่วย CIA แล้วก็ขายข่าวเปิดโปงสายลับ CIA ในอิหร่านให้แก่ทางการอิหร่าน อิหร่านเลยจับสายลับ CIA ในอิหร่านทั้งสิบคนมาแขวนคอ ตัวคนทรยศก็หนีหายสาบสูญไป

CIA แค้นมาก ส่งเรื่องให้พระเอกตามหา

คนทรยศใช้รหัสชื่อว่า Magus 

พระเอกตามเจออยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง Magus หนีขึ้นเรือ พระเอกยิงตาม เรือระเบิด แต่ไม่ชัดว่า Magus ตายหรือไม่ เพราะหาศพไม่เจอ แต่เรือก็ระเบิดเป็นชิ้นๆ เลย

หลังจากนั้น พระเอกโดนไล่ออก เพราะตอน Part 1 พระเอกช่วยลูกและเมียของคนส่งข่าวที่กำลังโดนทรมาน ต่อมา CIA รู้ เลยไล่พระเอกเพราะทำผิดกฎสายลับ เข้าไปแทรกแซงสถานการณ์ทั้งที่ไม่ใช่คำสั่ง 

แต่ก็ได้กลับมาอีก เพราะ CIA อยากได้คนแฝงไปทำงานในเรือดำน้ำล่องหน ที่เป็นของอเมริกาเองนั่นแหละ แต่มีข่าวว่ากำลังเป็นเป้าโดนวินาศกรรม

พระเอกมาทำงานวันแรกก็ได้ขึ้นเรือดำน้ำลับสุดยอดเลย???  ไม่มีอบรมความปลอดภัยอะไรก่อนทำงานเลย มาถึงก็ลงเรือดำน้ำ และออกทะเลจริงเลย???

ภารกิจคือการซ้อมรบ เรือบนน้ำต้องค้นหาเรือดำน้ำให้เจอ .... ตอนแรกเรือดำน้ำล่องหนยังไม่พรางตัว กลายเป็นว่าเรือบนน้ำหาเจอ เรือดำน้ำล่องหนเลยเปิดโหมดพรางตัว ล่องหนหายไป ... ระหว่างที่กำลังหายไป ภายในเรือดำน้ำเกิดการทำงานผิดปกติ สาเหตุจากนาฬิกาภายในเรือดำน้ำทำงานผิดปกติ???

เรื่องวุ่นวายตามมา มีไฟไหม้ น้ำท่วม (จากน้ำจืดที่เรือดำน้ำบรรทุกมา) และสุดท้ายเรื่องผลิตออกซิเจนภายในเรือดำน้ำไม่ทำงาน ทุกคนกำลังจะตาย คนในเรือดำน้ำล่องหนติดต่อโลกภายนอกไม่ได้ เพราะอุปกรณ์สื่อสารมีปัญหา

คือแบบไม่อยากเชื่อว่าชีวิตจริงจะมีใครผลิตเรือดำน้ำออกมาโดยไม่คำนึงถึงเรื่องพวกนี้ก่อน???

Part 4

อ่านไม่จบค่ะ ถึงบท 20 แล้วเลิก รู้สึกเสียเวลาชีวิตชะมัด

เรือดำน้ำ เครื่องกำเนิดออกซิเจนกลับมาทำงานอีกครั้ง แต่ทุกคนในเรือดำน้ำ ทั้ง 67 คนตายหมด เหลือพระเอกรอดคนเดียว!!!??? และเรือดำน้ำค่อยๆ เผลอขึ้นมาผิวน้ำ

แร่จากดาวเคราะห์น้อยมีสปอร์สิ่งมีชีวิตนอกโลกอยู่ Kazinsky สูดดมสปอร์นั้นเข้าไป ทำให้เขากลายร่าง มีพลังความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์???!!!

Kazinsky ปล่อยให้สปอร์ต่างดาวนี้หลุดออกไปยังชั้นบรรยากาศโดยตั้งใจ ตามแต่ลมจะพัดไป คล้ายๆ กัมตรังสีจากนิวเคลียร์ สปอร์นี้จึงไปตกในทั่วโลก ในเวลาไล่ๆ กัน???

อเมริกาอยู่ห่างจากรัสเซียคนละทวีป ยังได้รับสปอร์ในวันถัดจากที่ลอนดอนได้รับ??? 

แล้วไม่กี่ชั่วโมงต่อมา คนที่ได้รับสปอร์ (มันตกมากับฝน เป็นประกายสีน้ำเงินสวย คนเลยมาดูกัน ทำให้มีคนได้รับสปอร์หลายคน) ก็กลายร่าง มีความแข็งแกร่งและก้าวร้าวมากขึ้น อารมณ์เป็นซอมบี้ 

ภรรยาของพระเอก ซึ่งกำลังตั้งครรภ์สองเดือนต้องหนีซอมบี้ นางเป็นหมอ แต่สกิลเอาตัวรอดประหนึ่งอดีต CIA รู้ด้วยว่าต้องทำทีเผาบ้านเพื่อเบี่ยงความสนใจ แล้วก็ขับรถหนีไปขโมยเรือ ขึ้นเรือหนีไปนิวยอร์ค

มันเละเทะมากค่ะ ทนอ่านได้ถึงแค่นี้แหละค่ะ เลิกเลย แอบพลิกไปอ่านตอนจบ พระเอกไม่ตาย ภรรยาก็ไม่ตาย จบแฮปปี้แอนด์ดิ่ง ฮอลลีวูดมากมาย 🤦🏻‍♀️


Friday, March 8, 2024

Deep Work

 


หนังสือชื่อ  :  Deep Work

ผู้เขียน  :  Cal Newport

สำนักพิมพ์  :  Grand Central Publishing


เนื้อหาน่าสนใจค่ะ ถึงแม้สำนวนจะน่าเบื่อ และน้ำท่วมทุ่งก็ตาม แต่อ่านแล้วได้ไอเดียนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันที่ดีเลยค่ะ

ผู้เขียนบอกว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีหมุนเร็ว และเราก็เอาแต่วิ่งตามเทรนของเทคโนโลยี เพราะเรากลัวพลาดตกขบวน พลาดข่าวสารสำคัญๆ ทำให้เราติดโซเชียลมีเดีย ต้องเช็คเมล์ทุกสิบนาที ต้องดูอินเตอร์เน็ตเป็นระยะๆ ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ต้องตอบเมล์ หรือตอบแชทให้เร็วที่สุด ต้องทวีตทุกวัน ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นว่าอินเตอร์เน็ตมาก่อกวนสมาธิของเราในการทำงานที่สร้างคุณค่าค่ะ

Deep work คือการมีสมาธิจดจ่อกับงานที่สร้างคุณค่า ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับยุคนี้ ยุคที่อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไวมาก ทักษะที่สำคัญที่ต้องมีคือ การเรียนรู้สิ่งที่ยาก ในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งสิ่งนี้จะทำไม่ได้เลยถ้าเราไม่มี deep work -- แต่อุปสรรคของ deep work คือ อินเตอร์เน็ตค่ะ เหล่าโซเชียลมีเดียที่ทำให้เราพะวง ต้องคอยเช็คเป็นระยะๆ 

deep work ตรงกันข้ามกับ shallow work 

Shallow work คืองานที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่า งานยุ่งๆ ที่ทำให้เหมือนยุ่ง แต่เป็นงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะ ไม่ได้เพิ่มองค์ความรู้ เช่น การตอบอีเมล์ การประจำทุกเช้า ฯลฯ -- มันคืองานที่ดูเหมือนจำเป็นต้องทำ แต่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วนแบบตอบอีเมล์ทันทีที่ได้รับ อะไรขนาดนั้น -- งานพวกนี้ เราควรจำกัดมันให้ทำโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด เพื่อจะได้มีเวลาเหลือทำงานอะไรที่เป็น deep work และได้คุณค่ามากกว่าค่ะ

บางครั้งเรามักเข้าใจผิด และวัดประสิทธิภาพของงานด้วย shallow work เช่น ถ้าเราตอบอีเมล์เร็ว แสดงว่าเราเป็นคนทำงานเร็ว กระตือรือร้น ... แต่จริงๆ แล้ว อีเมล์ที่ตอบไป ไม่มีคุณค่าอะไร 

หนังสือหนา และยืดเยื้อ แบ่งเป็นสองภาค ภาคแรก เล่าถึงความสำคัญของ Deep Work ...อ่านข้ามได้ค่ะ ถ้าเรารู้อยู่แล้วว่ามันจำเป็น

ภาคที่สอง บอกถึงวิธีการฝึกทักษะ Deep Work โดยมี 4 กฎ คือ

กฎที่ 1 - Work Deeply

เริ่มด้วยวางแผนว่าเราจะทำงานอะไร ที่ไหน เป็นเวลาเท่าไร โดยทำแต่งานนั้นอย่างเดียวแบบไม่โดนขัดจังหวะ งานนั้นต้องเป็นงานที่ให้คุณค่าแก่เรา ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทั้งเป้าหมายส่วนตัว หรือเป้าหมายในสายงาน

ทำให้มันเป็นพิธีการค่ะ พิธีการทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นเป็นเรื่องสำคัญ 

เล่นใหญ่ เช่น อาจลงทุนซื้อคอร์สเรียน หรือในหนังสือยกตัวอย่างของ J.K. Rowling ที่จองห้องในโรงแรมหรูเพื่อใช้เวลาเขียนนิยายให้จบ โดยไม่โดนขัดจังหวะ ทั้งๆ บ้านของเธอก็อยู่ไม่ไกล

หนังสือได้เล่าถึงวินัย 4 อย่างที่เราควรสร้างขึ้น คือ

        1. โฟกัสในสิ่งที่สำคัญ มีเป้าหมายน้อยอย่าง และโฟกัสลงไปให้ลึกในสิ่งนั้น

         2. มีตัววัดความก้าวหน้า แนะนำให้ใช้เป็นตัววัดผลก่อนความสำเร็จ ตัวอย่างเช่น ร้านเบอเกอรี่มีเป้าหมายต้องการเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ตัววัดผลก่อนความสำเร็จคือจำนวนขนมตัวอย่างที่แจกลูกค้าที่มาเข้าร้าน เป็นต้น -- แบบนี้ทำให้เราสามารถวัดผลได้ทุกวันๆ ทำให้แน่ใจว่าเราไม่ได้กำลังเดินไปผิดทาง หลงทางไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้

        3. เก็บเป็น score board เหมือนเกมส์นะคะ เก็บบันทึกไว้ในที่มองเห็นได้ กระตุ้นให้เราทำตามเป้าหมายอยู่เสมอทุกวัน

        4. มีการรีวิวผลสำเร็จหรือล้มเหลวเป็นประจำ

กฎที่ 2 - Embrace Boredom

งานที่ทำ หรือสิ่งที่เรียน ถึงแม้จะรู้ดี ตระหนักดีว่ามันสำคัญกับอนาคตของตัวเองแค่ไหน แต่หลายครั้งก็มีช่วงที่เบื่อๆ ค่ะ และเมื่อเบื่อ เราก็อดไม่ได้ที่จะคลิกดูอะไรน่าสนใจในอินเตอร์เน็ต กลายเป็นอินเตอร์เน็ตคือตัวขัดจังหวะความมีสมาธิของเรา

วิธีแก้คือ ใช้วิธีพักระหว่างโฟกัสทำงาน deep work แทน เช่น ระหว่างทำงาน เราก็เขียนโพสอิตแปะหน้าคอมพ์ไว้เลย ว่าเราจะพักดูอินเตอร์เน็ตรอบต่อไปตอนกี่โมง กี่นาที วิธีนี้จะทำให้เรามีสมาธิกับงานได้ดีขึ้น 

กฎที่ 3 - Quit Social Media

มองว่าอินเตอร์เน็ตเหมือนเครื่องมือชนิดหนึ่งค่ะ เหมือนช่างไม้ต้องมีค้อนเป็นเครื่องมือ และด้วยความเชี่ยวชาญ ช่างไม้ก็เลือกว่าจะใช้ค้อนนั้นทำอะไร ...ฉันใดก็ฉันนั้น อินเตอร์เน็ตไม่ได้ไร้ประโยชน์ แต่มันคือเครื่องมือเช่นเดียวกับค้อนของช่างไม้ เราจำต้องเรียนการใช้เครื่องมืออินเตอร์เน็ตให้เกิดประโยชน์กับงานของเราค่ะ

กฎที่ 4 - Drain the shallows

งานที่จำเป็นแต่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่า พยายามทำมันให้น้อยที่สุด หนังสือแนะนำให้เราทำตารางทำงานของเราในทุกนาทีที่ทำงาน เพื่อตรวจสอบดูว่าเราทำงานที่เป็น Shallow work แต่ละวันมากแค่ไหน (เราจะแปลกใจว่า วันๆ เราหมดไปกับการทำงานที่ไม่ใช่งานในหน้าที่ที่เขาจ้างเรามาเยอะแค่ไหน และเราทำงานจริงๆ ที่เป็นงานที่เราต้องทำนั้นน้อยแค่ไหนค่ะ)

พยายามกำหนดเวลาทำงาน คือหลังเวลาเลิกงานก็ไม่ควรทำงาน หรือเอางานกลับมาทำอีก แบบนี้จะบังคับเราให้ต้องบริหารเวลาให้ดียิ่งขึ้น และทำแต่งานที่จำเป็นและก่อให้เกิดคุณค่า


Monday, February 26, 2024

The Guest List

 


หนังสือชื่อ  :  The Guest List

ผู้เขียน  :  Lucy Foley

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers Ltd


อ่านวางไม่ลงค่ะ อ่านเสียงานเสียการ เพราะผู้เขียนมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง ทำให้เราคาใจ จึงต้องอ่านไปเรื่อยๆ พลิกหน้าไปเรื่อยๆ 

Jules และ Will กำลังจะแต่งงานกัน งานแต่งงานจัดขึ้นที่เกาะ Cormorant ไอร์แลนด์ คู่นี้เป็นคู่สมแห่งปีเลยค่ะ เจ้าสาวก็สวย ประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของนิตยสารออนไลน์ ฝ่ายเจ้าบ่าวก็หล่อ เป็นดาราทีวี 

หนังสือเล่าสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบัน ในคืนวันแต่งงาน กับเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้านั้น หนังสือเล่าในมุมของตัวละครแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น 

Aoife - เวดดิ้งเพลนเนอร์ 

Hannah - ภรรยาของ Charlie เพื่อนสนิทของเจ้าสาว และดูเหมือน Charlie จะมีความหลังกุ๊กกิ๊กกับเจ้าสาว ในงานนี้ Hannah รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน เพราะไม่ใช่ทั้งเพื่อนเจ้าบ่าว และเพื่อนเจ้าสาว 

Jules - เจ้าสาว

Johnno - เพื่อนเจ้าบ่าว เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม  Johnno มีบุคลิกดูไม่น่าไว้ใจค่ะ เป็นคนที่ดูล้มเหลวในชีวิตเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ ของ Will แต่ Johnno กำความลับดำมืดบางอย่างที่เขากับ Will ทำร่วมกัน

Olivia - น้องสาวคนละพ่อของ Jules อายุ 19 ปี และเป็นเพื่อนเจ้าสาว กำลังอกหักจากแฟนเก่า ... แต่ดูเหมือนมีบางอย่างมากกว่านั้น ...มากกว่าเรื่องของวัยรุ่นที่กำลังอกหักมากกว่ามาก

ในงานแต่งงาน จะมีแต่ญาติและเพื่อนสนิทเท่านั้นที่ได้พักค้างคืนเพื่อเตรียมงานบนเกาะ แขกคนอื่นๆ จะนั่งเรือมาในวันงานค่ะ

Will เจ้าบ่าว สนิทกับเพื่อนในสมัยมัธยมมาก พวกเขาเรียนในโรงเรียนประจำเอกชน โดยพ่อของ Will เป็นครูใหญ่ และดูเหมือนพวกเขาจะมีจารีตธรรมเนียมของโรงเรียนแบบผู้ชายๆ ค่ะ -- คือเหมือนพวกเขาถ้าอยู่เดี่ยวก็เป็นคนดีน่าคบแหละ แต่พอรวมกลุ่มกัน โดยมี Will เป็นหัวโจก กลับทำเรื่องแย่ๆ เช่น แกล้งรุ่นน้อง บูลลี่คนอื่น ได้อย่างไม่น่าเชื่อ และการแกล้งนี้ก็เลยเถิดไปจนเกินควบคุม .... พอวันนี้เป็นงานแต่งงาน พวกเขาก็กลับมารำลึกความหลังร่วมกัน

ถึงแม้เราจะพอเดาแรงจูงใจของความขัดแย้งได้ แต่ที่สนุกคือ เราแทบไม่รู้เลยว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และใครคือคนตาย ใครคือคนฆ่า จนกระทั่งถึงท้ายเล่มค่ะ 

อ่านแล้วได้ข้อคิดว่า คนที่ชอบบูลลี่คนอื่น ก็คือคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งแหละ เขามองหาเหยื่อคนที่อ่อนแอกว่าเพื่อข่มแสดงอำนาจ และถ้าคนที่อ่อนแอกว่าหายไป เขาก็ไม่ได้สนใจ แยแสว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อในสิ่งที่เขาทำ เขาทะเยอทะยานและมองเป้าหมายชีวิตต่อไปของเขา คือเขาไม่ได้คิดร้ายตั้งใจฆ่าเหยื่อทนไม่ไหวจนฆ่าตัวตาย แต่เขาไม่คิดอะไรเลยน่ะค่ะ ไม่สนใจไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเราแม้แต่เสี้ยว คิดถึงแค่ความต้องการของตัวเองเท่านั้น

สรุป นี่คือนิยายเรื่องของการแก้แค้นค่ะ

If I can't move heaven,

then I shall raise hell.

Wednesday, February 21, 2024

8 Rules of Love

 


หนังสือชื่อ  :  8 Rules of Love

ผู้เขียน  :  Jay Shetty

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


เป็นหนังสือที่อยากแนะนำให้คนที่ต้องการมีความสัมพันธ์ หรือรักษาความสัมพันธ์ที่จริงจังกับใครสักคนควรอ่านค่ะ ... นี่ไม่ใช่หนังสือรักๆ ใคร่ๆ โรแมนติกค่ะ มันเครียดกว่าที่คิด

ผู้เขียนเขียนโดยใช้คัมภีร์พระเวทของศาสนาฮินดูมาเป็นหลัก เนื่องจากผู้เขียนเคยบวชเป็นพระฮินดูมาก่อนน่ะค่ะ พระเวทบอกว่าความรัก มี 4 ระดับ แบ่งตามอาศรม คือ

1. Brahmacharya arhram --> เตรียมตัวที่จะรัก ซึ่งเริ่มต้นด้วยการรู้จักที่จะรักตัวเอง ในขั้นนี้มีกฎอยู่ทั้งหมด 2 ข้อ

2. Grhastha ashram --> ฝึกหัดรัก เรียนรู้ที่จะรักคนอื่น ในขณะที่ก็ยังรักตัวเองอยู่ด้วย ในขั้นนี้มีกฎ 3 ข้อ

3. Vanaprastha ashram -->  ปกป้องรัก เรียนรู้ที่จะรับมือกับข้อขัดแย้งระหว่างคนรัก พร้อมกันนั้นก็รู้ว่าเมื่อไรที่ถึงเวลาที่จะต้องปล่อยวางรักนั้น ในขั้นนี้มีกฎ 2 ข้อ

4. Sannyasa ashram --> รักที่สมบรูณ์ แพร่กระจายความรักไปยังทุกคน รักดิน รักน้ำ รักฟ้า ขั้นนี้มีกฎ 1 ข้อ

รวมทั้งหมดจึงเป็นกฎ 8 ข้อของความรักค่ะ

กฎข้อที่ 1 : Let Yourself be alone

อย่าเริ่มความสัมพันธ์เพียงเพราะกลัวที่จะอยู่คนเดียว หรือเพราะเหงา เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้เราถลำไปเลือกคนผิด ...คนที่ดีจะมาในเวลาที่เหมาะ 

ในข้อนี้ สอนให้เราเรียนรู้ที่จะสันโดษ ให้เวลาอยู่กับตัวเอง เรียนรู้ความเป็นตัวของตัวเอง อะไรที่เราชอบหรือไม่ชอบค่ะ 

กฎข้อที่ 2 : Don't ignore your karma

กรรมคือการกระทำ ข้อนี้สอนให้เราลองหาประสบการณ์ใหม่ และเรียนรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบสิ่งใหม่ที่ได้เรียนรู้นั้น 

กรรมในความหมายของคัมภีร์พระเวท คือ การตัดสินใจในปัจจุบันของคุณ (จะดีหรือไม่ก็ตาม) จะเป็นตัวกำหนดประสบการณ์ในอนาคตของคุณ ... ดังนั้น กฎข้อนี้คือ ให้เราลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นั่นเอง โดยทำไปเพื่อตัวเองค่ะ ไม่ใช่เพื่อหาคู่แต่อย่างใด จำไว้ว่า อะไรที่เราต้องการได้รับจากคนอื่น อย่างแรกคือเราต้องให้สิ่งนั้นแก่ตัวเองก่อน เช่น อยากได้ความเคารพจากคนอื่น ก็ต้องเริ่มด้วยการเคารพตัวเองก่อน

กฎข้อที่ 3 : Define love before you think it, feel it, or say it

เตรียมตัวสำหรับการออกเดท เตรียมตัวสำหรับคู่ชีวิตในอนาคต ในข้อนี้นำเสนอ กฎ three-date rule คือ 

เดทแรก --> ถามตัวเองว่าเราชอบบุคลิกของเขาหรือไม่ ชอบหน้าตา หรือนิสัยของเขาหรือไม่  ถ้าชอบก็คบต่อ 

เดทสอง --> ถามตัวเองว่าเราชอบสิ่งที่เขาทำหรือไม่ แนวคิด ทัศนคติของเขาหรือไม่ ถ้าชอบก็คบต่อ

เดทสาม --> เป้าหมายในชีวิตของเขาคืออะไร เรารับได้หรือไม่ และพร้อมที่จะช่วยให้เขาบรรลุถึงเป้าหมายนั้นหรือไม่

คือให้คิดซะว่า กำลังหาเพื่อนร่วมทีมน่ะค่ะ ... นี่ไม่ใช่หนังสือรักโรแมนติก แต่คือหนังสือที่สอนให้รักแบบใช้สมอง

กฎข้อที่ 4 : Your partner is your guru

เมื่อเป็นคนรักกันแล้ว ให้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน

กฎข้อที่ 5 : Purpose comes first

ทุกคนต่างมีเป้าหมาย หรือความฝันในชีวิต ค้นหาให้เจอ และสนับสนุนซึ่งกันและกัน ...ผู้เขียนยกตัวอย่างเช่น คู่รักคู่หนึ่ง ฝ่ายหญิงต้องการเป็นนักธรรมชาติบำบัด ส่วนฝ่ายชายอยากฝึกซ้อมเพื่อลงแข่งไตรกีฬา (ความฝันในชีวิตไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเงิน หรืออาชีพนะคะ เป็นอะไรที่เราอยากทำ) ทั้งคู่จึงต้องวางแผนร่วมกันเพื่อให้ทั้งคู่บรรลุในสิ่งที่ฝัน

กฎไม่ได้สอนให้เราสละความฝันของเราเพื่อคนรัก แต่ให้เรามานั่งคุยกัน ประนีประนอมกันเพื่อให้บรรลุถึงสิ่งที่ฝันด้วยกันทั้งคู่

กฎข้อที่ 6 : Win or lose together

กล่าวถึงเรื่องข้อขัดแย้ง เวลามีเหตุที่ทำให้คู่รักต้องทะเลาะกัน เห็นไม่ตรงกัน ... บางครั้งต่างคนต่างเอาชนะคะคานกัน แต่ในฐานะที่เป็นคู่รักกัน ไม่มีคำว่าใครแพ้ใครชนะหรอกค่ะ ถ้าคนหนึ่งเถียงชนะอีกคน ก็แปลว่าแพ้กันทั้งคู่ ... เพราะทั้งคู่คือทีมเดียวกัน 

หนังสือเตือนด้วยว่า ส่วนใหญ่ความขัดแย้งใหญ่โตเกิดขึ้นจากการใช้ "โทนเสียง" ที่ผิด ...คือไม่ได้เจตนาแย่ แต่เมื่อคำที่ใช้มันบาดลึก หวังจะให้อีกฝ่ายเจ็บปวดให้มากที่สุด อีกฝ่ายก็เลยต้องตั้งป้อมป้องกันตัวเอง จากนั้นก็กลายเป็นอยู่กันคนละฝั่ง และก็ทะเลาะกันใหญ่โตบานปลาย...

กฎข้อที่ 7 : You don't break in a breakup

เมื่อไปต่อไม่ไหว ก็ต้องปล่อย ... กฎข้อนี้กล่าวถึงการเลิกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเราเป็นฝ่ายบอกเลิก หรือเป็นฝ่ายถูกเลิก ...การทำใจ การพยายามกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ชอบประโยคหนึ่งในหนังสือค่ะ บอกว่า

"Something is breaking, but you are not that something."

คือความสัมพันธ์อาจจะแตกสลาย แต่ไม่ใช่จิตวิญญาณในตัวเรา เรายังเป็นเรา และเราจะเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิต ในความสัมพันธ์ใหม่ในอนาคต

กฎข้อที่ 8 : Love again and again

ความรักที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าการรักกันระหว่างหนุ่มสาว คือความรักที่พร้อมให้แก่ทุกคน ถึงจุดที่เรียกว่า "กรุณา" ในพระเวท 

วิธีที่ดีที่สุดในการสัมผัสความรัก คือการให้ความรัก

หนังสือสอนให้รู้จักมอบความรักจากจุดเล็กๆ คือครอบครัว ขยายไปยังเพื่อน เพื่อนร่วมงาน ชุมชน คนแปลกหน้า องค์กร และโลก ... แค่ใจดีต่อกันบ้าง เมตตาต่อกันบ้างค่ะ

"You can seek love your whole life and never find it, or you can give love your whole life and experience joy."

---

ความรู้สึกระหว่างอ่านคือ ...เครียดอ่าาาาา... หวังว่าจะได้อ่านเรื่องรักโรแมนติก มาเจอรักแบบใช้สมอง 55 แต่ดีค่ะ อ่านแล้วต้องใจจะเอามาปรับใช้กับตัวเองเลยค่ะ รักก็เหมือนปลูกต้นไม้ล่ะค่ะ เราต้องรดน้ำ ดูแลทุกวัน ต้องใส่ใจในรัก 

หนังสือเขียนโดยอ้างอิงศาสนาฮินดู ซึ่งใกล้เคียงกับศาสนาพุทธค่ะ บางตอนยังอ้างถึงศาสนาพุทธมหายาน หรือนิกายเซน เพราะด้วยภูมิหลัง จึงทำให้คนไทยพุทธอย่างเราอ่านได้เข้าใจลึกซึ้งกว่าการอ้างพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเสียอีกค่ะ


Saturday, February 10, 2024

Cold Case Reboot ไขคดีปริศนา แฟ้มคดีลำดับที่ 02 วังวนแห่งความแค้น


 

หนังสือชื่อ  :  Code Case Reboot ไขคดีปริศนา

                                 แฟ้มคดีลำดับที่ 02 วังวนแห่งความแค้น

ผู้เขียน  :  ฝานลั่ว

ผู้แปล  :  หลิงฮวา

สำนักพิมพ์  :  บริษัท เบเกอรี่บุ๊ค จำกัด


ยังคงเป็นการไขคดีในแผนกแช่แข็ง เกี่ยวกับคดีที่ปิดไม่ลง ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ ทีมตำรวจในคดีนี้ นำโดย เซียวหลานเฉ่า ที่ดูยังไงๆ ก็ไม่มีมาดตำรวจ (เจ้าสำอางค์ และหล่อเกินไป) ขวัญใจตำรวจสาวๆ ทั้งสถานี กับคู่หูคือ กานเฟิ่งฉือ ที่ในอดีตก่อนย้ายมาอยู่แผนกนี้ มีนิสัยชอบใช้กำลังก่อนสมอง ...แต่หัวหน้าอย่างเซียวหลานเฉ่ากลับไม่โดนกานเฟิ่งเฉินทำร้ายร่างกายอย่างอัศจรรย์ (แต่โดนด่าในใจไปแล้ววันละหลายรอบ)

เริ่มต้นด้วยแผนกแช่แข็งมาช่วยตำรวจในแผนกอาชญากรรมสอบสวนคดีฆ่าหั่นศพค่ะ คดีนี้พัวพันกับสโมสรไพ่บริดจ์หาวฟู่ ทั้งคู่ต้องปลอมตัวเข้าไปเล่นไพ่ แต่คดีสืบยังไม่ถึงไหนเลย กานเฟิ่งฉือปวดท้อง ไส้ติ่งอักเสบ จึงต้องนำส่งโรงพยาบาลด่วน

กานเฟิ่งฉือกลัวการผ่าตัดขึ้นสมอง เพราะตอนเด็ก มีเพื่อนสนิทเสียชีวิตจากการผ่าตัดไส้ติ่ง ทำให้เขาฝังใจกลัวการเข้าโรงพยาบาลไปเลย การเสียชีวิตของเพื่อนเขาเป็นข่าวดังในสมัยนั้นด้วยค่ะ เพราะหลังจากโต้วอิงเพื่อนเขาเสียชีวิตไม่นาน พยาบาลที่ต้องสงสัยว่าทำงานพลาดก็กระโดดตึกฆ่าตัวตาย

เซียวหลานเฉ่าฟังเรื่องของกานเฟิ่งฉือแล้วเอะใจ เลยไปสืบสวนหาสาเหตุการตายที่ชัดเจน (อารมณ์ใจดีจะได้เอาหลักฐานมาปลอบใจการกลัวการผ่าตัดของกานเฟิ่งฉือ) สืบไปมาก็เห็นเงื่อนงำผิดปกติ เพราะพยาบาลสวีหยวนซิวที่ฆ่าตัวตายนั้น เป็นพยาบาลที่มีประสบการณ์สูง ไม่น่าจะทำงานพลาดง่ายๆ แบบนี้ 

ในขณะเดียวกันทางด้านคดีฆ่าหั่นศพก็มีความคืบหน้า จับตัวคนร้าย ที่รับสารภาพว่าหั่นศพแยกชิ้นส่วนได้แล้ว แต่คนร้ายปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่า บวกกับผลทางนิติเวชก็ยืนยันว่าผู้ตายตายจากโรคหัวใจ 

เป็นเรื่องบังเอิญมาก ที่ตอนกานเฟิ่งฉือปวดท้องนั้น คนที่ไปเจอคือคุณหมอสวีหลีเซิ่ง ซึ่งคุณหมอคนนี้คือคนเดียวกับที่พยายามจะให้คีย์การ์ดเปิดเข้าในในห้อง VIP ของสโมสร แต่ไม่สำเร็จ ...ต่อมาก็เฉลยว่า คุณหมอกำลังตามสืบเรื่องสโมสรหาวฟู่ เนื่องจากเพื่อนของคุณหมอหายตัวไปลึกลับ กลัวว่าจะโดนลักพาตัว เบาะแสสุดท้ายคือในสโมสรไพ่บริดจ์หาวฟู่แห่งนี้นั้นเอง

เรื่องมันพัวพันยุ่งเหยิงไปมา มีคนเกี่ยวข้องมากมาย ดูเหมือนมีหลายคดี ...แต่ทั้งหมดกลายเป็นเรื่องเดียวกัน! นักเขียนเขียนได้สนุกมาก ที่ทำปมให้มันซับซ้อนแล้วก็ค่อยๆ คลายปมทีละน้อยๆ ระหว่างนั้นก็คั่นด้วยบรรยากาศเบาๆ ภายในทีมแช่แข็ง (กานเฟิ่งฉืนตกหลุมรักเพื่อนร่วมแผนกคนใหม่ค่ะ อยากจีบเธอเป็นแฟน แต่ค่อนข้างยากนิดหนึ่ง เพราะสองตาของเธอมีไว้มองแต่พ่อเทพบุตรเซียวหลานเฉ่าเท่านั้น)

คนแปลก็แปลดีค่ะ การใช้คำต่างๆ ดีมากเลย ให้บรรยากาศของนิยายว่าเป็นนิยายเอเชียนะ อย่างเรียกเจ้าของกิจการ ก็ใช้คำว่า เถ้าแก่ แทนเจ้าของ เป็นต้น มุกเล่นคำภาษาจีนก็มีคำอธิบายให้คนอ่านเข้าใจ ถือว่าแปลได้ดีมากเลยล่ะค่ะ

 



Cold Case Reboot ไขคดีปริศนา แฟ้มคดีลำดับที่ 01 ความทรงจำสังหาร

 


หนังสือชื่อ  :  Cold Case Reboot ไขคดีปริศนา

                                แฟ้มคดีลำดับที่ 01 ความทรงจำสังหาร

ผู้เขียน  :  ฝานลั่ว

ผู้แปล  :  หลิงฮวา

สำนักพิมพ์  :  บริษัท เบเกอรี่บุ๊ค จำกัด


สนุกกว่าที่คิดค่ะ เดิมคิดว่าเป็นนิยายวายรักๆ ใคร่ๆ ...แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะ เป็นนิยายสืบสวนออกแนวเบาๆ ค่ะ 

เมื่อกานเฟิ่งฉือ นายตำรวจเลือดร้อน มีดีที่มาจากตระกูลร่ำรวย ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับประชาชนทั้งที่อยู่ในเครื่องแบบ เลยโดนเด้งจากเดิมอยู่ตำรวจจราจรมาอยู่แผนกแช่แข็ง ทำคดี cold case แทน -- ที่ได้มาอยู่แผนกนี้ เพราะไม่มีใครเอาแล้วค่ะ อยู่แผนกไหนก็ไม่เคยเกินสามเดือน ต้องมีเรื่องชกต่อยไม่กลับใครก็ใคร (หัวหน้าตัวเองก็ยังโดนต่อยเลยค่ะ) เป็นพวกใช้อารมณ์ก่อนสมอง ทั้งๆ ที่สมองดี จบเอกคณิตศาสตร์จาก MIT 

เมื่อกานเฟิ่งฉือต้องมาเผชิญหน้ากับหัวหน้าคดีแผนกแช่แข็ง คือ เซียวหลานเฉ่า หนุ่มเจ้าสำอางค์ ใส่สูทเนี้ยบ จนได้ฉายาจากตำรวจหญิง (ที่มีอยู่คนเดียวในสถานี) ว่า "พ่อเทพบุตร" -- กานเฟิ่งฉือก็ได้เรียนรู้ความอดทนอดกลั้น เพราะเขาอยากต่อยหน้าหล่อๆ ของหัวหน้าวันละหลายๆ รอบ แต่ต้องยั้งใจไว้ เพราะแผนกนี้คือแผนกสุดท้ายที่ยังรับเขาเข้าร่วม 

คดีของแผนกแช่แข็งตอนนี้คือ มีคนเจอโครงกระดูกในป่า เป็นผู้หญิง เสียชีวิตมาเป็นสิบปีแล้ว จึงต้องสืบให้ได้ว่าเป็นใคร

ระหว่างนั้นความซวยก็มาเยือนกานเฟิ่งฉือ เพราะเขาต้องเป็นผู้ต้องหาสังหารแฟนเก่าอย่างโหดเหี้ยม! ที่เขาตกเป็นผู้สงสัยก็เพราะเขาคือคนสุดท้ายที่มีเรื่องทะเลาะกับคู่ควงคนใหม่ของแฟนเก่าค่ะ และแฟนเก่าที่อยู่ตรงนั้นด้วย ก็เข้าข้างแฟนใหม่ (แหงล่ะ!) อารมณ์ผู้หญิงบอกเลิกแล้ว แต่ยังตัดใจไม่ได้ ยังไปวอแวกับเขาอยู่อีก

กานเฟิ่งฉือเลยได้เห็นน้ำใจของหัวหน้าแผนกก็คราวนี้ เพราะเขามาช่วยสืบจนเป็นที่ประจักษ์ว่า กานเฟิ่งฉือไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย

ขณะเดียวกันก็มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นติดๆ กัน คนร้ายคือคนเดียวกับที่สังหารแฟนเก่าของกานเฟิ่งฉือ กลายเป็นว่า ตำรวจกำลังเผชิญกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยที่ผู้ตายทั้งหมดไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย

คนแรกคือ หยวนย่วน แฟนเก่าของกานเฟิ่งฉือ ถูกฆาตกรใช้มีดแทงอย่างโหดเหี้ยม ขณะกำลังพลอดรักกับแฟนใหม่ในรถในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง

คนที่สองคือ ทนายความหญิง ฟั่นอวิ้น ถูกฆาตกรแทงตายในบ้านของตัวเอง (คนนี้ตายก่อน หยวนย่วน แต่ตำรวจมาเจอศพที่หลัง)

คนที่สามคือ หลินเซียว เด็กมัธยม ถูกฆาตกรแทงตายขณะเดินไปโรงเรียน

ทั้งสามคนไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย อยู่กันคนละที่ ไม่มีใครรู้จักกัน 

หนังสือสนุกตรงที่ทำเรื่องที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกันให้เชื่อมร้อยโยงเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว พร้อมๆ กับขำๆ กับพฤติกรรมหลงตัวเองของหัวหน้าเซียวหลานเฉ่า และการด่าหัวหน้าในใจของกานเฟิ่งฉือ รวมถึงพฤติกรรมสายลับระดับแบบตัวอยู่ค่ายโจโฉแต่ใจอยู่ที่ดินแดนฮั่น

Tuesday, February 6, 2024

Missing, Presumed

 


หนังสือชื่อ  :  Missing, presumed

ผู้แต่ง  :  Susie Steiner

สำนักพิมพ์  :  The Borough Press en HarperCollinsPublisher


ยืดเยื้อ น้ำท่วมทุ่ง เล่าเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวของตำรวจที่ทำคดี ซึ่งเรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับคดีเลย ทำให้นิยายเป็นเล่มหนาโดยไม่จำเป็น

เริ่มจากตำรวจได้รับแจ้งเหตุคนหาย ชื่อ Edith Hind อายุ 24 ปี หายตัวไปจากที่แฟลตพักโดยประตูบ้านเปิดอ้าไว้ ภายในมีรอยเลือด แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้

เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ เพราะ 1) Edith สวย 2) เก่ง กำลังเรียนปริญญาเอกที่เคมบริดจ์ 3) Edith เป็นลูกสาวคนมีชื่อเสียง พ่อของเธอคือเซอร์ Ian เป็นศัลยแพทย์ประจำตัวของราชวงศ์ด้วย 

การหายตัวของเธอลึกลับ และดูเหมือนไม่มีอะไรคืบหน้าสักอย่างเลยค่ะ ไม่มีเบาะแส ไม่มีอะไรเลย ผู้คนรอบตัวเธอก็ปกติ ต่างทุกข์ใจกับการหายตัวไปของเธอกันทั้งสิ้น ไม่มีใครมีพิรุธเลย -- ผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจหมายหัวคือ Tony Wright เพราะมีประวัติเป็นอดีตนักโทษอุกฉกรรจ์ที่เพิ่งออกจากคุกก็มีที่อยู่ชัดเจนในวันเกิดเหตุ ตำรวจก็เลยเอาผิดไม่ได้

ต่อมามีการเจอศพของเด็กชายวัยรุ่น Taylor Dent ลอยมาเกยแม่น้ำ แต่ตำรวจก็หาความเชื่อมโยงระหว่าง Edith ที่หายตัวไป กับศพเด็กชายไม่ได้ ทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกัน ชีวิตไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นสุดท้ายตำรวจก็เลยต้องแยกคดีนี้ออกเป็นสองคดี -- คดีคนหายของ Edith และคดีฆาตกรรมเด็กชาย Taylor Dent 

แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดนี้กลับเชื่อมโยงกันอย่างคาดไม่ถึง! 

พล็อตเรื่องสนุกนะคะ คาดเดาไม่ได้ -- แต่เขียนน้ำเยอะเกินไป เล่าชีวิตส่วนตัวของตำรวจที่ไม่เกี่ยวอะไรกับคดีเลย อย่าง Manon ตำรวจโสดวัย 39 ที่กำลังล่าหารถไฟขบวนสุดท้าย เพราะอยากแต่งงานมีลูก แต่ติดขัดที่ยังไม่เจอคนรู้ใจ -- แล้วก็เล่าเรื่องดราม่าชีวิตครอบครัวของเธอ เรื่องออกเดต แฟน อกหัก ฯลฯ คือไม่เกี่ยวอะไรกับคดีเลย (คาดว่า นักเขียนคงจะปูพื้นเพื่อเขียนเรื่องการสืบสวนของ Manon แบบเป็นซีรีย์ต่อไป) 

หรือเรื่อง Davy ตำรวจใจดี ที่คอยเป็นโค้ชให้แก่เด็กที่มีปัญหา แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับคดีเลย และไม่เข้าใจว่านักเขียนหยิบคาแรกเตอร์ของตำรวจคนนี้มาเล่าทำไม? 



Thursday, January 18, 2024

The Trouble with Goats and Sheep

 


หนังสือชื่อ  :  The Trouble with Goats and Sheep

ผู้แต่ง  :  Joanna Cannon

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


เป็นวรรณกรรมเยาวชนค่ะ อ่านสนุก มีเสน่ห์ในการเล่าเรื่อง ทำให้เรื่องที่ถึงแม้จะดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่กลับจับความสนใจของคนอ่านได้ จนวางไม่ลง ต้องอ่านจนจบ

เรื่องเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 1976 ค่ะ ยุคสมัยที่เพื่อนบ้านยังรู้จักกัน ไปมาหาสู่กัน และจับกลุ่มทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ผู้คนส่วนใหญ่ยังเคร่งศาสนา ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ -- เรื่องเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอังกฤษ เป็นอะเวนิว (คล้ายๆ วงเวียน) แล้วมีบ้านตั้งรายล้อมอะเวนิวนั้น บ้านที่ตั้งรอบๆ อะเวนิวได้แก่

บ้านเลขที่ 2 -- บ้านของ Thin Brian และแม่ May Roper

บ้านเลขที่ 4 -- บ้านของ Grace Bennentt อายุ 10 ขวบ กับพ่อ Derek และแม่ Sylvia

บ้านเลขที่ 6 --  บ้านของ Dorothy Forbes และสามี Harold Forbes

บ้านเลขที่  11 -- บ้านของ Walter Bishop

บ้านเลขที่ 8 -- บ้านของ John Creasy และภรรยา Margaret Creasy

บ้านเลขที่ 10 -- บ้านของ Eric Lamb

บ้านเลขที่ 12 -- บ้านของ Sheila Dakin กับลูกสาว Lisa และลูกชาย Keithie

บ้านเลขที่ 14 -- บ้านของ Aneesha Kapoor กับสามี Amit Kapoor และลูกชาย Shahid

เรื่องมันเริ่มจาก วันหนึ่ง Margaret Creasy จากบ้านเลขที่ 6 หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หายแบบไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลย แม้แต่รองเท้า ไม่มีจดหมาย จู่ๆ ก็หายไป

Grace กับเพื่อนรัก Tilly พยายามสืบหาว่า Mrs. Creasy หายไปไหน พร้อมกับสงสัยว่าพระเยซูเจ้าอยู่ที่ไหน เด็กทั้งสองเชื่อว่า ถ้าหาพระเยซูเจอ ทุกคนในหมู่บ้านก็จะปลอดภัย รวมถึง Mrs. Creasy ก็จะกลับมา

ตามพระคัมภีร์ (ตามที่ Grace เล่า) พวกเราทุกคนคือแกะที่ต้องการคนเลี้ยงแกะนำทาง เมื่อเวลามาถึง พระองค์จะแยกแกะและแพะออกจากกัน แกะอยู่ด้านขวาของพระองค์ และแพะอยู่ด้านซ้าย

ปัญหาคือ ใครคือแพะ และใครคือแกะ ... มันยากที่จะแยกว่าคนไหนคือคนดี และคนไหนคือคนไม่ดี 

เรื่องเล่าในมุมของ Grace มีเขียนสลับบทตามแต่ละบ้านบ้าง

ในมุมคนอ่าน เราจะได้เห็นความคิดแบบเด็กๆ น่ารัก ไม่มีพิษมีภัย แต่ฉลาด มีมุมมองที่ผู้ใหญ่อย่างเราคิดไม่ถึง รวมถึงเห็นความไม่ชอบมาพากลของคนในหมู่บ้าน ดูเหมือนแต่ละคนมีความลับบ้างอย่างที่ไม่อยากพูดออกมา ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ทารกหายตัวไป และไฟไหม้บ้านเลขที่ 11 เมื่อเกือบสิบปีก่อน

สนุกค่ะ เสียแต่ตอนจบเป็นจบแบบปลายเปิด เลยไม่รู้เลยว่า Mrs. Creasy หายตัวไปทำไม หายไปโดยไม่บอกสามีด้วยซ้ำ คืออ่านจนจบ Mr. Creasy ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วหายไปไหนตั้งเป็นเดือน คือเป็นปริศนาที่หนังสือไม่ได้เฉลย คาใจอ่ะ


Thursday, January 11, 2024

The Marlow Murder Club

 


หนังสือชื่อ  :  The Marlow Murder Club

ผู้แต่ง  :  Robert Thorogood

สำนักพิมพ์  :  HarperCollins Publishers Ltd


ถ้ากำลังมองหาหนังสือสืบสวนแบบเบาๆ อ่านสบายๆ ล่ะก็ แนะนำเล่มนี้เลยค่ะ ...เหตุการณ์เกิดขึ้นที่เมือง Marlow ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดแม่น้ำเทมส์ของอังกฤษ เป็นเมืองสงบเงียบ มีปัญหาอาชญากรรมน้อยมาก 

Judith Potts หญิงชราวัย 77 อาศัยอยู่ตัวคนเดียวในอพาร์ทเมนต์ที่ได้รับเป็นมรดกจากป้า ถึงจะชรา แต่ยังกระฉับกระเฉง ออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำในแม่น้ำเทมส์เป็นประจำ และออกกำลังสมองด้วยการเล่นปริศนาอักษรไขว้ทุกวัน 

ในวันหนึ่งของฤดูร้อน ขณะกำลังว่ายน้ำ Judith ได้เป็นพยานรู้เห็นการฆาตกรรม Stefan เพื่อนบ้านของเธอ -- Judith ไม่ได้เห็นหน้าตาคนร้าย แต่ได้ยินเสียงตะโกน และเสียงปืน จึงแจ้งตำรวจ -- ตำรวจไม่ค่อยใส่ใจเรื่องของเธอนักในตอนแรก เพราะ Marlow เป็นเมืองที่สงบมากจนไม่อยากจินตนาการว่าจะมีการฆาตกรรมกันเกิดขึ้นที่เมืองนี้

จนกระทั่งมีคนพบศพของ Stefan ค่ะ ... แต่ตำรวจก็ยังให้น้ำหนักไปทางการฆ่าตัวตายมากกว่าการฆาตกรรม 

ในเมื่อตำรวจไม่เชื่อสิ่งที่เธอเล่า Judith จึงพยายามหาทางสืบสวนหาตัวคนร้ายด้วยตัวเอง (เธอว่าง และเบื่อการเล่นปริศนาอักษรไขว้บนหนังสือพิมพ์ เลยหาเรื่องแก้เซ็ง) 

การสืบสวนของเธอนำไปสู่การพบเพื่อนใหม่ คือ Becks Starling ภรรยาของบาทหลวง และ Suizie Harris คนรับจ้างจูงหมาไปเดินเล่น

ตำรวจที่ไม่เช่ือคำให้การของ Judith ในตอนแรก ก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อมีการฆาตกรรมอื่นๆ ตามมา โดยมีรูปแบบการสังหารแบบเดียวกัน 

Stefan Dunwoody เป็นผู้ซื้อ-ขายงานศิลปะ

Iqbal Kassan เป็นคนขับรถแท็กซี่

Liz Curtis อดีตนักกีฬาพายเรือเรือเงินโอลิมปิก ผู้ผันตัวเองมารับต่อกิจการพายเรือของพ่อ 

แต่ที่ตำรวจมืดไปแปดด้าน คือ ผู้ตายทั้งสามไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย และคนที่มีความขัดแย้งกับผู้ตาย ก็มีพยานรู้เห็นที่อยู่ในตอนเกิดเหตุ 

-- 

สนุก สำนวนดี เนื้อหาเป็นเหตุเป็นผลว่าทำไมพลเรือนสูงวัย 3 คน จึงสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับงานสืบสวนของตำรวจได้ คำอธิบายในหนังสือถูกสมเหตุสมผลดีค่ะ ตำรวจ Tanika Malik ก็นิสัยดี เป็นตำรวจแบบเปิดกว้าง "รับฟัง" ไม่มีอีโก้ว่าเป็นตำรวจแล้วรู้ดีกว่าใคร -- แต่ตอนจบ ยืดเยื้อไปนิด