Thursday, December 29, 2022

Emotional Design

 


หนังสือชื่อ  :  Emotional Design

ผู้เขียน  :  Donald A. Norman

สำนักพิมพ์  :  Basic Books


เป็นหนังสือเก่าค่ะ (ฉบับที่อ่านตีพิมพ์เมื่อปี 2004) แต่หลายเรื่องในหนังสือ และแนวคิดหลักของหนังสือน่าสนใจ และยังใช้มาจนทุกวันนี้

ผู้เขียนคือ Norman เคยเป็นหัวหน้าแผนก UX ของแอปเปิ้ลค่ะ เป็นคนออกแบบผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีดีไซน์ และเป็นมิตรกับผู้ใช้ ก่อนที่วงการคอมพิวเตอร์จะมีบัญญัติคำว่า UX (User Experience) มาใช้เสียอีกค่ะ

เนื่องจากหนังสือนี้เขียนนานแล้ว ดังนั้นเนี่ย จึงผ่านการเวลาพิสูจน์ว่าสิ่งที่ Norman เขียนได้กลายเป็นความจริงในปัจจุบันนี้ค่ะ 

หนังสือเล่าเรื่องแนวคิดการออกแบบที่ใส่ "อารมณ์-emotional" ลงไปด้วย โดย emotional design แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

1. Visceral Level - เป็นระดับพื้นฐานของมนุษย์ การออกแบบโดยคำนึงถึงรูป รส สัมผัส ตัวอย่างเช่น ของเล่นเด็ก ที่จะออกแบบกระตุ้นในระดับนี้ ด้วยการออกแบบของเล่นให้มีสีสันสดใส ทำให้เด็กตอบสนองด้วยการอยากเล่น เป็นสัญชาติพื้นฐานเลย

2. Behavioral Level - เน้นเรื่องการใช้งาน ของที่ออกแบบมาต้องสามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่มันสร้างมา พร้อมกันนั้นต้องคำนึงถึงการใช้งานที่เป็นมิตร นักออกแบบที่ต้องการเข้าถึงการออกแบบในระดับนี้ ต้องทำการสังเกตพฤติกรรมของผู้ใช้ขณะใช้งาน เพราะบางครั้งผู้ใช้ใช้สิ่งนั้นจนชิน จนไม่รู้สึกว่ามันเป็นอุปสรรคหรือมีฟังก์ชั่นที่ไม่สะดวกต่อการใช้งานอยู่

3. Reflective Level - เป็นระดับที่ซับซ้อน บางครั้งขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางสังคม วัฒนธรรมของผู้ใช้ด้วย

ผู้เขียนยกตัวอย่างประสบการณ์ส่วนตัว ตอนได้รับหมึกอินเดีย ​(india ink) เป็นของขวัญจากเพื่อน หมึกบรรจุอยู่ในแท่งชุดอย่างดี ดีไซน์สวยงาน นั่นคือความประทับใจแรก (ระดับ visceral) แล้วทันใดนั้น เขาก็คิดถึงการใช้มันตอนสมัยเรียน (ระดับ Behavioral) ซึ่งมันใช้ยากมาก มันไม่ได้ดั่งใจ และทำให้เขาต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในการพยายามทำให้มันออกมาในแบบที่ต้องการ เป็นความรู้สึกแบบ hate-love ทั้งรักทั้งเกลียด ซึ่งเป็นความทรงจำในระดับ reflective

ในเล่ม ผู้เขียนเขียนถึงการออกแบบที่ใส่อารมณ์ต่างๆ เข้าไป เช่น อารมณ์สนุก และมีความสุขที่ใช้ในการออกแบบเกมส์ ดนตรีและเสียงที่ใส่ในภาพยนตร์ สิ่งเหล่านี้ออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้มีความสุขเมื่อใช้ 

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในการออกแบบทางคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้ต้องทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เช่น ต้องกรอกข้อมูล ต้องคลิกตามคำสั่ง - ความร่วมมือแบบนี้ต้องมาคู่กับความไว้ใจ เป็นจิตวิทยาน่ะค่ะ ต้องมีตัวบอกว่ากระบวนการนี้ถึงขั้นไหนแล้ว เหมือนไรจะเสร็จ (เหมือนเกจวัดน้ำมัน บอกว่าน้ำมันเหลือเท่าไรในถัง) ซึ่งถ้าผู้ใช้เชื่อถือในมาตรวัดนั้น ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น ผู้ใช้จะกล่าวโทษตัวเองที่ไม่รอบคอบ แทนที่จะโทษผลิตภัณฑ์ 

หรือในบทที่กล่าวถึงหุ่นยนต์ Norman ก็ทำนายอนาคตได้อย่างน่าสนใจทีเดียวค่ะ เพราะสิ่งที่เขาเขียนกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้

นับว่าเป็นหนังสือที่ถึงแม้จะเก่า แต่อ่านแล้วได้แนวคิดดีๆ ค่ะ


Sunday, December 18, 2022

จิตวิทยาว่าด้วยเงิน (The Psychology of Money)

 


หนังสือชื่อ  :  จิตวิทยาว่าด้วยเงิน (The Psychology of Money)

ผู้เขียน  :  Morgan Housel

ผู้แปล. :  ธนิน รัศมีธรรมชาติ

สำนักพิมพ์  :  ลีฟ ริช ฟอร์เอฟเวอร์


เป็นหนังสือที่มีประโยชน์ค่ะ ควรอ่านอย่างยิ่ง แม้ส่วนตัวจะรู้สึกผิดหวัง เพราะคิดว่าจะมีเนื้อหาหนักๆ อ้างอิงงานวิจัยโน่นนี้ ... แต่เล่มนี้ไม่ใช่เลยค่ะ เนื้อหาออกแนวหนังสือ How to ซะมากกว่า ... แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ตาม ก็นับว่าเป็นหนังสือที่มีประโยชน์ ควรอ่านค่ะ

การหาเงินได้ กับการใช้เงินไม่เหมือนกันค่ะ และคนรวยกับคนมั่งคั่งก็ไม่เหมือนกัน... อ่านเล่มนี้แล้วให้คิดถึงชีวิตการใช้ "เงิน" ของทั้งตัวเอง และคนใกล้ตัวค่ะ (ที่เราเห็นเขาโพสต์อวดชีวิตดี๊ดี ร๊วยรวย แล้วเราก็สงสัยว่า ทำไมเขารวยจัง แล้วเขาจะอวดไปทำไมง่ะ) ... 

หนังสือบอกเราว่า การตัดสินใจลงทุนไม่ใช่จะประสบความสำเร็จทุกครั้งไป ไม่มีการตัดสินใจที่ดีหรือการตัดสินใจที่เลวค่ะ เราตัดสินใจภายใต้กรอบข้อมูลที่เรามีอยู่ ณ ขณะนั้น เราตัดสินใจภายใต้อิทธิพลของครอบครัว หรือแม้กระทั่งสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่เราเติบโตมา ... แม้กระทั่งนักลงทุนเก่งๆ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในทุกหุ้นที่เขาลงไปหรอกค่ะ... แต่ความสำเร็จเพียงแค่เล็กน้อยจากทั้งหมดที่เขาลงไป มันประสบความสำเร็จมากจนกลบความล้มเหลวที่ผ่านมาของเขาหมด ... แล้วเราคนนอกก็ชื่นชมเขาจากความสำเร็จ (ที่เป็นสัดส่วนน้อย แต่ยิ่งใหญ่) ของเขากัน 

หนังสือให้ความสำคัญกับการ "ออม" และการพยายามรักษาไลฟ์สไตล์ให้ต่ำกว่าที่คุณสามารถจ่ายได้ การรู้จัก "พอ" การหาความสุขกับสิ่งง่ายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายซื้อ เช่น อ่านหนังสือ นั่งเล่นกับแมว ฯลฯ ไม่จำเป็นต้องมีความสุขกับการอวดรวย ซื้อรถหรูๆ แพงๆ หวังให้คนชื่นชม เราที่มีรถหรู ...แต่โปรดจำไว้ว่า ผู้คนชื่นชม "รถหรู" ไม่ใช่เจ้าของรถค่ะ เขาแทบจำไม่ได้ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครคือเจ้าของรถ เขาฝันกลางวันว่าตนเองจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ "รถหรู" แบบนั้นบ้าง

หนังสือให้ความสำคัญกับการลงทุนในแบบที่ทำให้คุณนอนหลับได้อย่างสบายใจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนตามอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ เอาแบบที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด ...และบทที่ 20 ของหนังสือ ผู้เขียนได้เขียนเล่าวิธีการลงทุนของตนเองไว้ค่ะ ซึ่งไม่ตรงกับที่ผู้เขียนแนะนำให้คนอื่นลงทุน เหตุผลเพราะค่านิยมส่วนตัว และเขารู้สึกสบายใจกับการลงทุนเช่นนี้

มันคือหนังสือที่สอนให้ใช้เงินอย่างไม่ประมาทน่ะค่ะ โดยใช้ภาษาง่ายๆ ไม่มีตัวเลขอะไรวุ่นวาย ดังนั้นใครๆ ก็อ่านได้ ... ผู้แปลก็แปลได้ดีค่ะ มีบ้างที่ใช้ประโยคเยิ่นเย้อ มีคำเชื่อมเยอะไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร บางประโยคก็งงๆ ไม่เข้าใจความหมาย ... แต่โดยรวมแล้วอ่านเข้าใจดีค่ะ 

ถ้ามีเวลาน้อย ให้พลิกข้ามไปอ่านบทที่ 19 เลยค่ะ เพราะบทนั้นคือสรุปทั้งเล่มเอาไว้แล้ว ส่วนบทสุดท้ายบทที่ 20 ผู้เขียนเขียนเล่าพอร์ตการลงทุนส่วนตัวของตนเอง 

ส่วนบทส่งท้ายก็น่าสนใจค่ะ เป็นการเล่าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจอเมริกาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาเศรษฐกิจอเมริกาในระดับครัวเรือนในตอนนี้ ... ตอนสงครามสิ้นสุดใหม่ๆ เศรษฐกิจอเมริกาถดถอยค่ะ ดังนั้นรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการทำดอกเบี้ยต่ำ กู้ยืมง่าย มีเครดิต ทำให้การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย รณรงค์ให้เกิดการบริโภคในประเทศ ซึ่งในตอนนั้นช่องว่างระหว่างรายได้ของคนรวยคนจนไม่ได้เยอะมาก ดังนั้นทุกคนจึงเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะในทางด้านวัตถุ ทุกบ้านมีรถเหมือนๆ กัน มีเครื่องซักผ้า ทีวีเหมือนๆ กัน ... แต่พอมาตอนนี้ ช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนถ่างมากขึ้น แต่ค่านิยมของการมีเหมือนเพื่อนบ้านยังคงอยู่ ดังนั้นคนจนจึงยอมเป็นหนี้ เพื่อที่จะมีให้เหมือนคนรวย ...


Thursday, December 15, 2022

The Sanatorium

 


หนังสือชื่อ  :  The Sanatorium

ผู้แต่ง  :  Sarah Pearse

สำนักพิมพ์  :  Penguin Random House UK


สนุก ลุ้น วางไม่ลง อ่านจนเสียงานเสียการค่ะ ...

เรื่องเริ่มจากตัวเอกของเรื่องคือ Elin ซึ่งเป็นตำรวจอังกฤษ และอยู่ในช่วงพักฟื้นฟื้นฟูสภาพจิตใจหลังคดีฆาตกรรมที่คว้าน้ำเหลว Elin และได้รับเชิญมาร่วมงานหมั้นของ Isaac น้องชายที่จะจัดที่โรงแรมบนเทือกเขาแอลป์ค่ะ 

Elin กับ Isaac น้องชายไม่ค่อยสนิทกันนัก ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ในหนังสือจะค่อยๆ เริ่มเล่าเหตุตะขิดตะขวงใจที่ทำให้ Elin ทำใจสนิทกับน้องชายไม่ลง ...​อันสืบเนื่องมาจากการตายของ Sam น้องชายคนเล็กของทั้งคู่ ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่ยังคาใจของ Elin อยู่ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น (เธออยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ผลกระทบของการตายของน้องชายรุนแรงมาก ทำให้เธอช็อค และจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลย จำได้แค่เพียงเสี้ยวๆ ไม่ปะติดปะต่อ และ Elin อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น)

โรงแรมที่จัดงานหมั้น เป็นที่ทำงานของ Laure คู่หมั้นของ Isaac ด้วยค่ะ โรงแรมนี้อดีตเคยเป็นโรงพยาบาลสถานพักฟื้นผู้ป่วยวัณโรค (สมัยก่อนคนเชื่อว่าผู้ป่วยวัณโรคปอดไม่แข็งแรง จำเป็นต้องได้รับอากาศบริสุทธิ์) ... ต่อมามีการคิดค้นยาปฏิชีวนะ วัณโรคก็กลายเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ด้วยยา โรงพยาบาลก็ปิดตัวไป และทิ้งร้าง จนต่อมาปี 2015 ทายาทเจ้าของโรงพยาบาลก็คิดโปรเจคแปลงโรงพยาบาลให้กลายเป็นโรงแรมแทน ... ซึ่งโปรเจคนี้ได้รับการต่อต้านจากคนท้องถิ่น แถมมีเหตุสถาปนิกของโครงการหายตัวไปอย่างลึกลับด้วย ทำให้โครงการล่าช้าไปเป็นปี ...​แต่อย่างไรก็ตาม ในที่สุดโรงแรมก็ได้รับการบูรณะสมบูรณ์ และเปิดให้แขกเข้าพักได้ตั้งแต่ปี 2018 (เหตุการณ์ในหนังสือเกิดขึ้นตอนปี 2020 ค่ะ สองปีหลังจากโรงแรมเปิดตัว)

ความวุ่นวายเริ่มขึ้นเมื่อ Laure คู่หมั้นของ Isaac หายตัวไป และพร้อมกันนั้นก็มีข่าวว่าพายุหิมะกำลังมา ทำให้ทุกคนในโรงแรมต้องอพยพออกในวันรุ่งขึ้น ...​รุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวขึ้นรถบัสอพยพออกไป กลับมีคนเจอศพของพนักงานโรงแรม

กลายเป็นว่าตอนนี้ มีศพ 1 และมีคนหายอีก 1 ... แล้วพายุหิมะก็มา พัดทางออกจากโรงแรม ทำให้แขกบางส่วนที่เหลืออยู่และพนักงานติดอยู่ในโรงแรม ตำรวจจะเข้ามาก็ไม่ได้ ส่วนคนในจะอพยพหนีไปก็ไม่ได้ กลายเป็นติดกับโดยสมบูรณ์

Elin เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจคนเดียวในที่นั่นค่ะ ที่มีประสบการณ์กับเรื่องฆาตกรรมแบบนี้ เธอจึงได้รับการร้องขอจากตำรวจสวิตเซอร์แลนด์ให้ช่วยรวบรวมหลักฐานเบื้องต้นก่อน เพราะเรื่องอย่างนี้ ยิ่งเร็วยิ่งดี 

และดูเหมือนฆาตกรจะยังอยู่ในโรงแรมด้วย! 

นอกจาก Elin ต้องสืบสวนหาฆาตกรแข่งกับเวลาแล้ว Elin กำลังโดนใครบางคนปองร้ายด้วยค่ะ ...เป็นฆาตกร? หรือใครอีกคน? ... นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับน้องชายก็เปราะบางอย่างยิ่ง

หนังสือเขียนสนุกมากค่ะ มีชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง บางครั้งเราเริ่มเดาได้ว่าใครคือฆาตกร ...​แต่เราก็ยังไม่รู้แรงจูงใจอยู่ดี ... แต่สุดท้ายคนที่เราเดาว่าคือฆาตกร ...ก็ไม่ใช่ซะงั้น 

สนุกค่ะ ผู้เขียนเล่นกับปมความหลังของ Elin ทั้งเรื่องคดีที่เธอทำพลาด เรื่องความตายของน้องชาย พร้อมๆ กับการสืบสวนหาตัวฆาตกร ประวัติในอดีตของสถานพักฟื้นแห่งนี้ ที่ดูจะมากกว่าการเป็นแค่สถานที่ตากอากาศธรรมดา?

Thursday, December 8, 2022

Trick Mirror

 


หนังสือชื่อ  :  Trick Mirror

ผู้แต่ง  :  Jia Tolentino

สำนักพิมพ์  :  HarperCollins Publishers


เล่มนี้เป็นบทความค่ะ ถือว่าอ่านได้เรื่อยๆ เพลินๆ ค่ะ ... เป็นบทความที่ผู้เขียนพรรณาความคิดเห็นของตนเอง และเล่าประสบการณ์ของตนเองประกอบในเรื่องต่างๆ บางเรื่องเราคนอ่านก็เห็นด้วย บางเรื่องก็เข้าไม่ถึง เพราะผู้เขียนเน้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอเมริกา คนอ่านไม่ได้อยู่อเมริกา ดังนั้น บุคคลสำคัญ หรือข่าวที่ผู้เขียนยกมา หลายคนเราก็ไม่เคยรู้จัก เพราะไม่ได้ตามข่าวภายในประเทศอเมริกาละเอียดขนาดนั้น

หนังสือแบ่งเป็นบทความเรื่องต่างๆ ค่ะ ได้แก่

The I in the internet

 ผู้เขียนเขียนเล่าว่า การมีอยู่ของอินเตอร์เน็ตทำให้สังคมเปลี่ยนไป คือ เราใส่ "ตัวตน" ของเราลงไปในข่าวสารเรื่องราวที่เรารับรู้ 

ผู้เขียนยกตัวอย่างเช่น นักเขียนพยายามเรียกร้องความสนใจของคนอ่านด้วยการเขียนในประเด็นร้อนแรง ประเด็นที่หลายคนไม่เห็นด้วย ทำให้คนอ่านเกลียด และวิพากวิจารณ์งานเขียน ... ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานเขียนที่ประสบความสำเร็จ เพราะมีคนอ่านเยอะ ยิ่งเกลียดยิ่งได้แสง

ความหมายของความสามัคคี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความหมายนี้ก็เปลี่ยนไปเมื่อมีอินเตอร์เน็ต กลายเป็นว่ามีการใส่ "ตัวตน" ความเป็นตัวเองลงไปในที่ระดับของความสามัคคี 

โซเชียลมีเดียถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานที่ว่า ทุกใดๆ จะมีความสำคัญก็ต่อเมื่อมันมีความสำคัญสำหรับเรา (หรือมีความเชื่อมโยงกับเรา) ... มี "ตัวตน" ของเราเข้ามาในอินเตอร์เน็ต... นี่คือเหตุผลที่ เราให้รู้สึกเชื่อมโยงกับกระรอกที่ตายอยู่หน้าบ้านเรา มากกว่าเด็กที่กำลังอดตายที่แอฟริกา ... เพราะเด็กที่แอฟริกามันไกลไงคะ เรารู้ข่าว เราเศร้าก็จริง แต่กระรอกหน้าบ้านเราเห็นไง มันมาตายอยู่หน้าบ้านเราง่ะ 

เหตุที่ทำให้คน "ติด" โซเชียลมีเดีย เพราะสิ่งที่เราเสพย์จากมันคือส่ิงที่ไม่สมบูรณ์ และไม่น่าพอใจค่ะ ดังนั้นเราจึงไถหน้าจอไปเรื่อยๆเพื่อให้รู้สึกพอใจ...เป็นเรื่องทางจิตวิทยา


Reality TV Me

บทความตอนนี้ ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ที่เธอเคยร่วมเป็นผู้เล่นในรายการเรียลลิตี้โชว์ชื่อ "Girls v. Boys: Puerto Rico" ค่ะ ตอนนั้นเธออายุ 16 ... ผู้เขียนเขียนในรูปของการย้อนรำลึกเหตุการณ์ในวัยเยาว์ 

ในรายการก็มีผู้ร่วมแข่งขันทั้งหมด 8 คน เป็นวัยรุ่นชายหญิงอย่างละ 4 คน แล้วก็ทำกิจกรรมแข่งขัน มีโหวตออก อารมณ์นั้น 

เนื่องจากเป็นมุมมองของผู้ใหญ่ที่มองย้อนดูตัวเองสมัยวัยรุ่น ดังนั้นจึงให้ความรู้สึกหนึ่งค่ะ ก็อ่านได้เพลินๆ ดี ... เพียงแต่รู้สึกว่า ส่ิงที่พวกเธอทำในฐานะกลุ่มกระทำกับผู้เข้าร่วมแข่งขันคนหนึ่งที่อ่อนแอที่สุด ไม่น่ารักเลยค่ะ แต่มันคือชีวิตวัยรุ่นในเกมส์ที่ต้องแข่งขันกัน ใครดีใครได้


Always Be Optimizing

บทความเกี่ยวกับการพยายามรักษาความงาม ด้วยการออกกำลังกาย และการรักษาภาพลักษณ์ในอุดมคติของผู้หญิงน่ะค่ะ เรื่องแฟชั่นการแต่งกายของผู้หญิง ... คือผู้เขียนทำงานเป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสารเกี่ยวกับเฟมินิสต์ ดังนั้นเธอจึงสอดแทรกความรู้สึกของผู้หญิงเฟมินิสต์ลงไปในงานเขียนของเธอแทบทุกบท (จนบางครั้งรู้สึกว่ามากเกินไป)


Pure Heroines

เรื่องของ "นางเอก" ในหนังสือต่างๆ ... นางเอกในที่นี้คือตัวละครหญิงที่มีบทบาทสำคัญในหนังสือค่ะ 

ผู้เขียนยกตัวอย่าง ชื่อของนางเอก และบทบาทของเธอในหนังสือ ซึ่งบทบาทของนางเอกก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ผู้เขียนยกตัวอย่างหนังสือตั้งแต่สมัยเก่า มาจนถึงยุคปัจจุบัน ... เกือบทุกเล่มไม่เคยอ่านค่ะ ไม่ใช่แนวที่ชอบอ่าน 


Ecstasy

ยาอี ค่ะ ผู้เขียนเขียนเล่าประสบการณ์พื้นเพของตนเองที่มาจากครอบครัวผู้อพยพ พ่อแม่เป็นคนฟิลิปปินส์ ย้ายมาอยู่แคนาดา แล้วก็ย้ายอีกครั้งมาอยู่อเมริกา ครอบครัวเป็นครอบครัวเคร่งศาสนา ตัวเธอตอนเด็กๆ ก็ตามพ่อแม่ไปโบสถ์ จนกระทั่งเป็นวัยรุ่นจึงได้ห่างศาสนา

ผู้เขียน เขียนในแนวเชื่อมโยงประสบการณ์ความรู้สึกปิติยินดีในทางศาสนา เข้ากับความรู้สึกปิติในขณะเสพยา (คือตามคำบรรยาย มันดูจะเป็นประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกัน) 

อ่านได้เพลินๆ ค่ะ ตัวเองไม่มีประสบการณ์ร่วม เนื่องจากไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ จึงเข้าไม่ถึงถึงความรู้สึกของการสัมผัสพระเจ้าในทางศาสนาคริสต์ และไม่เคยใช้ยาเสพติดแบบนั้น ก็เลยเข้าไม่ถึงประสบการณ์นั้นเช่นกัน 


The Story of a Generation in Seven Scams

เขียนเล่าเรื่องสแกมเมอร์ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ตั้งแต่ 

The Crash - ที่นำพามาสู่วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ของอเมริกา และนายธนาคารที่ก่อเรื่อง กลับไม่ได้รับโทษใดๆ เพราะกฎหมายสหรัฐไม่มีบัญญัติโทษไว้ 

The Student Debt Disaster - หนี้เพื่อการศึกษา ในอเมริกาเป็นหนี้ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศค่ะ (รองจากหนี้บ้าน) เหตุผลเพราะค่าเล่าเรียนแพงขึ้นๆ แต่ในทางกลับกัน ความมั่นคงในหน้าที่การงานกลับลดลง คือเดี๋ยวนี้เป็นเรื่องยากมากที่คนทำงานจะได้รับสัญญาว่าจ้างระยะยาว ส่วนใหญ่ได้แค่สัญญาระยะสั้นกันเท่านั้น 

The Social Media Scam - เรื่องของเฟสบุ๊ก และโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่ต้องการข้อมูลของผู้ใช้ เพื่อต่อยอดในการโฆษณา หรือหวังผลด้านอื่นๆ 

The Girlbosses - Girlbosses เป็นชื่อแบรนด์ที่มีคนก่อตั้งเป็นผู้หญิงค่ะ โฆษณาตัวเองในภาพลักษณ์เฟมินิสต์ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันของผู้หญิง ...​แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่คำโฆษณา ความจริงคือสภาพการทำงานลูกจ้างแย่มาก และไม่ได้ปกป้องสิทธิของลูกจ้างหญิงแต่อย่างใด เป็นแค่การขายความเป็นเฟมินิสต์เท่านั้น 

The Really Obvious Ones - เกี่ยวกับบริษัทสตาร์จอัพที่ขายสินค้านวัตกรรมต่างๆ ซึ่งบางอย่างก็ก่ำกึ่งว่าไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ดีกว่าอย่างที่โฆษณาแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่เหมือนการหลอกเอาเงินนักลงทุนเท่านั้น เช่น Juicero บริษัททำเครื่องบีบถุงบรรจุน้ำผลไม้ สุดท้ายก็ถูกแฉว่า บีบกับมือยังได้เร็วกว่าเลย พอโดนแฉ ก็เลยไม่มีใครลงทุนเพิ่ม ก็ขาดสภาพคล่อง คนที่ลงทุนไปแล้วก็เลยสูญเงิน หรือกรณีของ Elizabeth Holmes เจ้าของบริษัท Theranos ที่โฆษณาว่าสามารถตรวจสุขภาพทุกโรคได้ด้วยเลือดเพียงหยดเดียว ... ซึ่งบริษัทของเธอประสบความสำเร็จมาก มีคนมีชื่อเสียงร่วมลงทุนมากมาย ... แต่สุดท้ายก็ถูกแฉว่าทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง

The Disruptors - บริษัทเทคโนโลยีที่กล่าวขานว่าเป็นผู้ disruptors อย่างเช่น Uber, Amazon, หรือ Airbnb ซึ่งบริษัทเหล่านี้ทำเงินได้มหาศาล แต่สภาพการทำงานของพนักงานของบริษัทกลับย่ำแย่ ถูกเอาเปรียบ

The Election - ผู้เขียนเขียนถึงการเลือกตั้งของอเมริกา ที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีค่ะ ผู้เขียนไม่ชอบทรัมป์ และมองว่าประวัติที่ผ่านมา พิสูจน์ว่าทรัมป์ก็คือสแกมเมอร์คนหนึ่ง


We Come from Old Virginia

ผู้เขียนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย และในปี 2014 มีบทความเขียนเรื่องแก๊งส์ข่มขืนข่มขืนนักศึกษาหญิงในมหาวิทยาลัย ... ต่อมาพิสูจน์ได้ว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง แหล่งข่าวไม่น่าเชื่อถือค่ะ แหล่งข่าวไม่สามารถพิสูจน์ความจริง หรือแสดงหลักฐานให้เชื่อได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง

ผู้เขียนเชื่อมโยงให้เห็นว่า ทำไมคนจึงเชื่อบทความนี้ในตอนแรก ... เหตุก็เพราะมหาวิทยาลัยฯ นี้ มีประวัติของการใช้ความรุนแรงทางเพศของเพศชายเกิดขึ้นในอดีต ... ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Thomas Jefferson ที่มีความสัมพันธ์กับทาส ตั้งแต่ทาสคนนั้นอายุแค่ 14 ในขณะที่เขาอายุ 44 (อายุห่างกันตั้ง 30 ปี!) ... คือมันมีข่าวความรุนแรงทางเพศ การมีเซ็กส์โดยไม่ยินยอมในมหาวิทยาลัยนี้มาเรื่อยๆ ตั้งแต่อดีต รวมถึงความจริงที่ว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นัก จากสถิติที่แทบไม่มีนักศึกษาถูกลงโทษอย่างรุนแรงจากพฤติกรรมนี้เลย

ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ของตนเอง ของการถูกล่วงละเมิด แต่ไม่กล้าที่จะบอกใคร หรือพยายามจะบอกแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องสำคัญ ... ในสมัยที่เธอเป็นอาสาสมัครที่ประเทศคีร์กีซสถาน เธอโดนเจ้าของบ้านผู้ชายลวนลาม ... 

... ในบทความ เราไม่เห็นด้วยกับเธอ ในตอนที่เธอมองว่า ผู้หญิงที่โดนล่วงละเมิด เมื่อแจ้งเจ้าหน้าที่แล้ว กลับเกิดความกลัวและเปลี่ยนใจ ซึ่งทำให้คำในการของเธอไม่น่าเชื่อถือ ... เรากลับมองว่า "คนที่รับเรื่อง" ต่างหาก คนรับเรื่องไม่อยากมีเรื่องต่างหาก ในขณะที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างสงบสุข จู่ๆ มีเรื่องการล่วงละเมิด บางกรณีคนที่กระทำเป็นคนน่าเชื่อถือ คนรับเรื่องจึงไม่อยากทำลายบรรยากาศความสงบสุขนั้น จึงพยายามพูด หรือแสดงที่ท่าไม่เชื่อถือคำพูดของคนโดนกระทำ ทำให้คนถูกกระทำเสียความมั่นใจ และทุกอย่าง (ในภายนอก) ก็จะกลับมาดูสงบสุขอีกครั้ง


The Cult of the Difficult Woman

เขียนเรื่องผู้หญิงที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่คนส่วนใหญ่ "รักที่จะเกลียด" เช่น Kim Kardashian, Britney Spears เป็นต้น ผู้หญิงเหล่านี้ถูกมองว่า แตกต่าง น่าหมั่นไส้ มั่นเกินไป สวยเกินไป รวยเกินไป ฯลฯ แต่พอพวกเธอจบชีวิตลง เช่น Amy Winehouse, Whitney Houston พอถึงตอนนั้น คนกลับพูดถึงแต่เรื่องดีๆ ของเธอ กลายเป็นผู้หญิงอาภัพ น่าเห็นใจ ... (ทำไมไม่พูดถึงเธอดีๆ เมื่อตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่?)

ผู้เขียนเขียนถึงผู้หญิงของทรัมป์ ผู้หญิงที่ทำงานให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ การที่พวกเธอก้าวขึ้นมาในตำแหน่ง การที่เธอใช้ค่านิยมเฟมินิสต์ให้เป็นประโยชน์กับตัวเธอ ... แต่พวกเธอไม่ใช่เฟมินิสต์ และไม่ได้สนใจเรื่องนี้ด้วย 


I Thee Dread

ผู้เขียนเล่าเรื่องความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่อยากแต่งงาน และมองว่าการแต่งงานเป็นเรื่องสิ้นเปลืองอย่างเปล่าประโยชน์ เชื่อมโยงที่มาของค่านิยมของการแต่งงานที่เจ้าสาวต้องใส่ชุดสีขาว ฟูฟ่อง และแหวนเพชรคือแหวนหมั้นแทนรักนิรันดร์

คือเรามองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอน่ะ มันควรจะแยกกันระหว่าง "การจัดการแต่งงาน" ที่ผู้เขียนมองว่าสิ้นเปลือง กับ "การจดทะเบียนสมรสทางกฎหมาย" ซึ่งผู้เขียนมองว่าในอดีตมันแสดงถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิง ... แต่ปัจจุบัน อเมริกาอนุญาตให้สมรสเพศเดียวกันได้แล้ว และสามารถยังคงใช้นามสกุลเดิมได้ด้วย ดังนั้นการจดทะเบียนสมรสจึงไม่ใช่เรื่องของความไม่เท่าเทียมกันอีกต่อไป .. ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนไม่สามารถเขียนโน้มน้าวให้คนอ่านรู้สึกได้ว่า ทำไมเธอจึงต่อต้านมัน

ประเด็นหนึ่งที่เธอไม่เขียนถึงเลยคือ "การเป็นแม่" คือเธอต่อต้านการแต่งงาน มีแฟน แต่ไม่ต้องการแต่งงานกับแฟน ซึ่งอาจแปลว่า เธอไม่ต้องการเป็นแม่ ... แต่เธอไม่เขียนถึงเลย จริงๆ แล้วประเด็นนี้ต่างหากที่น่าสนใจ 

Friday, November 25, 2022

หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ

 


หนังสือชื่อ  :  หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ

ผู้แต่ง  :  มิยาชิตะ นัตสึ

ผู้แปล  :  พิมพ์พชร คุณโสภา

สำนักพิมพ์  :   อัมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)


ซื้อมาอ่านเพราะชอบชื่อเรื่องค่ะ ... เป็นหนังสือที่ดีนะคะ ไม่เลวเลย แต่ออกแนวสงบๆ เหมือนเสียงเปียโนเบาๆ น่ะค่ะ ประกอบกับสำนวนการแปลที่ดี แต่ไม่ว้าว เลยทำให้อรรถรสของหนังสือดูเฉยๆ ไปเลยค่ะ ...น่าเสียดาย

-

เนื้อเรื่องไม่หวือหวา แต่ดีค่ะ ไม่ใช่หนังสือฮาวทูแบบตั้งใจ แต่เรื่องเล่าในหนังสือกลับให้แง่คิดได้ดีทีเดียวเลย เป็นเรื่องของช่างจูนเปียโนหนุ่มชื่อ โทมุระ ที่ค้นพบว่าตัวเองหลงใหลในเสียงของเปียโนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นการทำงานของช่างจูนเปียโนที่มาจูนเปียโนที่โรงเรียนมัธยม  

ตรงนี้เหมือนความประทับใจแรกเลยค่ะ ครั้งแรกที่โทมุระได้ยินเสียงจากการจูนเปียโน โดยผู้จูนคือช่างจูนเปียโนอัจฉริยะ ... มันคือสัมผัสของผู้เชี่ยวชาญทีทำให้โทมุระตกหลุมรักและต้องการเรียนการจูนเปียโน 

โทมุระมุมานะเรียนเป็นช่างเปียโน และกลับมาทำงานในบริษัทเดียวกับคุณอิทาโดริ นักจูนเปียโนอัจฉริยะ ... เนื้อเรื่องจึงเป็นเรื่องของโทมุระที่พยายามฝึกฝน มุมานะ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกท้อ เพราะดูเหมือนเขาจะไม่มี "พรสวรรค์" ทางด้านนี้เอาเสียเลย มีก็แต่ความหลงใหลในการสร้างเสียงของเปียโนเท่านั้น ที่ทำให้โทมุระมุมานะฝึกฝนอยู่ต่อไป 

ตรงนี้มันก็เหมือนเราทุกคนแหละค่ะ คณะที่เราเลือกเรียน อาชีพที่เราเลือกทำ เราเลือกทำตอนแรกเพราะรู้สึกชอบ แต่ทำไปทำมา ถ้าผลลัพธ์ของการพยายามออกมาไม่ดีนัก ทำไปทำมาก็รู้สึกท้อได้เช่นกัน เหมือนพยายามเท่าไรก็ไม่ได้ดีสักที ... ใครที่กำลังรู้สึกเช่นนี้อยู่ แนะนำให้หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านค่ะ ...ลึกซึ้งทีเดียว 

-

1. เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของช่างจูนเปียโนค่ะ ... คืออาชีพช่างจูนเปียโนก็เป็นอาชีพเฉพาะทางอยู่แล้ว แถมเปียโนก็เป็นเครื่องดนตรีที่ไม่ใช่ว่าคนอ่านทุกคนจะเล่นเป็น หรือเคยเล่น แถมเรื่องยังดำเนินที่ญี่ปุ่น... ดังนั้นเนื้อเรื่องโดยพื้นฐานก็ทำให้คนอ่านมีส่วนร่วมกับเนื้อหายากอยู่แล้ว 

2. เนื่องเป็นเรื่องของ "เสียง" เปียโน ซึ่งหนังสือไม่สามารถเปล่งออกมาให้ฟังได้ ดังนั้นนักเขียนจึงพยายามอุปมาอุปมัยเสียงเปียโนออกมาให้เห็นเป็นภาพ โดยให้ในความคิดของโทมุระ เสียงเปียโนที่ดีจินตนาการเชื่อมไปถึงเสียงธรรมชาติในป่า ดอกไม้ ต้นไม้...​ในหนังสือมีการเขียนบรรยายถึงต้นไม้ ดอกไม้หลายชนิดเลยค่ะ แต่เป็นชื่อญี่ปุ่น ... ที่น่าเสียดายคือคนแปลไม่ยอมหาชื่อละตินใส่ให้ในเชิงอรรถ เลยทำให้คนอ่านจะเสิร์จหารูปต่อก็ไม่ได้ เช่น คนเขียนเขียนถึงต้นอิงโกะ ซึ่งเป็นต้นไม้ของฮอกไกโด ... แต่เสิร์จหารูปไม่เจอ คนแปลก็บอกแค่ชื่อ "ต้นอิงโกะ" คนอ่านก็จิตนาการไม่ออกว่าต้นมันหน้าตาอย่างไร เป็นต้น หรืออีกตอน บรรยายว่า "ค้อนที่จะเคาะลงกับสายนั้นดูราวกับดอกตูมของดอกคิตะโคบุชิ" ... แล้วเชิงอรรถ ผู้แปลก็บอกแค่ว่า มันคือ "ดอกไม้สีขาว ดอกตูมมีขนอ่อนคล้ายกำมะหยี่ของค้อนเปียโน" ... แค่เงี่ย!!! คิดว่าถ้าใส่ชื่อละตินให้ค้นดูรูปก็ดีนะคะ เราคนอ่านจะได้เห็นภาพตามได้

3. ในหนังสือยกกลอน (หรือบทความ?) ของนักเขียนชื่อ ฮาระ ทามิกิ ที่ทั้งโทมุระ (ตัวเอกของเรื่อง) และเพื่อนร่วมงาน คุณอิทาโดริ ต่างชื่นชอบ ... แต่คือกลอนนั้นอ่านแล้ว รู้สึกเฉยมากค่ะ คือมันน่าขนลุกตรงไหน? เป็นที่แปลได้ทื่อๆ ตรงๆ หรือเป็นที่กลอนมันไม่ว้าวแต่แรกอยู่แล้วก็ไม่ทราบได้ค่ะ

คืออาจจะคาดหวังกับการแปลที่เยี่ยมเยอะเกินไปน่ะค่ะ เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือแปลจากภาษาญี่ปุ่นชื่อ "พระอาทิตย์เที่ยงคืน" ไป ซึ่งเล่มนั้นคนแปลเป็นไทยแปลดีมาก มีเชิงอรรถอธิบายต่างๆ ให้คนไทยที่ไม่เคยสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้าใจ ... คือถ้าคนแปลแปลแบบ "ฟังเสียงที่อยู่หัวใจ" เหมือนโทมุระ ในเรื่องนี้ หนังสือจะออกมาเยี่ยมเลยค่ะ

Tuesday, November 22, 2022

The Library of Lost and Found

 


หนังสือชื่อ  :  The Library of Lost and Found

ผู้แต่ง  :  Phaedra Patrick

สำนักพิมพ์  :  HaperCollins Publishers Ltd


ถึงแม้เหตุการณ์ทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้จะเกิดขึ้นที่เมือง Sandshift ประเทศอังกฤษ แต่เราคนไทยจะอ่านแล้ว "อิน" กับเรื่องราวในหนังสือนี้ไม่ยากเลยค่ะ ... หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับ ลูกกตัญญู คนที่รู้สึกว่าตัวเองทำดี ทำเพื่อคนอื่น เสียสละเพื่อคนอื่นเสมอมา แต่กลับไม่มีใครเห็นคุณค่าเลย 

ตัวเอกของเรื่องคือ Martha Storm เป็นหญิงวัยกลางคน เธอเป็นอาสาสมัครบรรณารักษ์ของห้องสมุดประจำเมืองค่ะ เธอเป็นคนดี (ดีจริงๆ ไม่ได้ประชด) เป็นคนที่ใครร้องขอให้ช่วยก็ไม่เคยปฏิเสธเลยค่ะ มีนิสัยคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ ที่เป็นแบบนั้นเพราะเธอรู้สึกว่าตัวเธอมีคุณค่าเมื่อได้ช่วยเหลือคนอื่น ... แต่ความซวยของเธอคือเธออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนรอบตัวเธอคิดถึงแต่ตัวเองก่อนเสมอ ดังนั้นไม่ว่าเธอจะทำดีแค่ไหน ช่วยเหลือคนอื่นยังไง ก็ไม่มีใครเห็นค่าค่ะ แถมออกแนวว่าถ้าใช้เธอได้ก็ใช้ กลายเป็นเธอถูกเอาเปรียบอยู่เสมอๆ แถมยังรู้สึกว่าเธอน่ารำคาญ ไร้ประโยชน์ด้วยซ้ำ เห็นจากการที่เจ้านายของเธอปฏิเสธใบสมัครเป็นบรรณารักษ์ของเธอถึงสองครั้งสองครา และไปคว้าคนอื่นที่อายุน้อยกว่า ทั้งๆ ที่เธอช่วยงานในห้องสมุดมาหลายปี และทำหน้าที่เสมือนเป็นบรรณารักษ์ประจำด้วยซ้ำ

คนดีแบบนี้ ควรจะต้องมีคนคอยปกป้อง ป้องกันพวกที่มาเอาเปรียบ แต่ความซวยของ Martha คือ แม้แต่คนในครอบครัวของเธอเองก็ยังคิดถึงแต่ตัวเองก่อน และเอาเปรียบเธอเลย เห็นจากการที่เธอต้องเลือกเลิกกับคนรักเพื่ออยู่บ้านดูแลพ่อแม่ที่ป่วย ทั้งๆที่เธอมีน้องสาวอาศัยอยู่ไม่ไกล แต่น้องไม่ช่วยอะไรนัก กลายเป็นว่าเธอต้องทำงานดูแลพ่อแม่เต็มเวลา จนกระทั่งพ่อแม่ตายจากไป ... พอพ่อแม่ตาย Martha ก็เป็นสาวแก่ โสด หมดโอกาสมีลูก และไม่มีใครแล้วค่ะ เวลาชีวิตหายไปเป็นสิบปีเลย

จุดเปลี่ยนของเรื่องก็เกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่ง เธอเจอหนังสือชำรุดที่ส่งมาบริจาคที่ห้องสมุด กลายเป็นว่าหนังสือนั้นมีเขียนโน้ตว่า เป็นของขวัญมอบให้ Martha จากคุณยายของเธอ ... ที่น่าสังเกตคือปีที่หนังสือนั้นมอบให้เธอ คือสามปีหลังจากการตายของคุณยาย ... จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบสาวราวเรื่องในอดีตว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หนังสือจะเล่าเรื่องในปัจจุบันในมุมมองของ Martha สลับกับเรื่องในอดีตในมุมมองของ Betty (แม่ของ Martha) ค่ะ เรื่องจะค่อยๆ คลายปมดราม่าในครอบครัวว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต

อ่านไปก็จะขัดใจไปค่ะ คือพ่อของ Martha เป็นพวกบ้าอำนาจ ชอบควบคุมบงการ ส่วนแม่ก็อ่อนแอ ต้องการการปกป้อง ดังนั้นเธอจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจพ่อ ด้วยนิสัยคนหนึ่งแข็ง อีกคนอ่อนปวกเปียก เมื่อมาอยู่ด้วยกัน แม้แม่จะไม่มีความสุขเท่าไรนัก แต่ครอบครัวก็ยังดำเนินไปได้ ...แต่ในทางตรงกันข้าม ยายของ Martha กลายเป็นคนทำเรื่องป่วน ยายกับพ่อไม่ถูกกัน และงัดข้อกันเสมอๆ ทำให้แม่ที่อยู่ตรงกลางลำบากใจ 

พ่อแม่ของ Martha คือพ่อแม่ประเภท เด็ดปีกนางฟ้าของลูกตัวเองค่ะ เพราะ Martha เป็นเด็กช่างจินตนาการ และชอบเขียนนิทานเล่าเรื่องต่างๆ ... (ในหนังสือจะสลับหยิบนิทานที่ Martha แต่งมาเล่าด้วยค่ะ ซึ่งเป็นนิทานสั้นที่ดีเลยทีเดียว ส่วนตัวชอบนิทานตรงนี้มาก) ... คือ Martha เป็นลูกสาวที่นิสัยต่างจากพ่อไงคะ พ่อที่บ้าอำนาจและมองโลกแค่ด้านเดียวเลยมองว่า Martha ทำสิ่งไร้ประโยชน์ ในขณะที่น้องสาวของ Martha นิสัยคล้ายพ่อ ดังนั้นน้องสาวจึงไม่มีปัญหา ออกบ้าอำนาจนิดๆ เป็นพวกคิดถึงตัวเองก่อน

ทั้งเรื่องจะรู้สึกหงุดหงิดที่ ส่ิงที่ Martha ทำ ไม่มีใครซาบซึ้งหรือรู้สึกว่าเธอเสียสละเลย ไม่แม้แต่พ่อแม่ของเธอ คือพ่อแม่มองว่ามันคือหน้าที่เธอไง ที่ต้องอุทิศชีวิตในการดูแลพวกเขายามชรา ไม่มีขอบคุณ ...คือรู้สึกว่า ถ้ามีครอบครัวแบบนี้ ชีวิตนี้ไม่จำเป็นต้องมีศัตรูหรอก

หนังสือสนุกตรงที่ เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ เราได้เริ่มเห็นพัฒนาการการสู้เพื่อตัวเองของ Martha จากเดิมที่หวังว่าจะมีใครสักคนปกป้องเธอจากการโดนเอาเปรียบ มาเป็นการยืดหยัดเพื่อตัวเอง และรู้จักที่จะปฏิเสธคนอื่นในส่ิงที่ไม่อยากทำ




Sunday, November 13, 2022

The Fault in Our Stars

 


หนังสือชื่อ :  The Fault in Our Stars

ผู้แต่ง  :  John Green

สำนักพิมพ์  :  the Penguin Group


สวย ซึ้ง ให้แง่คิด สมเป็นวรรณกรรมเยาวชนจริงๆ ค่ะ เป็นเล่มที่อยากแนะนำให้วัยรุ่นทุกคนได้อ่านกัน หรือผู้ปกครองที่ลูกของตัวเองกำลังต่อสู้อยู่กับโรคร้าย อยากแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ

หนังสือเล่มนี้มีแปลเป็นภาษาไทยด้วยนะคะ ชื่อ "ดาวบันดาล" แปลโดย เขมรินทร์ พงษ์สุวรรณ ค่ะ และดูเหมือนมีทำเป็นภาพยนตร์ด้วยค่ะ ชื่อเดียวกับหนังสือเลย

เนื่องด้วยเป็นนิยายรักโรแมนติก ของวัยรุ่นที่เป็นมะเร็ง ดังนั้นพล็อตเรื่องจึงไม่มีอะไรหวือหวาเหมือนนิยายแนวทริลเลอร์ที่ชอบอ่าน แต่เนื้อหากับลึกซึ้งและมีข้อชวนให้คิดแม้หลังจากอ่านหนังสือจบไปแล้วก็ตามค่ะ

นิยายเล่มนี้เป็นเรื่องของ Hazel เธออายุแค่ 16 ปีเองค่ะ แต่ป่วยเป็นมะเร็งที่เกี่ยวกับไทรอยด์ ตรวจพบมะเร็งตอนเธออายุ 12 และสู้กับมันเรื่อยมา โชคดีที่ยาตัวใหม่ที่เพิ่งค้นพบ ซื่งปกติยาตัวนี้ไม่ค่อยได้ผลกับคนอื่น กลับได้ผลในเคสของเธอ จึงทำให้ Hazel รอดชีวิตมาได้ แต่ผลกระทบจากโรคร้ายคือปอดของเธอทำงานได้ไม่ดีค่ะ ทำให้เธอต้องใช้สายออกซิเจนตลอดเวลา ไปไหนมาไหนก็ต้องพกออกซิเจนไปด้วย

หนังสือบอกเล่าความรู้สึกในมุมของ Hazel ค่ะ เขียนเหมือนเป็นบันทึกของเธอ ... Hazel ได้เจอกับ Augustus ในคลาสกลุ่มบำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็ง (Augustus เป็นเพื่อนของ Isaac ซึ่งเป็นเพื่อนกับ Hazel อีกที) 

Augustus ป่วยเป็นมะเร็งกระดูก ทำให้ต้องตัดขาไปข้างหนึ่งค่ะ จบอนาคตนักบาสเกตบอลที่กำลังรุ่งในวัย 17 ส่วน Isaac เพื่อนของทั้งคู่นั้น เป็นมะเร็งตา ทำให้ต้องผ่าตัดเอาดวงตาออก กลายเป็นคนตาบอด ในวัยแค่ 17 และแถมโดนแฟนทิ้งด้วย

Hazel มีหนังสือที่ชอบอ่านอยู่เล่มหนึ่งค่ะ ชื่อ "An Imperial Affliction" เขียนโดย Peter van Houten ซึ่งเป็นหนังสือที่ประหลาดมาก เล่าเรื่องบันทึกของแอนนา (Anna) ที่ป่วยเป็นลิวคูเมีย อาศัยอยู่กับแม่ของเธอ และมีหนูแฮมสเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยง แล้วก็มีชายชาวดัตช์มาจีบแม่ พร้อมสัญญาว่าจะดูแลแอนนาอย่างดี ... แต่ที่ประหลาดคือ หนังสือจบแบบดื้อๆ จบแบบยังไม่จบประโยคก็ตัดจบ คือเล่มตั้งหนา หลายร้อยหน้า แต่จู่ๆ ก็จบ ... จบเหมือนเขียนยังไม่เสร็จแล้วก็ส่งพิมพ์ซะงั้น 

ตอนจบของหนังสือ  "An Imperial Affliction"  เป็นสิ่งที่คาใจ Hazel มากเลยค่ะ เธอเดาว่า หนังสือจบแบบห้วนๆ แบบนั้นเนื่องจาก แอนนาเสียชีวิตจากโรคร้าย ...​แต่เธอก็ยังอยากรู้ชีวิตต่อไปของคนอื่นๆ ในหนังสือ เช่น หนูแฮมสเตอร์สัตว์เลี้ยงของแอนนาจะเป็นอย่างไรต่อไป? คนดัตช์ที่มาจีบแม่ของแอนนาเป็นคนรวยจริงไหม? เป็นคนดีไหม? และหลังจากแอนนาเสียชีวิตแล้ว ทั้งคู่ยังได้แต่งงานกันหรือไม่? ... มันคาใจ Hazel มาก จนกระทั่งเธอต้องเขียนจดหมายไปถาม Peter van Houten คนแต่งค่ะ แต่ไม่ว่าจดหมายกี่ฉบับที่เธอเขียน ก็ไม่ได้รับการตอบกลับมาเลย

ไม่ได้คาใจแค่ Hazel คนเดียวนะคะ หลังจาก Augustus ได้อ่าน ก็สงสัยเช่นกัน ... Augustus จึงส่งอีเมล์ติดต่อถามกับผู้ช่วยของ Peter van Houten แทนค่ะ (เพราะ Hazel ติดต่อกับนักเขียนโดยตรงแล้วไม่ได้เรื่อง เหมือนเจ้าตัวไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ) ... โชคดีคือ ผู้ช่วยของ Peter van Houten ตอบกลับ และบอกว่า เรื่องราวหลังจากการเสียชีวิตของแอนนานั้นเป็นความลับ แต่ผู้เขียนคือ Peter van Houten ยินดีจะเล่าให้ทั้งคู่ฟัง หากทั้งคู่มาพบกับเขาเป็นการส่วนตัวที่อัมสเตอร์ดัม 

อ่านมาถึงตรงนี้ สำหรับคนอ่านที่เป็นผู้ใหญ่จะรู้สึกว่ามันไร้สาระค่ะ คือมันเป็นนิยายเนอะ นิยายคืออยู่ในจินตนาการของคนเขียน จะเขียนให้เป็นอย่างไรก็ได้ ...​ทำไมทั้ง Hazel และ Augustus ถึงได้จริงจังกับเรื่องนี้ ... แนะนำว่าให้อ่านไปเรื่อยๆ ค่ะ มันลึกซึ้งกว่าแค่นิยาย...

และที่อัมสเตอร์ดัม คือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ลึกซื้งจนกลายเป็นความรักของ Hazel และ Augustus ค่ะ

แต่อย่างที่เราเดาได้ตั้งแต่เริ่มอ่านล่ะค่ะ เรื่องนี้ ตัวเอกของเรื่องเป็นมะเร็งทั้งหมด ดังนั้นมันจึงต้องมีการลาจากของใครคนใดคนหนึ่ง ... แต่ผู้เขียนไม่ได้เขียนให้นิยายนี้เป็นเรื่องเศร้าค่ะ นิยายเล่มนี้กลับเป็นนิยายตลก เต็มไปด้วยทัศนคติคิดบวก

Hazel ซึ่งรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุยังน้อย กลับไม่ได้เศร้า หรือกลัวความตายที่อาจจะมาได้ทุกเมื่อ เธอกลับใช้ชีวิตอย่างมีพลัง ทำทุกอย่างเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป (เท่าที่สามารถทำได้) ... เธอบอกว่า ตัวเธอนั้นคือ "ผลข้างเคียง" ของการวิวัฒนาการค่ะ มะเร็งคือผลข้างเคียงของการกลายพันธุ์ 

หนังสือเล่มนี้เปลี่ยนทัศนคติของคนร่างกายแข็งแรงที่มีต่อเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งไปเลยค่ะ คนร่างกายแข็งแรงมักจะรู้สึกสงสารเด็กป่วยเหล่านี้ แต่เด็กเหล่านี้ เนื่องจากเขาโตมากับโรคร้ายไงคะ เขาเลยไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร เขาก็แค่ใช้ชีวิตเท่าที่ร่างกายเอื้ออำนวย เขาไม่ได้รู้สึกสงสารตัวเอง แต่พยายามใช้ชีวิตในแต่ละวัน

ชอบบทสุดท้ายซึ่งเป็นจดหมายที่ Augustus เขียนค่ะ Augustus บอกว่า หลายคนมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะสร้าง "ความหมาย" สร้างสิ่งต่างๆ เพื่อให้โลกจดจำ เช่น เป็นคนรวย เป็นคนเก่ง ... แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ให้โลกก็คือรอยแผลเป็น (เหมือนหนทางที่ก้าวขึ้นสู่ความเป็นที่หนึ่ง อาจสร้างความทรงจำที่เลวร้าย หรือทำร้ายคนรอบข้างโดยไม่ตั้งใจ) ... การเป็นที่จดจำของคนหลายๆ คน เทียบไม่ได้กับการมีคนที่รักจริงเพียงไม่กี่คนหรอกค่ะ



Monday, October 31, 2022

พระอาทิตย์เที่ยงคืน

 


หนังสือชื่อ  :  พระอาทิตย์เที่ยงคืน

ผู้แต่ง  :  ฮิงาชิโนะ เคโงะ

ผู้แปล  :  สุริยงวรวุฒิ สิริวิวัฒน์กุล

สำนักพิมพ์  :  ไดฟุกุ บริษัท บุ๊ค ไทม์ จำกัด


สนุกมากค่ะ เป็นผลงานชั้นขึ้นหิ้งเลยทีเดียว ถ้ามีคนถามว่านิยายแนวสืบสวนสอบสวน/ทิลเลอร์ เล่มไหนสนุกที่สุด ... หนังสือ "พระอาทิตย์เที่ยงคืน" จะต้องอยู่ในรายการอย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ

คดีเริ่มจากเจ้าของโรงรับจำนำถูกฆ่าตาย พบเป็นศพอยู่ภายในตึกร้างแห่งหนึ่ง ก่อนตายผู้ตายเบิกเงินมาล้านเยน เงินนั้นก็หายไปปริศนาด้วยค่ะ ... การสอบสวนพบผู้ต้องสงสัย หญิงม่ายที่ผู้ตายไปพบก่อนเสียชีวิต และสอบสวนขยายผลไปถึงผู้ชายอีกคนที่ไปมาหาสู่กับหญิงม่ายผู้นี้ด้วยค่ะ ... และตำรวจก็มืดแปดด้าน เพราะยังไม่พบหลักฐานชัดเจนที่จะสาวไปถึงตัวฆาตกรได้ ... และต่อมาไม่ได้ ผู้ต้องสงสัยคือหญิงม้าย และแฟนก็เสียชีวิต

เหมือนเป็นคดีตัน คดีปิดไม่ลง แต่ชีวิตก็ดำเนินต่อไป เรื่องเขียนเล่าภายใต้มุมมองของคนรอบตัว คิริฮาระ เรียวจิ - ลูกชายของชายเจ้าของโรงรับจำนำที่ถูกฆ่าเสียชีวิต และ นิชิโมโตะ ยูกิโฮะ - ลูกสาวของหญิงม่ายที่เป็นผู้ต้องสงสัย

เสน่ห์ของหนังสือไม่ได้อยู่ที่ว่า คนร้ายคือใครค่ะ ... คนร้ายคือใครนั้นเราพอจะเดาออก ถึงแม้จะรู้สึกเหลือเชื่อก็ตามที แต่ความรู้สึกสงสัยก็ตามมาว่า อะไรคือแรงจูงใจ? มันต้องมีอะไรที่เลวร้ายมากๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา ที่ทำให้พวกเขาเลือกทางเดินอันมืดมิดนี้ 

ทั้งเรื่องเป็นการสืบสวนที่กินเวลายาวนานถึง 19 ปี ตั้งแต่ทั้งเรียวจิ และยูกิโฮะ ยังเป็นเด็กประถม ไปจนพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ ยาวนานจนคดีแรกที่เกิดเหตุของเรื่องนั้นหมดอายุความไปแล้ว ... แต่ 19 ปีที่ผ่านมานั้น ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะอยู่อย่างสงบและไม่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นสักหน่อย

ในเรื่องเราจะได้เห็นพัฒนาการ "ความร้าย" ของพวกเขาค่ะ คนฉลาดที่เลวนี่น่ากลัวที่สุด แถมยังทำงานเป็นทีมอีก ยิ่งน่ากลัว ... 

หนังสือไม่ได้เล่าในมุมของเขาสองคน แต่เล่าในมุมของคนรอบตัวทั้งคู่ (ทั้งคู่อยู่กันคนละสังคมอย่างสิ้นเชิงค่ะ ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่น่าจะรู้จักกัน แต่ถ้าอ่านเราจะเห็นความเชื่อมโยงว่าทั้งคู่มีการติดต่อกันอย่างลับๆ ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และช่วยเหลือกันเสมอในทุกช่วงเวลาของชีวิต) ทำให้เราค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวของพวกเขาเข้าด้วยกัน และเริ่มรู้จักพวกเขาขึ้นทีละน้อยๆ

สนุกมากค่ะ ตอนจบก็ปลายเปิด ชวนให้คิดต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา หนังสือไม่ได้เฉลยอะไรทุกอย่างเคลียร์กระจ่างแจ้งแบบนิยายนักสืบที่เฉลยตอนจบ แต่ทั้งหมดเป็นการคาดเดา สันนิษฐานที่เราคนอ่านปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน หนังสือไม่มีคำสารภาพของฆาตกรว่าทำเช่นนั้นไปทำไมเลยค่ะ ... และนี่ถือเป็นเสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้เลยค่ะ

Sunday, October 30, 2022

ทาจิอาราอิ นักข่าวสาวสืบคดี : ความจริงระยะ 10 เมตร

 


หนังสือชื่อ  :  ความจริงระยะ 10 เมตร

ผู้แต่ง  ;  โยเนซาวะ โฮโนบุ

ผู้แปล  :  วิลาสินี สาโรวาท

สำนักพิมพ์  :  ไดฟุกุ บริษัท ไดฟุกุ ครีเอเตอร์ จำกัด


เล่มนี้สนุกค่ะ แนะนำเลย ผู้เขียนมีชั้นเชิงของการเล่าเรื่องทำให้เรื่องน่าติดตาม และให้บรรยากาศของความเป็นญี่ปุ่น ผู้แปลก็แปลได้ดีเลยทีเดียวค่ะ ทำให้เรานึกภาพบุคลิกของตัวเอกตามได้ไม่ยาก เป็นลักษณะของผู้หญิงเอาการเอางาน จริงจัง ลึกๆ แล้วมีความอ่อนไหว แต่กลับแสดงออกด้วยหน้าตาไร้อารมณ์ เย็นชา เป็นบุคลิกที่เก็บทุกอย่างไว้กับตัว เป็นบุคลิกที่เหมาะกับการเป็นนักข่าวมาก บุคลิกของการเป็น "คนนอก" สันโดษ เป็นผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ 

ตัวเอกของเรื่องเป็นนักข่าวค่ะ ชื่อ "ทาจิอาราอิ" ในหนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องสั้น มีทั้งหมด 6 เรื่องด้วยกัน ตัวละคร ยกเว้นนักข่าวแล้ว ที่เหลือไม่เกี่ยวข้องกันค่ะ จะพลิกอ่านตอนไหนก่อนก็ได้ตามสะดวก

เพราะตัวเอกของเรื่องเป็นนักข่าว (ไม่ใช่ตำรวจ หรือนักสืบ) ดังนั้นเนื้อหาจึงเป็นการตามล่าหาความจริงของข่าวอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ดังนั้นโทนของเรื่องจึงเป็นเพียงการอยากรู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร แต่ไม่มีการตัดสิน ไม่โทษว่าการกระทำนั้นผิดหรือถูก เป็นการเล่าในบรรยากาศของคนนอก ไม่ใช่ผู้รักษากฎหมาย

ในเล่มเป็นเรื่องสั้น 6 เรื่องด้วยกัน ได้แก่

ความจริงระยะ 10 เมตร

เป็นการตามหาผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อขอสัมภาษณ์ หลังจากที่เธอประสบมรสุมทางด้านการงาน โดนกล่าวหาบริษัทที่พี่ชายเธอเป็นผู้ก่อตั้งนั้นฉ้อโกงเงินของผู้ลงทุน -- เธอหนีไป การติดต่อล่าสุดคือโทรหาน้องสาวตอนกลางดึก และพูดแปลกๆ จากนั้นก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย ...

ชายผู้เคารพความยุติธรรม

คนถูกรถไฟชน รูปการเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในญี่ปุ่น ...​แต่บังเอิญว่าในรถไฟขบวนนั้น มีนักข่าว "ทาจิอาราอิ" ตัวเอกของเรื่องโดยสารมาด้วย และเธอรู้สึกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แต่หากคือการฆาตกรรมต่างหาก 

พิษรักอัตวินิบาตกรรม

หนุ่มสาววัยมัธยมฆ่าตัวตายพร้อมกัน ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ ...​เรื่องนี้เศร้าที่สุดในเล่มค่ะ... นักข่าวสืบหาว่าอะไรอยู่เบื้องหลังการคิดสั้นของทั้งคู่ และใครที่ให้ความช่วยเหลือเด็กให้ฆ่าตัวตายด้วยจุดประสงค์ส่วนตัวบางอย่าง

จำรึกไว้ให้โลกจำ

เป็นเรื่องของคนแก่ที่เสียชีวิตคาบ้าน และผู้พบศพคือเด็กมัธยมที่อยู่บ้านใกล้กัน ... ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นข่าวดัง มีนักข่าวมาสัมภาษณ์เด็ก (คนที่เจอศพ) มากมาย รวมถึงมีการโยงไปในประเด็นทางการเมืองเรื่องความโดดเดี่ยว การปล่อยให้คนแก่อยู่ลำพังไม่มีคนดูแล 
เรื่องดูเหมือนไม่ซับซ้อนค่ะ ไม่ใช่ฆาตกรรมด้วย ... แต่ดูเหมือนเด็กที่เป็นผู้พบศพคนแรกนั้น มีอะไรบางอย่างคาใจซ่อนอยู่ อะไรบางอย่างที่ถ้าไม่เปิดเผยออกมา สิ่งนั้นจะติดไปในใจเขาตลอดไป และจะกัดกร่อนใจเขาในขณะที่เขาเติบโตขึ้นด้วย

มีดทำลายความทรงจำ

ส่วนตัวชอบเรื่องนี้ที่สุดค่ะ ชอบในชั้นเชิงการเล่าเรื่องของผู้เขียน ... เป็นเรื่องของพี่ชายของเพื่อนของนักข่าว (งงไหม คือนักข่าวมีเพื่อนผู้หญิงเป็นคนต่างชาติ และเพื่อนคนนี้มีพี่ชาย และตอนนี้พี่ชายมาทำธุระที่ญี่ปุ่น เลยนัดเจอกับเธอ) ทาจิอาริก็มาเจอตามนั้นค่ะ แต่เธอค่อนข้างยุ่ง เพราะกำลังทำข่าวเรื่อง น้าชายอายุ 16 ใช้มีดฆ่าหลานสาวแท้ๆ อายุ 3 ขวบของตัวเองอยู่ .. เรื่องฆาตกรรมก็ซับซ้อน ในขณะเดียวกันภายในใจของพี่ชายก็ซับซ้อนเช่นกันค่ะ ... เล่าเรื่องได้น่าติดตามมากค่ะ และสมบูรณ์ภายในบทสั้นๆ 

หนทางรอด

บทนี้น่าจะเกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นด้วยน่ะค่ะ ที่มองว่าสิ่งที่ตัวละครทำนั้นน่าละอาย และคนทำก็ละอายแก่ใจ คือถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ยุโรป ... ไม่มีใครว่าอะไรเลยค่ะ ทุกคนเข้าใจ
เป็นเรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยออกจากบ้านที่มีโคลนถล่ม บริเวณนั้นมีบ้านอยู่ 3 หลังค่ะ ที่นักข่าวมาทำข่าวคือบ้านของตายายโทนามิ ส่วนอีกสองหลังนั้น ดูเหมือนจะหมดหวังในการช่วยผู้รอดชีวิตไปแล้ว ...​การช่วยเหลืออพยพเป็นไปได้ด้วยดีค่ะ ทั้งสองตายายปลอดภัย ...​แต่ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ค้างคาใจอยู่ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ยังเล่าไม่หมด ...

Saturday, October 29, 2022

กาลิเลโอไขคดีปริศนาลวงตา

 


หนังสือชื่อ  :  กาลิเลโอ ไขคดีปริศนาลวงตา

ผู้แต่ง  :  ฮิงาชิโนะ เคโงะ

ผู้แปล  :  สุรีรัตน์ งามสง่าพงษ์ และ วิลาสินี สาโรวาท

สำนักพิมพ์  :  ไดฟุกุ บริษัท บุ๊ค ไทม์ จำกัด


เป็นครั้งแรกที่อ่านหนังสือของผู้เขียนท่านนี้ค่ะ แต่เรื่องนักสืบกาลิเลโอนี้ เคยดูเป็นซีรีย์เมื่อนานมาแล้วค่ะ ... จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว จำได้แค่ว่าสนุก กับพระเอก (ที่เป็นอาจารย์ฟิสิกส์) หล่อ ...จำได้เท่านั้นเอง

สนุกสมคำรีวิวที่ผ่านๆ มาค่ะ เหมาะสำหรับการอ่านเล่นๆ ไม่คิดมาก ในเล่มเป็นเรื่องสั้นเป็นตอนๆ คือเป็นการสืบสวนหาฆาตกรของตัวเองหลักที่เป็นตำรวจ กับเพื่อนที่เป็นรองศาสตราจารย์ฟิสิกส์ ที่ต้องตกกระไดพลอยโจนช่วยเพื่อน เพราะความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง (ตามประสานักวิทยาศาสตร์)

ส่วนตัวคิดว่าถ้าเรื่องนี้เป็นซีรี่ย์ดูในทีวีจะสนุกกว่าค่ะ พอเป็นหนังสือ มันเลยดูเบาไป มันดูไม่มีความลุ่มลึก ความซับซ้อน หรือมีมิติให้ชวนคิด แต่อ่านสนุกๆ ก็แนะนำเลยค่ะ

ในหนังสือมี 7 เรื่องสั้น ได้แก่

1. งงงวย 

เป็นเรื่องของลัทธินอกรีตแห่งหนึ่ง ตำรวจต้องเข้ามาสืบสวนสาเหตุการตายของหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของลัทธิ ที่จู่ๆ ก็กลัวความผิด และกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ต่อหน้าต่อหน้าสมาชิกที่เหลือ

2. มองเห็นทะลุปรุโปร่ง

การตายของพนักงานต้อนรับในบาร์แห่งหนึ่ง พนักงานคนนี้มีความสามารถพิเศษในการเล่นกลว่ามองเห็นทะลุสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของลูกค้าได้ ซึ่งพระเอกก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่าเธอ "ดูเหมือน" มองเห็นจริง ... และดูเหมือนความสามารถพิเศษนี้ ทำให้เธอพบจุดจบในชีวิต

3. เสียงจากใจ

เสียงแว่ว และพนักงานฆ่าตัวตาย 2 คนในเวลาไล่เลี่ยกัน ดูเหมือนพนักงานที่ฆ่าตัวตายนั้นจะได้ยินเสียงแว่วจนทนไม่ไหว นอกไปจากนี้ ยังมีพนักงานในบริษัทแห่งนั้น ที่มีอาการเสียงแว่วจนใกล้จะบ้าเต็มที ...​เกิดอะไรขึ้นในบริษัทแห่งนี้? มันจะบังเอิญไปไหม ที่พนักงานหลายคนเกิดอาการเสียงแว่วในเวลาไล่เลี่ยกัน

4. บอลโค้ง

เป็นเรื่องของนักเบสบอลที่กำลังจะหมดไฟในการเล่นแล้วค่ะ อายุเยอะแล้ว ความสามารถก็ถดถอยลง ...แล้วก็มาเกิดเรื่องเศร้ากับภรรยาของเขา ภรรยาถูกฆาตกรรม คดีนี้ตำรวจจับคนร้ายได้เร็ว ไม่ซับซ้อน เป็นเรื่องของการฆ่าชิงทรัพย์ ...​แต่ปริศนาคือ ในรถของผู้ตายมีกล่องของขวัญอยู่ ผู้ตายกำลังไปพบใคร? ปริศนาคือความลึกลับในชีวิตของผู้ตายก่อนเสียชีวิตค่ะ 

5. ส่งกระแสจิต

เป็นเรื่องของความผูกพันของคู่แฝด ที่ถึงแม้ทั้งคู่จะอยู่ห่างไกลกัน แต่อีกฝ่ายกลับรับรู้ได้ หรือมีลางสังหรณ์ว่าคู่แฝดของตนกำลังได้รับอันตราย -- แต่กระแสจิตส่งถึงกันของคู่แฝดนี้ เป็นเรื่องจริงหรือ? มันควรมีเหตุที่น่าจะอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์มากกว่า ความลึกลับของกระแสจิตไหม?

6. บิดเบือน 

บทนี้ พระเอกกับเพื่อนไปร่วมงานแต่งงานค่ะ ตามสูตรคือฝนตกหนัก ปิดทางเข้า ... และก็เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นในพื้นที่ใกล้ๆ โรงแรมที่จัดงานแต่งงาน พระเอกกับเพื่อนจึงได้รับเกียรติ (จริงๆ แกมบังคับ) ให้เป็นเจ้าหน้าที่ชุดแรกที่เข้ามาดูสถานที่เกิดเหตุก่อน 
พระเอกพบความไม่ชอบมาพากลของที่สภาพศพ และสืบสวนเบื้องหลังว่าเกิดอะไรขึ้นค่ะ

7. แสดงละครตบตา

ผู้กำกับละครถูกแทงตายในบ้านพัก คดีเริ่มด้วยการบอกคนอ่านตั้งแต่แรกเลยค่ะ ว่าใครคือฆาตกร ความสนุกอยู่ที่การที่ฆาตกรพยายามอำพรางหลักฐานทุกอย่างที่จะสาวถึงตัว ... และคนอ่านก็ลุ้นกันว่า ตำรวจจะรู้ความจริงเมื่อไร ในเมื่อฆาตกร และผู้ต้องสงสัยทุกคนต่างเป็นนักแสดงฝีมือดีกันทั้งนั้น

Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น

 


หนังสือชื่อ  :  Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น

ผู้แต่ง  :  James Clear

ผู้แปล  :  ประพาฬรัตน์ ยงมานิตชัย

ผู้เรียบเรียง  :  กนิษฐ์ พรหมเสน

สำนักพิมพ์  :  ซีเอ็ดยูเคชั่น


เป็นหนังสือดังค่ะ ดังในต่างประเทศมากด้วย ซื้อฉบับแปลเพราะมีจัดลดราคา คิดเสร็จสรรพแล้ว ราคาหนังสือฉบับแปลเป็นไทยถูกกว่าราคาหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษเสียอีกค่ะ

ส่วนตัวมีเพื่อนสนิทชาวจีนคนหนึ่งค่ะ เพื่อนคนนี้อ่านหนังสือ Atomic Habits แล้วได้รับแรงบันดาลใจจากการอ่าน นอกจากการนำสิ่งที่ได้อ่านมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว เธอจะคิดที่จะทำแอปพลิเคชั่นมาใช้เป็นการส่วนตัว เพื่อใช้ในการติดตามความคืบหน้าในการเปลี่ยนนิสัยของเธอด้วย ... และพอได้มาอ่านเอง ก็เห็นด้วยกับเพื่อนชาวจีนคนนั้นค่ะว่า นี่เป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างที่ดีจริงๆ 

หนังสือฉบับแปลภาษาไทยถือได้ว่าแปลดีเลยทีเดียวค่ะ เรียบเรียงประโยคได้ดี อ่านลื่นไหลดี ...​คำแนะนำสำหรับคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ในรูปแบบอีบุ๊กคือ ให้ดาวน์โหลดมาอ่านในรูปแบบไฟล์ pdf ค่ะ เพราะในรูปแบบ ePub นั้น มีการจัดหน้าที่งงๆ มาก การจัดหัวข้อย่อยในบทดูงงๆ ทำให้มองความสำคัญของลำดับเรื่องในภาพรวมไม่ออก แถมการเว้นวรรคระหว่างคำก็งงๆ รูปประโยคดูงงไปเลยเมื่อเว้นวรรคผิด ... ดังนั้นอ่านแบบ pdf ดีที่สุดค่ะ

ผู้เขียนบอกว่า การเปลี่ยนนิสัย การสร้างพฤติกรรมที่ดี ที่เราอยากเป็นนั้นประสบความสำเร็จได้ ถ้าเราทำตามกฎ 4 ข้อ คือ

กฎข้อที่ 1. ทำให้เห็นชัดเจน เช่น การทำบันทึกประจำวันเพื่อติดตามนิสัยที่ต้องการจะเปลี่ยน หรือการเขียนให้เป็นรูปธรรมว่าต้องการจะเปลี่ยนนิสัยใด

กฎข้อที่ 2. ทำให้น่าดึงดูดใจ เช่น จับคู่กระทำที่อยากทำหรือที่ชอบทำ กับการกระทำที่จะเปลี่ยนนิสัย เพื่อสร้างสิ่งล่อใจหรือให้รางวัลเล็กๆ 

กฎข้อที่ 3. ทำให้เป็นเรื่องง่าย เช่น การสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับการเปลี่ยนนิสัย การเปลี่ยนนิสัยแต่น้อย แค่วันละ 2 นาที แต่ทำทุกวันๆ จนติดกลายเป็นกิจวัตร เป็นต้น

กฎข้อที่ 4. ทำให้น่าพึงพอใจ เช่น การติดตามผลที่เห็นได้ วัดประเมินได้ มันจะทำให้เรารู้สึกพึงพอใจในความก้าวหน้าของตัวเองค่ะ 

ในทางตรงกันข้าม ผู้เขียนก็ได้บอกถึงกฎการเลิกพฤติกรรม หรือนิสัยที่ไม่ดี ที่เราต้องการเลิกด้วย โดยใช้กฎผกผันของกฎ 4 ข้อที่กล่าวไปแล้ว ได้แก่

กฎผกผันข้อที่ 1. ทำให้มองไม่เห็น เช่น อยากเลิกนิสัยเล่นเฟสบุ๊ก ก็บล็อกไปเลย คือถ้าเราไม่เห็นมัน แล้วเรายุ่งกับเรื่องอื่น เราก็จะลืมมันไป

กฎผกผันข้อที่ 2. ทำให้ไม่น่าดึงดูดใจ ปรับทัศนคติใหม่ เน้นให้เห็นประโยชน์จากการเลิกนิสัยนี้

กฎผกผันข้อที่ 3. ทำให้เป็นเรื่องยาก เช่น ในหนังสือยกตัวอย่างคนที่อยากเลิกนิสัยกัดเล็บเวลาเครียดๆ ก็ทำให้เป็นเรื่องยากโดยการไปทำเล็บให้สวยๆ ดังนั้นเวลาเครียดอยากกัดเล็บอีก มองเห็นเล็บสวยๆ ก็ไม่อยากกัดเล็บอีก สติก็มาเมื่อมองเห็นเล็บที่ทำไว้สวยแล้ว

กฎผกผันข้อที่ 4. ทำให้ไม่น่าพึงพอใจ อันนี้อาจต้องขอให้คนรอบข้างช่วยในการเลิกนิสัยนี้

-

จริงๆ แล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นคำที่กว้างมากค่ะ (ไม่เหมือนการปรับเปลี่ยนเฉพาะเจาะจง เช่น การเลิกบุหรี่ การออกกำลังกาย ฯลฯ) ... พอเขียนเป็นหนังสือเกี่ยวกับการปรับพฤติกรรม มันจึงเต็มไปด้วยการอุปมาอุปมัย การยกตัวอย่างไปมา ในเรื่องที่ไม่ต่อเนื่องกัน ... แต่หนังสือเล่มนี้ทำได้ดีทีเดียว ในแง่ที่ทำให้คนอ่านเห็นด้วย โดยเทียบกับประสบการณ์ที่ผ่านมาในการพยายามเลิกนิสัยบางอย่าง หรือพยายามสร้างนิสัยดีๆ บางอย่าง แต่ล้มเหลวมาก่อน 

นอกจากนี้ หนังสือยังเขียนถึงความพยายามในการรักษานิสัยที่ดีไว้ให้คงอยู่ การรักษาความกระตือรือร้นไว้ตลอดไป เพราะถ้าเราเปลี่ยนนิสัยได้จนถึงจุดหนึ่ง เราจะเริ่มเบื่อ และแสวงหาความท้าทายใหม่ 

และบทที่ดีที่สุดในหนังสือเล่มนี้ คือ ภาคผนวกค่ะ (อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนอ่านแนวคิดเรื่องการบำบัดทุกข์ในทางพุทธศาสนา แต่เขียนในเวอร์ชั่นตะวันตกเลยค่ะ)

Monday, October 17, 2022

The Dinner Guest

 


หนังสือชื่อ  :  The Dinner Guest

ผู้แต่ง  :  B P Walter

สำนักพิมพ์  :  HarperCollins Publishers


เล่มนี้สนุกค่ะ เรียกว่าอ่านเสียงานเสียการกันไปเลย ... ดำเนินเรื่องรวดเร็ว แต่ละบทมีแต่ความสงสัยๆ จนต้องอ่านบทต่อไป เรียกว่าผู้เขียนมีความสามารถในการเล่าเรื่องจนทำให้คนอ่านวางเล่มไม่ลง ต้องอ่านบทต่อบทไปเรื่อยๆ

เรื่องเริ่มจาก Metthew ถูกแทงตายระหว่างการรับประทานอาหารค่ำภายในครอบครัว ซึ่งประกอบไปด้วย Titus - ลูกชายบุญธรรม Charlie - คู่สมรสของ Matthew (เป็นครอบครัวเกย์ค่ะ ชายรักชาย) และ Rachel - ที่เป็นแขกเพียงคนเดียวในมื้อนั้น

หลัง Metthew ถูกแทง Rachel คือคนที่โทรไปแจ้งตำรวจ และสารภาพในที่เกิดเหตุว่าเธอเป็นคนแทง Metthew เอง ... ซึ่งทิ้งปริศนาเป็นคำถามแก่ทั้งสองคนในเหตุการณ์ที่เหลือมากว่า "ทำไม?"

หนังสือบอกชัดตั้งแต่บทแรกๆ เลยค่ะ ว่า Rachel ไม่ได้ทำ แต่สิ่งที่เราไม่เข้าใจคือ แล้วถ้างั้นเธอสารภาพกับตำรวจว่าเป็นคำทำทำไม? แล้วใครเป็นคนสังหาร Metthew ตัวจริง?

จากนั้นหนังสือก็เล่าในแต่ละช่วงเวลาย้อนไปในอดีต โดยแบ่งเป็นบทภาคความคิดของ Rachel และของ Charlie สลับกันไปกัน ... อดีตเริ่มตั้งแต่ที่ Rachel พยายามเข้ามามีบทบาทในครอบครัวของ Charlie

ในภาคของ Rachel เราจะรู้สึกว่า เธอมีความหลังที่เจ็บปวด การสูญเสียคนสำคัญในครอบครัว ที่เกิดขึ้นจากคนใดคนหนึ่งในครอบครัวของ Charlie 

ในภาคของ Charlie เราจะเห็น Charlie เองไม่ค่อยชอบ Rachel นัก และสงสัย หรือสังหรณ์อะไรบางอย่างว่า Rachel พยายามเข้ามาตีสนิทในครอบครัวของพวกเขา ... แต่พอ Charlie เอาเรื่องนี้ไปเล่าคนอื่นในครอบครัว กลับไม่มีใครเชื่อค่ะ ทุกคนชอบ Rachel

Charlie มาจากครอบครัวร่ำรวย รายล้อมไปด้วยคนฐานะดีๆ ในขณะที่ Rachel คือคนอังกฤษชั้นกลาง (ถึงล่าง) ธรรมดาๆ คนหนึ่งค่ะ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ Charlie จะสังหรณ์แปลกๆ กับการพยายามตีสนิทของ Rachel แต่ที่แปลกคือ ทำไมไม่มีใครคิดแบบเดียวกับ Charlie?

หนังสือเล่าฉากอดีต สลับกับฉากหลังวันเกิดเหตุฆาตกรรม Metthew ค่ะ ... โดยพ่อแม่ของ Charlie พยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยลูกและหลานให้พ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย ซึ่งก็ไม่น่าจะลำบากอะไร เพราะ Rachel สารภาพแล้วว่าเธอเป็นคนทำ ...​และหนังสือก็เริ่มเฉลยอย่างช้าๆ ว่าใครกันแน่คือฆาตกรตัวจริง และแรงจูงใจของการสังหารคืออะไร

สนุกค่ะ ...แต่ไม่ค่อยชอบตอนจบเท่าไร เพราะจากเดิมเป็นเรื่องฆาตกรรม แต่ตอนจบออกแนวกลายเป็นเรื่องแบล็คเมล์ไป ... หนังสือเล่มนี้จบแบบปลายเปิดนะคะ ให้เราคิดต่อเองค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต


Friday, October 14, 2022

The Ninth Grave

 


หนังสือชื่อ  :  The Ninth Grave

ผู้แต่ง  :  Stefan Arnhem

ผู้แปล  : Paul Norlen

สำนักพิมพ์  :  Head of Zeus Ltd


สนุกค่ะ  ผู้แต่งผูกปมเรื่องต่างๆ ได้ดี หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังสือ ในแต่ละฉาก เหมือนจะไม่เกี่ยวเนื่องอะไรกันเลย ทำให้คนอ่านอย่างเราสงสัยว่ามันจะมาเชื่อมโยงกันตอนไหน กว่าจะเฉลย ก็อ่านเรื่อยๆ จนจะจบเล่มแล้วค่ะ ...เดาคนร้ายผิดด้วยนะคะ คนร้ายเป็นคนที่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนร้ายค่ะ ...

แต่ถึงหนังสือเล่มนี้จะสนุก แต่สนุกไม่สุดค่ะ ... มีหลายอย่างคาใจ คือในหน้าปกยกยอว่าดีกว่าหนังสือของ Jo Nesbo ... แต่ส่วนตัวคิดว่า Jo Nesbo สนุกกว่าค่ะ

เรื่องเร่ิมด้วยจดหมายในอดีตเมื่อสิบปีที่แล้วฉบับหนึ่ง จดหมายนี้เขียนโดยนักโทษคนหนึ่ง และแอบส่งโดยจ่าหน้าซองแค่ชื่อผู้รับแต่ไม่มีที่อยู่ หวังเพียงพระเจ้าจะช่วยบันดาลให้จดหมายนี้ถึงมือผู้รับ ...​แต่ปาฏิหาริย์ก็มีจริง หลายปีต่อมา มีคนมาพบ และส่งจดหมายนี้ต่อไปยังผู้รับที่จ่าหน้า โดยเป็นที่อยู่ที่ประเทศสวีเดน

...​แล้วในหนังสือ ก็ทิ้งเรื่องจดหมายนี้ไปเลยค่ะ หายไปเลยยยย จนเราคนอ่านงง ว่ามันจะมาเกี่ยวกับเรื่องที่เหลืออย่างไร แบบเกริ่นมา แล้วก็ทิ้ง ไม่เขียนถึงอีกเลย 

มาส่วน Part ที่สอง เป็นเรื่องในเดือนธันวาคมปี 2009 ตำรวจของสวีเดนกำลังปวดหัวกับคดีการหายตัวไปอย่างลึกลับ 2 คดี คดีหนึ่งเป็นการหายตัวไปของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หายตัวไปจากอาคารรัฐสภาเลยค่ะ เข้าไปทำงาน แล้วไม่ออกมา ทั้งที่ภายในอาคารนั้นมีกล้องวงจรปิดแน่นหนา ...กับอีกคดีคือการหายตัวไปของหนุ่มเพลย์บอย ลูกชายของอดีตท่านทูตอิสราเอลประจำสวีเดน

คดีการหายตัวไปของรัฐมนตรียุติธรรมนั้น ยังไม่พบศพ ดังนั้นตำรวจจึงอยากให้สอบสวนในทางลับ ... ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับหน้าที่นี้คือ Fabian Risk ตัวเอกของเรื่องนี้นี่เอง ทำงานร่วมกับคู่หู Malin Rehnberg ซึ่ง Malin นั้นกำลังตั้งครรภ์เจ็ดเดือนอยู่ค่ะ (ในเล่ม นางจะขี้หงุดหงิดหน่อยๆ)

ในขณะเดียวกันนั้น ที่เดนมาร์ก ก็เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญขึ้นเช่นกัน ผู้ตายเป็นภรรยาของพิธีกรรายการทีวีชื่อดัง โดนสังหารโหดในบ้านพัก และสามีที่เป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งก็หายตัวไป ...เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับหน้าที่ทำการสืบสวนเรื่องนี้คือ Dunja Hougaard เป็นตำรวจหน้าใหม่ ประสบการณ์น้อย สวยด้วย เจ้านายหวังเคลม เลยมอบหมายงานใหญ่ให้ทำ ด้วยเสน่หาเป็นพิเศษ

คดีฆาตกรรมในสองประเทศนี้ ตำรวจแต่ละประเทศก็ต่างฝ่ายก็สืบสวนกันไป ไม่มีเกี่ยวข้องกันเลยค่ะ ตำรวจทั้งสองประเทศไม่ได้ประสานข้อมูลอะไรกัน คนอ่านเองก็มองไม่เห็นความเชื่อมโยงอะไรกันด้วย นอกจากเห็นความเหมือนกันที่ว่า อวัยวะบางอย่างหายไปจากร่างกายของเหยื่อ

...

คือมันสนุกตรงที่ ถ้าให้เล่าก็จะเป็นการสปอยด์เรื่อง เพราะเรื่องจะค่อยๆ เปิดเผยความจริงขึ้นมาทีละนิดๆ ... ตอนแรกที่อ่านลุ้นให้ตำรวจจับฆาตกรให้ได้ ... แต่พออ่านไปๆ กลับเห็นใจ และอยากให้ฆาตกรทำภารกิจสังหารให้ครบตามแผนก่อนที่จะโดนจับ  

.

นอกจากคดีฆาตกรรมที่ลุ้นว่าใครคือฆาตกรตัวจริงแล้ว หนังสือยังมีดราม่าชีวิตส่วนตัวของตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีด้วยค่ะ ...​ อย่างชีวิตคู่ของ Fabian Risk ก็กำลังง่อนแง่น ใกล้จะเลิกกันเต็มที เหลือแค่ใครสักคนออกปากเลิกเท่านั้นเอง ... คืออ่านแล้วคนอ่านอย่างเรารู้สึกว่า จริงๆ เขาก็รักกันอยู่นะ คือถ้าเขาไม่มีลูก เขาคงยังอยู่ด้วยกันได้ แต่เพราะมีลูก และลูกกลายเป็นอุปสรรคในการทำงาน และพวกเขาเลือกงานมากกว่าลูก ดังนั้นลูกที่อยู่ตรงกลางของทั้งคู่ จึงกลายเป็นสิ่งกีดขวางความสัมพันธ์ไป 

ชีวิตของ Malin ก็เหมือนกัน คือนางกำลังตั้งครรภ์อยู่นะ แต่ทำอะไรไม่ระวังเลย และไม่ได้คิดถึงลูกในท้องด้วยซ้ำ

.

ในหนังสือมีบางตอนที่รู้สึกขัดใจ เพราะมันดูไม่สมจริงค่ะ เช่น

1. ตอนที่ Dunja ไปตามหาฆาตกร แล้วก็เจอฆาตการกำลังหั่นศพ Dunja เป็นลม แต่ฆาตกรไว้ชีวิต (ด้วยจุดหมายบางอย่าง) พร้อมปล่อยทิ้ง Dunja ไว้กับศพ ... แทนที่ Dunja ฟื้นขึ้นมา จะรีบหาคนมาช่วยโทรเรียกตำรวจ แจ้งความ ...​นางกลับเดินทางกลับบ้าน ทั้งๆ ที่ตัวเปื้อนเลือดของเหยื่อเต็มไปหมด แถมถึงบ้านก็อาบน้ำชำระร่างกาย??? ได้ด้วยเหรอ!!! คือเธอเป็นตำรวจนะ มันไม่ใช่กระบวนการปกติที่คนเป็นตำรวจ หรือคนปกติควรทำ 

2. ฆาตกรฉลาดมาก อันนั้นโอเค แต่เอาเวลาที่ไหนมาฆาตกรรมไล่ๆ กันสองประเทศ แถมตัวฆาตกรเองก็มีงานประจำทำ??? มันควรจะมีคนช่วยป่ะ??? -- เช่น ตอนพา Malin ไปทิ้งไว้ที่สถานทูต คือผู้หญิงท้องไม่ใช่ตัวเล็กๆ นะ 

.

นั่นแหละค่ะที่ขัดใจ ทำให้สะดุด และกลายเป็นหนังสืออ่านสนุก แต่สนุกไม่สุด ... ส่วนตอนที่ตัวเองของเรื่องทั้งหลายเป็นถึงตำรวจ แต่พอเจอสถานการณ์ฉุกเฉินจริงๆ กลับทำอะไรไม่ถูก ขาตาย ช็อค ... อันนี้ก็เข้าใจได้ค่ะ ชีวิตจริงเราก็อาจเกิดอย่างนี้ขึ้นได้ 



Monday, September 5, 2022

The Vow

 


หนังสือชื่อ  :  The Vow

ผู้แต่ง  ;  Debbie Howells

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


สนุกมากค่ะ เล่มนี้อ่านเสียงานเสียการกันเลยทีเดียว อ่านไปต่อมอยากรู้ (เรื่องชาวบ้าน) พุ่งปรี๊ดดดด จนหยุดอ่านไม่ได้ ต้องการข้ามวันข้ามคืนจนจบค่ะ

อีกสองสัปดาห์ก็จะถึงวันแต่งงานของ Amy แล้วค่ะ แต่จู่ๆ ว่าที่สามีของเธอก็มาหายตัวไป!

ที่พีกกว่านั้นคือ อีกไม่กี่วันต่อมา ตำรวจก็ว่าบอกว่า มีผู้หญิงอีกคนแจ้งความคนหายเช่นกัน ซึ่งคนที่หายไปเป็นคนเดียวกับว่าที่สามีของ Amy นั่นเอง!  แถมผู้หญิงคนนี้ยังบอกตำรวจอีกด้วยว่า Matt (ว่าที่สามีของ Amy ) กำลังจะทิ้ง Amy เพื่อมาอยู่กับเธอ!

จากความอยากรู้ว่า Matt หายไปไหน หนังสือก็เริ่มเปิดเผยขึ้นเรื่อยๆ ถึงด้านมืดของความสัมพันธ์ระหว่าง Amy กับ Matt ที่ตัว Amy พยายามแสดงและบอกให้โลกรู้ว่า เธอกับ Matt รักกันดี กำลังจะแต่งงานกัน และทุกอย่างหวานชื่น ... แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงเหรอ?

หนังสือเขียนในมุมมองของ Amy ค่ะ และคั่นด้วยมุมมองของ Jess ลูกสาวของ Amy เป็นระยะ จึงทำให้เราเห็นภาพบุคลิกของ Amy ชัดเจนขึ้น ... Amy ก็เหมือนผู้หญิงหลายๆ คนเลยล่ะค่ะ ที่พอรักแล้ว เลือกแล้วว่า "รัก" คนนี้ ก็ตาบอด พยายามประคับประคองชีวิตคู่ .. อาจจะเป็นเพราะ Amy เคยมีชีวิตรักที่ล้มเหลวมาก่อน ตอนครองคู่กับพ่อของ Amy หย่ากันไม่ค่อยดี และพ่อของ Amy ก็ไม่ใช่พ่อตัวอย่าง ไม่ค่อยสนใจลูกเลย ... ดังนั้นพอ Amy มีรักอีกครั้ง เธอจึงไม่อยากจะให้พลาดเหมือนครั้งแรกค่ะ ดังนั้นอะไรที่เธอทนได้เธอก็ทน ประนีประนอม และยอม Matt ทุกอย่าง

ในมุมมองของ Jess (ลูกสาว Amy) มองว่า Matt เข้าหา Amy ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ที่เธอเองก็ไม่รู้แน่ชัดนัก แต่เห็นได้ว่า Amy ค่อยๆ เปลี่ยนไปตั้งแต่ Matt ย้ายเข้ามาอยู่กับเธอ (Jess ย้ายออกไปเรียนมหาวิทยาลัย ก่อนหน้าที่ Matt จะย้ายเข้ามาไม่นานนัก) -- ดูเหมือน Amy จะถูกครอบงำโดย Matt , Amy พยายามทำทุกอย่างตามที่ Matt ชักจูง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน หรือรูปแบบการจัดงานแต่งงาน เหลือแค่อย่างเดียวคือ Amy ไม่ยอมขายบ้านตามที่ Matt ต้องการ ซึ่งเรื่องนี้ Matt โมโหมาก และเล่นสงครามจิตวิทยากับ Amy เสมอ ... แต่ยังไงซะ Amy ก็ไม่ขายค่ะ

Amy มีบุคลิกอ่อนแอ มีอารมณ์เอาแน่เอานอนไม่ได้ แถมโดนครอบงำโดย Matt มานาน ... ในขณะที่นังเมียน้อย พูดจาน่าเชื่อถือกว่า เป็นถึงทนายความ (Amy ไม่รู้จักนังเมียน้อยค่ะ ไม่ระแคะระคายเลยว่า Matt นอกใจ แต่นังเมียน้อยรู้จัก Amy ดี เพราะ Matt เอาเรื่องของ Amy มาปรึกษาเป็นประจำ อารมณ์ว่า Amy มีอารมณ์แปรปรวน เขาอยากขอเลิก แต่เลิกไม่ได้ เพราะรู้สึกถึงความรับผิดชอบ อะไรพระเอกๆ ทำนองนั้นล่ะค่ะ) ... ดังนั้นเนี่ย พอ Matt หายไป นังเมียน้อยก็เลยแจ้งความ และโน้มน้าวให้ตำรวจเชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่ Amy นั่นแหละ จะทำร้าย Matt หรือเป็นต้นเหตุที่ทำให้ Matt หายตัวไป ด้วยความโกรธแค้นรับไม่ได้ที่รู้ว่า Matt นอกใจ ขอเลิก

ความสนุกของมันคือการลุ้นว่า Matt หายไปไหน และใครกันแน่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เราคนอ่านรู้สึกว่า ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การเข้ามาจีบ Amy ของ Matt ก็น่าจะเป็นการวางแผนไว้ก่อน แต่แรงจูงใจคืออะไร ... อันนี้คือชิ้นส่วนที่ยังขาดหายไปค่ะ

หนังสือคั่นด้วยบทของเหตุการณ์ที่เกิดในปี 1996 เป็นระยะๆ ... ทำให้คนอ่านสงสัยว่า มันเกี่ยวอะไรด้วยหว่า? ... จนตอนท้ายเรื่องทุกปมก็มาบรรจบกัน และเฉลยอย่างพีกค่ะ 

เป็นนิยายที่สนุกค่ะ สำนวนดี ภาษาไม่ยาก แต่บรรยายสิ่งต่างๆ อย่างลื่นไหล ดำเนินเรื่องในความเร็วกำลังดี ตอนจบอาจจะไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าที่คาดหวัง แต่ก็ถือว่าเป็นหนังสือที่สนุก เหมาะกับการอ่านยามว่างเล่มหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ

Sunday, August 21, 2022

The Next Person You Meet in Heaven

 


หนังสือชื่อ  :  The next person you meet in heaven

ผู้แต่ง  :  Mitch Albom

สำนักพิมพ์  :  Sphere


เนื้อเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตายค่ะ ช่วงเวลาที่กายเราไม่รู้สึกตัว นอนอยู่ในโรงพยาบาลนั้น จิตเรากลับล่องลอยไป ... และช่วงเวลานั้นนั่นแหละ ที่เราไป "สวรรค์" และพบคน 5 คนที่มีอิทธิพลกับชีวิตของเรา

หนังสือเป็นเรื่องของ Annie เธอเป็นพยาบาล เพิ่งแต่งงานได้แค่วันเดียวเอง และช่วงฮันนีมูน เธอกับสามีตัดสินใจขึ้นบอลลูนค่ะ ... โชคร้าย สภาพอากาศไม่ดี บอลลูนไปเกี่ยวสายไฟ และตกลง ... ผลคือ Annie ปลอดภัย แต่สามีของเธออาการโคม่า และต้องเปลี่ยนปอด ... Annie ไม่ลังเลเลยค่ะ ที่จะบริจาคปอดของเธอให้แก่สามี

และช่วงเวลาของการผ่าตัดนั่นเอง ที่จิตของ Annie ล่องลอยไปยังที่ที่เรียกว่า "สวรรค์" และได้พบกับคนที่มีบทบาทกับชีวิตของเธอห้าคนด้วยกัน

บางคนที่ Annie เจอนั้น เธอไม่ได้รู้จักเขาเลยค่ะ เช่น คุณหมอที่ผ่าตัดต่อมือให้แก่ Annie ตอนเธอประสบอุบัติเหตุตอนเด็ก หรือชายที่ช่วยชีวิตเธอไว้โดยสละชีวิตของตนเองขณะประสบอุบัติเหตุ

ในสวรรค์ จิตสำนึกของ Annie ได้ทบทวนเรื่องราวในชีวิตที่เกิดขึ้นกับเธอ ตั้งแต่เด็กๆ พ่อกับแม่ทะเลาะกัน ฟางเส้นสุดท้ายคือพ่อทำร้าย Annie ทำให้แม่โกรธมาก และไล่พ่อออกไปจากชีวิตของพวกเขา ... แต่หลังจากนั้น แม่ก็มีแฟนใหม่มากมายหลายคน  

ตอน Annie อายุ 8 ขวบ เธอไปสวนสนุกกับแม่ และแม่ทิ้งให้เธอเล่นตามลำพัง ส่วนตัวแม่ไปไหนสักแห่งสองต่อสองกับแฟนใหม่ ... และวันนั้น Annie ก็เจออุบัติเหตุ เครื่องเล่นตกใส่ ...  Eddie คือชายที่ช่วยชีวิตเธอ Eddie เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วน Annie ก็มือซ้ายขาด ... แต่โชคดีที่หมอสามารถต่อกลับมาให้ได้ โดยเธอไม่ต้องพิการ แต่ Annie ก็ต้องฝึกการบังคับมือใหม่อยู่นานเลยค่ะ

หลังจากเหตุการณ์นั้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงทั้งตัว Annie และแม่ค่ะ ... Annie จำเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย เหมือนสมองของเธอสั่งปิดความทรงจำ (มารู้ภายหลังว่า เป็นเพราะเธอกลัวที่จะรู้ว่า การมีชีวิตของเธอ ทำให้อีกชีวิตต้องตายไป) ... ส่วนแม่ ก็กลายเป็นแม่ที่ปกป้องเกินเหตุ Annie ต้องอยู่ในสายตาของแม่ตลอด ทำให้เธอไม่มีเพื่อน และเป็นตัวประหลาด (บวกด้วยมือประหลาด) ในสายตาเพื่อนร่วมชั้น ทำให้ชีวิตช่วงวัยรุ่น Annie กับแม่ทะเลาะกันบ่อย เพราะ Annie รำคาญความปกป้องจนเกินเหตุของแม่ 

.

ตอนที่อยู่ในสวรรค์ Annie ได้รู้ว่า ทำไมแม่จึงกลายเป็นแม่ที่เข้มงวด อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้แม่โทษตัวเองว่าแทนที่จะอยู่ดูแลลูก กับไปอยู่กับผู้ชาย ... ดังนั้นเมื่อมีโอกาสครั้งที่สอง แม่จึงพยายามให้ Annie อยู่ในสายตาตลอดเวลา

.

ตัว Annie เองก็รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาด (เราทุกคนก็เป็นเนอะ ความรู้สึกว่า ตัวเองเดินทางชีวิตพลาดไป และทำหลายสิ่งหลายอย่างที่รู้สึกเสียใจที่หลัง หรือการ "ไม่ทำ" บางอย่าง และก็มาเสียใจภายหลังที่ไม่ได้ทำ) ...​ในสวรรค์ Annie ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตของทุกคนมีความเกี่ยวพันกันกับอีกคน 

.

ชีวิตของคนก็เหมือนวงล้อ ที่โคจรมาสัมผัสกันและกันในบางขณะ ในบางชั่วเวลา แล้วก็แยกจากกันในที่สุด สิ่งสำคัญคือการทำให้ช่วงเวลาที่วงล้อของชีวิตมาแตะกันนั้น ให้เป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย

.

ในสวรรค์สอนให้ Annie เรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง ไม่มีอะไรที่เรียกว่า "ความผิดพลาด" ... เหตุการณ์ในชีวิตพลิกผันเพียงแค่เสี้ยวสายลมพัดผ่าน การตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใด อาจเปลี่ยนแปลงเส้นทางของชีวิตไปได้ตลอดกาล ...

.

เป็นหนังสือที่ให้แง่คิด และใช้ภาษาที่อ่านง่ายค่ะ 

Wednesday, August 10, 2022

The Hunting Party

 


หนังสือชื่อ  :  The Hunting Party

ผู้เขียน  :  Lucy Foley

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


สนุกค่ะ สำนวนการเล่าเรื่องดีมาก ทำให้ต้องอ่านไปเรื่อยๆ หยุดไม่ได้ จนกว่าจะจบเล่ม เรียกว่าอ่านเสียงานเสียการกันเลยทีเดียวค่ะ

เป็นนิยายฆาตกรรมค่ะ พล็อตเรื่องคือ กลุ่มเพื่อนสนิท อันประกอบด้วย

 Mark และ Emma

Julien และ Miranda

Nick  และ Bo

Giles และ Samira กับลูกสาววัยหกเดือน ชื่อ Priya

และ Katie

ทั้งหมดนี้จัดทริปฉลองวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในปี 2018-2019 กันที่กระท่อมล่าสัตว์ห่างไกลแห่งหนึ่งในสก็อตแลนด์ค่ะ

ในกลุ่มนี้ ยกเว้น Emma กับ Bo ที่เหลือเป็นเพื่อนเก่าแก่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ออกฟอร์ดค่ะ คือเป็นประเพณีกันในกลุ่มที่ทั้งหมดจะมารวมตัวจัดทริปฉลองปีใหม่ด้วยกันในสถานที่ต่างๆ

เพื่อนๆ กลุ่มนี้ ภายนอกที่ดูเหมือนรักกัน ... แต่มันมีความแปลกๆ อยู่ค่ะ มันดูฉาบฉวย มันดูพยายามเกินไป

.

กระท่อมล่าสัตว์ (จริงๆ เป็นเหมือนปราสาทเลยล่ะค่ะ หรูอยู่) นี้ อยู่ไกลปืนเที่ยง เจ้าของเป็นคนอังกฤษอยู่ลอนดอน ที่กระท่อม มีผู้ดูแล 2 คน คือ Heather เป็นเหมือนผู้จัดการน่ะค่ะ กับอีกคนคือ Doug ทำหน้าที่เหมือนดูแลความปลอดภัยของสถานที่ ... นอกเหนือจากสองคนนี้แล้ว ก็ยังมีแขกเป็นคู่รักชาวไอซ์แลนด์อีกสองคนค่ะ แต่สองคนนี้พักในบังกะโล แยกห่างออกไปต่างหากจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 

หนังสือเล่าอย่างมีชั้นเชิงมากค่ะ เล่าบทสลับระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบัน กับเหตุการณ์เมื่อสามวันที่แล้ว 

เหตุการณ์ปัจจุบันคือเจอศพของแขกที่หายไป และเห็นได้ชัดจากไกลๆ ว่า ศพนั้นไม่ได้ตายจากอุบัติเหตุ ... แต่หนังสือไม่ยอมเฉลยให้คนอ่านรู้ว่า ใครกลายเป็นศพ? และใครคือฆาตกร? ... มีความเป็นไปได้สูงที่ฆาตกรจะคือหนึ่งในแขก เพราะช่วงที่เกิดเหตุนั้น หิมะตกหนัก คนนอกไม่สามารถเข้ามายังพื้นที่ได้ 

หนังสือตัดกลับไปเหตุการณ์เมื่อสามวันที่แล้ว และแบ่งบทตามความคิดของตัวละครแต่ละคน ทำให้เรารู้ว่าใครคิดยังไง และใครนิสัยเป็นอย่างไร และเราก็เริ่มเห็นรอยร้าวในความสัมพันธ์ของเพื่อนกลุ่มนี้ค่ะ รวมถึงรอยร้าวในชีวิตคู่ด้วย

ในกลุ่มนี้ Miranda เป็นผู้หญิงสวย มีเสน่ห์ เป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของทุกคน ... ด้านมืดคือ เธอก็รู้ตัวดีถึงเสน่ห์ของเธอค่ะ เธอเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง บูลลี่คนอื่น เห็นใครดีกว่าไม่ได้ (ทั้งหมดทำโดยไม่เจตนา คือเป็นนิสัยของเธอน่ะค่ะ จนเราอ่านแล้วเราก็เกลียดเธอไม่ลง) ความมีเสน่ห์ ความช่างบงการของเธอเป็นแรงดึงดูดร้อยให้เพื่อนๆ ทั้งหมดอยู่ด้วยกันค่ะ

Katie ดูเหมือนช่วงนี้ เธอมีความลับบางอย่างอยู่ในใจค่ะ Katie มีนิสัยตรงกันข้ามกับ Miranda ... ในขณะที่ Miranda เป็น party girl นั้น Katie กับเงียบมาก เหมือนเป็นเงาของ Miranda ... Miranda เลือกที่จะคบกับ Katie นะคะ เข้าใจว่า ด้วยนิสัยขี้อิจฉาของเธอ เธอจึงสบายใจที่จะคบกับคนที่ดูด้อยกว่าเธอในทุกด้าน

Emma พยายามจะใช้ทริปนี้เป็นการพิสูจน์ตัวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มค่ะ ถึงแม้เธอจะคบกับ Mark มาสามปีแล้วก็ตาม แต่เธอยังรู้สึกว่า ในกลุ่มเพื่อน เธอยังเป็นคนนอกอยู่ดี

นอกจากนี้ ยังดูเหมือน คนดูแลกระท่อมอย่าง Heather และ Doug ก็มีเบื้องหลังบางอย่าง ที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจเลือกมาทำงานในสถานที่ที่ห่างไกลจากผู้คนเช่นนี้

.


Friday, August 5, 2022

Eleanor Oliphant is Completely Fine

 


หนังสือชื่อ  :  Eleanor Oliphant is Completely Fine

ผู้เขียน  :  Gail Honeyman

สำนักพิมพ์  :  HaperCollinsPublishers


แนะนำเลยค่ะ เล่มนี้ดีมาก ประทับใจ อ่านแล้วรู้สึกดี

เป็นเรื่องของ Eleanor Oliphant ค่ะ ชื่อของตัวเอกในเรื่อง หนังสือเขียนโดยบรรยายความรู้สึกนึกคิดของ Eleanor เลยค่ะ สิ่งที่เธอคิด สิ่งที่เธอพูด ... หนังสือดำเนินเรื่องไปอย่างช้าๆ แต่มีเสน่ห์ ทำให้เรารู้สึกว่า Eleanor ดูเหมือนเป็นผู้หญิงธรรมดาเหมือนเราๆ แต่อย่างช้าๆ เราจะเริ่มหลงรักเธอค่ะ

Eleanor อายุ 30 ปี ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินในบริษัทกราฟฟิคดีไซน์แห่งหนึ่งในลอนดอน เธอได้งานนี้ตั้งแต่เรียนจบเลยค่ะ และไม่เคยย้ายงานอีกเลย ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่าง routine มาก คือเดิมๆ ทุกวัน ... เธอเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ไม่ดีนัก นั่งกินกลางวันคนเดียว เล่นเกมคำไขว้ตอนเที่ยงคนเดียว โทรคุยกับแม่เวลาเดิมทุกวันพุธ และตอนวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ดื่มวอดก้าคนเดียว เมาหลับไปจนถึงเช้าวันจันทร์ แล้วก็ตื่นมาทำงานอีกครั้ง เป็นอย่างนี้วนเรื่อยไป ไม่เคยไปเที่ยวไหน สังสรรค์ที่ไหน หรือมีเพื่อนมาเยี่ยมบ้าน .

อ่านบทแรกๆ คิดว่า Eleanor เป็นออทิสติก มีปัญหาเรื่องทักษะในการเข้าสังคมด้วยซ้ำไปค่ะ

จุดเปลี่ยนของชีวิตอยู่ที่ Eleanor ไปปิ๊งนักดนตรีคนหนึ่งค่ะ (ซึ่ง Eleanor ได้ตั๋วมาจากการจับรางวัล) นักดนตรีคนนี้เป็นสาเหตุในเธอพยายามปรับปรุงตัวเอง เริ่มจากการแต่งกาย ทำผมใหม่ แต่งหน้า ฯลฯ ... ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการพบกับนักดนตรีคนนั้นค่ะ ...​คือขำมาก เหมือนเด็กสาววัยรุ่นเตรียมตัวพร้อมเพื่อพบกับไอดอลคนพิเศษ ทั้งที่ไอดอลคนนั้นแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Eleanor มีตัวตนอยู่ในโลกนี้หรือไม่

ในช่วงเวลาเดียวกัน ที่ทำงานก็มีพนักงานไอทีคนใหม่ คือ Raymond ทั้งคู่เริ่มพัฒนามิตรภาพร่วมกัน ผ่านการบังเอิญช่วยนำคนแก่คือ Sammy ส่งโรงพยาบาล เหตุการณ์นี้เลยรอยให้ทั้งสามคนได้เจอะเจอกัน รวมถึงได้รู้จักกับครอบครัวของ Sammy ด้วย

ระหว่างนี้ เราก็จะเริ่มรู้จัก Eleanor มากขึ้น และเริ่มขำไปกับความคิดของเธอ ปนด้วยความรู้สึกเศร้า ...  เธอไม่รู้จักการเข้าสังคม หรือการให้ของขวัญ ...​ก็เพราะเธอไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้เลย ไม่มีใครเชิญเธอไปงานเลี้ยง เธอก็เลยทำตัวไม่ถูกว่าจะต้องทำอย่างไร 

... เราจะรู้จักการให้ได้อย่างไร ถ้าเราไม่เคยได้รับเลย ... Eleanor ในเรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้นแหละค่ะ ด้วยความที่เธอเองไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกของการมีเพื่อน การเป็นที่ยอมรับในสังคม ความห่วงใย ฯลฯ เธอเลยไม่รู้ว่าเธอขาด ดังนั้นจึงรู้สึกว่า เธอโอเคแล้ว มีงานทำ มีเงินเดือน มีบ้านพัก มีทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตแล้ว ดังนั้น Everything is completely fine. ค่ะ

ในระหว่างที่อ่านไปนั้น ชีวิตของ Eleanor ก็เป็นปริศนาที่คนอ่านอย่างเราสงสัย เช่น แม่ของ Eleanor อยู่ที่ไหน? ทำไมวันคริสต์มาส Eleanor บอกว่าเธอเมาวอดก้าอยู่คนเดียวในห้อง แม่ของ Eleanor มีนิสัยช่างบงการ และกดให้ Eleanor รู้สึกไร้ค่าตลอดเวลาค่ะ ... เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตในวัยเด็กของ Eleanor ? ทำไมเธอจึงมีแผลไฟไหม้ร้ายแรงที่มือและหน้า? ทำไม Eleanor ต้องอยู่ในสถานสงเคราะห์ตั้งแต่เด็กจนโต? .... ทั้งหมดนี้คนอ่านสงสัย แต่ Eleanor ไม่สงสัยตัวเองค่ะ เธอไร้เดียงสา เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น 

 คนอ่านจึงอ่านไป และเริ่มรักเธอ พร้อมกับเริ่มเป็นห่วงเธอ เพราะการปิ๊งนักดนตรี และพยายามปรับปรุงตัวเองเพื่อให้คู่ควรกับเขานั้น เป็นการพยายามอยู่ฝ่ายเดียว ภายใต้มายาว่านักดนตรีนั้นคือเนื้อคู่ของตัว ... แต่ความจริงคือ นักดนตรีคนนั้น ไม่แม้แต่จะรู้จักเธอด้วยซำ้ไปค่ะ ... เราเลยเป็นห่วงเธอว่า ถ้าความจริงเปิดเผย ถ้าวันนั้นเธอรู้ตัวขึ้นมา จิตใจที่บอบบางของ Eleanor จะแตกสลายแค่ไหน...

....

สปอยด์ ว่าจบดีค่ะ Eleanor อาจจะใจสลาย แต่เธอลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง ภายใต้ความช่วยเหลือของนักจิตบำบัด และเพื่อนดีๆ อย่าง Raymond รวมถึงความลับในอดีตของเธอก็เฉลยค่ะ ... Eleanor เป็นผู้หญิงที่ผ่านอะไรๆ ที่น่าเศร้ามามากเลยเกิน แต่เธอก็รอดชีวิต และเข้มแข็ง ... เธอทำได้ดีเลยล่ะค่ะ 

Sunday, July 10, 2022

Who are you?

 


หนังสือชื่อ  :  Who are you?

ผู้แต่ง  :  Barbara Taylor Bradford

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


ยืมเล่มนี้มาอ่านเพราะเห็นคำโปรยน่าสนใจค่ะ พล็อตเรื่องดูน่าสนใจ และเล่มไม่หนามาก น่าจะอ่านไม่นานก็จบ ...​แต่พอมาอ่านจริง กลายเป็นว่า หนังสือน่าเบื่อค่ะ ผู้เขียนขาดเสน่ห์ในการเล่าเรื่อง ทำให้เรื่องที่พล็อตน่าสนใจ กลายเป็นเรื่องคาดเดาได้ น่าเบื่อไปเลย

อย่าเรียกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือตื่นเต้นแนวทริลเลอร์เลยค่ะ เรียกว่าเป็นหนังสือรักโรแมนติกดีกว่า ... นางเอกของเรื่องคือ Margo หนังสือบรรยายว่า สวย รวย ฉลาด และไม่มีญาติพี่น้อง ญาติคนเดียวที่มีคือพ่อ เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนพระเอกชื่อ Jack ทั้งคู่แต่งงานมาได้หนึ่งปีแล้วค่ะ และกำลังจะไปฉลองครบรอบการแต่งงานที่เม็กซิโก ... แต่จู่ๆ Jack ก็ไม่มาขึ้นเครื่องตามนัด อารมณ์ไล่ให้นางเอกไปขึ้นเครื่องก่อน และตัวเองขอไปซื้อของ แล้วก็หายไปเลยค่ะ 

จู่ๆ สามีหาย นางเอกก็ร้อนอกร้อนใจ ...​และเมื่อเธอรีบกลับมาบ้าน ก็พบว่า เงินในบัญชีหายเกลี้ยง! โดนสามีตัวดีโอนย้ายเงินออกไปหมด 

รูปการณ์เหมือนพระเอกเป็นพวกโรแมนติกสแกมเมอร์ค่ะ ยิ่งหนังสือเล่าย้อนอดีตถึงตอนที่นางเอกพระเอกเจอกัน เราก็จะเห็นว่าอดีตของพระเอกลึกลับ เขาไม่เคยเล่าให้นางเอกฟังเลยว่าเป็นใครมาจากไหน นางเอกไม่เคยเจอครอบครัวของพระเอก รู้แค่ว่าพระเอกกำลังอยู่ในช่วงทำใจเนื่องจากสูญเสียเพื่อนรักไป ในขณะที่ตอนนั้นนางเอกก็อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เพิ่งเสียพ่อ ญาติคนเดียวที่มีไปเช่นกัน ... ทั้งคู่เจอกันบนเรือสำราญ รักกัน และแต่งงานกันก่อนที่ทริปจะจบเสียอีกค่ะ

หนังสือมันขาดเสน่ห์ตรงที่ แทนที่ผู้เขียนจะเขียนเล่าแค่มุมของนางเอกฝ่ายเดียว เราคนอ่านจะได้ร่วมลุ้นและเรียนรู้ไปด้วยกัน (เพราะนางเอกไม่เชื่อว่าพระเอกเป็นคนหลอกลวง เชื่อเสมอว่าความรักของเขาทั้งคู่เป็นเรื่องจริง) ... แต่หนังสือดันเล่าทั้งสองมุม ทั้งมุมของนางเอก ที่ยังเชื่อว่าพระเอกเป็นคนดี และพยายามตามหาเขา อีกบทก็เล่าในมุมของพระเอก ที่กำลังทำภารกิจบางอย่าง แต่ก็บรรยายว่าพระเอกนั้นรักนางเอกจริงๆ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อปกป้องไม่ให้นางเอกมาเดือดร้อนและอาจได้รับอันตรายไปด้วย 

พอเรื่องเฉลยมาตั้งแต่แรกแบบนี้เลยไม่มีอะไรให้ลุ้นเลยค่ะ และผู้เขียนไม่สามารถบรรยายให้เรารู้สึกถึงนิสัยที่แท้จริงของนางเอกได้ คือ เธอดูพอร์เฟคเกินจริง บุคลิกไม่ชัดเจน คนอ่านเลยจินตนาการภาพนางเอกในหัวไม่ออก 

ตอนจบ ตอนจับคนร้ายได้ ก็ไม่มีอะไรให้ลุ้นเลยค่ะ ง่ายๆ แบบอย่างงี้ก็ได้ด้วยหรือ!!!???

สรุปคือไม่สนุกค่ะ ไม่แนะนำค่ะ

 

Monday, June 20, 2022

How Do You Live?

 


หนังสือชื่อ  :  How do you live?

ผู้แต่ง  :  Genzaburo Yoshino

ผู้แปล  :  Bruno Navasky

สำนักพิมพ์  :  Penguin Random House UK


ลึกซึ้งค่ะ ซะจนคิดว่าควรมีคนนำมาแปลเป็นภาษาไทย ...รู้สึกเสียดายว่าน่าจะดื่มด่ำกับความลึกซื้งได้ดีกว่านี้ ถ้าได้อ่านในเวอร์ชั่นภาษาแม่ค่ะ

เคยมีไหมคะ สักครั้งในชีวิตที่เราสงสัยตัวเองว่า "เราเกิดมาเพื่ออะไร?" คือเราควรเกิดมาเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่าการตื่นเช้าไปทำงานประจำ เพื่อหาเงินจ่ายค่าโน่นค่านี่ หรือเที่ยวดื่มกินไปวันๆ ... จุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่ของเรา ควรเป็นอะไรบางอย่างที่มากกว่าการใช้ชีวิตประจำวันเดิมๆ ควรมีความหมายมากกว่านั้น ...​แต่เราเองก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร

.

พล็อตเรื่องในหนังสือไม่มีอะไรตื่นเต้นเลยค่ะ เป็นชีวิตทั่วไปของเด็กหนุ่มวัยรุ่นญี่ปุ่นอายุ 15 ปี คือ Honda Junichi หรือ Copper -- หนังสือเล่มนี้เขียนในช่วงปี 1930 ค่ะ ยังไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง แต่กำลังจะเกิด (ญี่ปุ่นกำลังทะเยอทะยาน จะก่อสงคราม) แต่ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้กล่าวถึงบรรยากาศใดๆ ทางการเมืองเลยนะคะ 

Copper เป็นเด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่กับแม่สองคน พ่อเสียชีวิตแล้ว และมีน้า (ที่เป็นน้องชายของแม่) อาศัยอยู่ใกล้ๆ กัน Copper สนิทกับน้ามากค่ะ 

หนังสือเขียนเล่าชีวิตทั่วไปของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเลยค่ะ การเปลี่ยนผ่านจากเด็กที่สนุกไปวันๆ มาเป็นเด็กวัยรุ่นที่เริ่มคิด วิเคราะห์เรื่องต่างๆ มากขึ้น 

หนังสือเล่าชีวิตประจำวันของ Copper สลับกับบทที่เป็นบันทึกในไดอารี่ของคุณน้า ไดอารี่เล่มนี้ น้าเขียนขึ้นเพื่อวันหนึ่งจะมอบให้ Copper เมื่อเขาโตขึ้นค่ะ

.

ความลึกซึ้งของหนังสือคือความธรรมดาของมันเนี่ยแหละค่ะ ชีวิตของ Copper ก็คล้ายๆ ชีวิตของเราตอนเป็นวัยรุ่นอายุเท่าๆ Copper แหละ เราจะเริ่มมองโลกในมุมที่ไม่ใช่เด็กๆ อีกต่อไป เริ่มเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ 

พอยิ่งโต เราก็ยิ่งมีหลายอย่างที่เราทำพลาดไป หลายอย่างที่เรามารู้ตัวทีหลังและเสียใจว่าไม่น่าทำลงไปเลย ... และเราก็ได้ตระหนักว่าสิ่งที่เราทำไปแล้วนั้น อดีตไม่สามารถหวนคืน เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เราได้ทำลงไปได้ ...ยิ่งรู้เช่นนี้ เรายิ่งเศร้าเสียใจมากขึ้น ... เหมือนตอนที่ Copper นิ่งเฉย ยืนดูเพื่อนๆ โดนรุ่นพี่รุม โดยไม่ไปแสดงตัวเข้าไปช่วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็สัญญากันดิบดีว่าจะช่วยกัน แต่พอเจอเข้าจริง Copper กลับยืนนิ่งเป็นท่อนไม้ เพราะกลัวค่ะ ... Copper รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนทรยศ รู้สึกละอาย รู้สึกแย่ ... ในบทนี้คำปลอบโยนของแม่ และคุณน้า ลึกซึ้งมากค่ะ 

คุณน้าบอกว่า เพราะเราโตขึ้น ยิ่งอายุเยอะขึ้น ก็จะมีหลายสิ่งที่เราเสียใจที่ได้ทำลงไป มีการกระทำหลายอย่างที่เราละอายใจที่ได้ทำลงไป ... ที่เป็นแบบนี้ ก็เพราะเราได้ทำลงไปไง เปรียบเทียบเหมือนกษัตริย์ที่รู้สึกเศร้าที่สูญเสียบัลลังก์ กับอีกคนที่ไม่เคยเป็นกษัตริย์เลย -- ถ้าเราไม่เคยเป็นกษัตริย์เลย เราก็จะไม่รู้เลยว่าการเป็นกษัตริย์และต่อมาต่อเสียบัลลังก์จะมีความรู้สึกเช่นไร --- ดังนั้นไม่แปลกหรอกที่เราจะรู้สึกเสียใจในการกระทำที่ผิดพลาดของเรา เพราะนั่นคือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ และเติบโตต่อไป

หนังสือเล่มนี้สอนเรื่องการให้อภัยตัวเอง และก้าวต่อไปค่ะ -- สอนเรื่องทุกคนเชื่อมโยงกันด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง -- สอนให้เป็นผู้ผลิตต่อโลก ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ผู้บริโภคอย่างเดียว

Friday, June 3, 2022

The Rules of Seeing

 


หนังสือชื่อ  :  The Rules of Seeing

ผู้แต่ง  :  Joe Heap

สำนักพิมพ์  :  HaperCollinsPublisher


เป็นหนังสือแนวโรแมนติกดราม่าของหญิงรักหญิง ระหว่าง Nova และ Kate ค่ะ

-

Nova ตาบอดมาตั้งแต่กำเนิด ทำงานเป็นล่ามให้ตำรวจ เธอพูดได้ถึง 5 ภาษาเลยค่ะ ...หลังจากตาบอดมา 32 ปี วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น และเธอเข้ารับการผ่าตัด ทำให้สามารถมองเห็นได้ (อาจจะไม่เหมือนคนปกติซะทีเดียว แต่คือไม่ตาบอดอีกแล้วค่ะ) ...​นี่คือที่มาของชื่อหนังสือ แบบตรงตัว คือ Nova ต้องเรียนรู้ที่จะมองเห็น 

สำหรับคนตาปกติ ที่มองเห็นสิ่งต่างๆ มาตั้งแต่เกิด อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับคนตาบอดตั้งแต่เกิด แล้วอยู่ๆ มามองเห็นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว Nova ต้องเรียนรู้หลายอย่างเลยค่ะ ในเล่มจึงแฝงไปด้วยกฎของการมองเห็นที่ Nova เรียนรู้ ...กฎบางอย่างเป็นเรื่องที่เราไม่ทันคิดด้วยซ้ำ เปิดมุมมองของเราได้ดีเลยทีเดียวค่ะ เช่น ให้ระวังวัตถุที่ดูใส โปร่งแสง เช่น กระจก อย่าเดินไปชน หรือเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า มันดูเหมือนของแข็ง แต่ไม่ต้องกังวล เครื่องบินและนกจะบินทะลุมันได้ ... หรือตอนที่ Nova ร้องไห้ เมื่อเธอมองเห็นพระจันทร์เป็นครั้งแรก เพราะนี่คือวัตถุที่อยู่ไกลที่สุด แล้วเธอก็สามารถมองเห็นมันได้ 

Nova มีบุคลิกฉลาด น่ารัก มีอารมณ์ขัน มาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดี นิสัยเหมือนเธอเป็นเด็กน้อยที่ตื่นเต้นกับทุกสิ่งรอบตัว ... ทั้งๆ ที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว (อายุ 32 ปี) แต่เหมือนเธอไม่เคยเจอเรื่องเลวร้าย หรือโลกอันโสมมไม่เคยสัมผัสจิตวิญญาณของเธอเลยค่ะ

-

Kate ทำงานเป็นนักตกแต่งภายใน แต่งงานแล้วกับนายตำรวจ Tony

Kate พยายามหลอกให้ตัวเองเชื่อว่าชีวิตสมรสระหว่างเธอกับ Tony นั้นเป็นไปด้วยดี เธอไม่รับรู้ว่าจริงๆ แล้ว Tony ทำร้ายร่างกายเธอ คือครั้งแรกมันไม่ชัด เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ถัดๆ มาเนี่ย มันชัดแล้วนะ แต่ Kate ก็พยายามไม่คิดถึงมัน แถมตามสูตรของผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัวเลยค่ะ Tony โทษว่าเป็นเพราะ Kate นั่นแหละ ที่ทำให้เขาโมโห จนต้องลงมือทำร้ายเธอ

คือ Kate ซึ่งตาดี ไม่ได้ตาบอด แต่กลับมองไม่เห็นความรุนแรงที่ตัวเองตกเป็นเหยื่ออยู่ข้างหน้า ... จริงๆ แล้ว เธอเองก็ควรเรียนรู้ที่จะมองด้วยเช่นกันค่ะ

-

หนังสือตอนช่วงแรก จะเล่าสลับกันระหว่าง Kate กับ Nova ค่ะ เพราะตอนนั้นเธอทั้งคู่ยังไม่รู้จักกัน ... จนกระทั่งชีวิตโคจรให้มาเจอกัน ...Nova จีบ Kate ก่อน (เพราะ Nova รู้ตัวว่าเป็นหญิงรักหญิง แต่ Kate นั่นไม่ค่ะ ก็แต่งงานกับผู้ชายอ่ะนะ) ส่วน Kate ก็สานสัมพันธ์ด้วย แต่อยู่ในขอบเขตเป็นเพื่อน เพราะ Kate เหงาค่ะ และระหว่างนั้น ความสัมพันธ์ของ Kate กับสามีก็เลวร้ายลง Kate รู้สึกว่าตัวเองกลัวสามีอย่างไม่มีเหตุผล แต่พยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่มีอะไร

-

หนังสือเขียนดีนะคะ สำนวนดี อ่านง่าย เรื่องดำเนินเร็ว เพียงแต่เราไม่ถนัดแนวโรแมนติกดราม่าแบบนี้ ยิ่งเป็นเรื่องความรุนแรงในครอบครัวแล้ว ยิ่งไม่ชอบอ่านค่ะ ... แต่คนเขียนเขียนดีมาก ถ่ายทอดบุคลิกที่แตกต่างกันระหว่าง Kate กับ Nova ได้เป็นอย่างดี ... คนเขียนสามารถถ่ายทอดความคิดของ Kate ที่ถ้าเป็นคนนอกคงไม่เข้าใจ ว่าทำไม ผู้หญิงฉลาด มีการศึกษาดี มีหน้าที่การงานมั่นคงอย่าง Kate ถึงทนรองมือรองเท้าผัวชั่วๆ อยู่ได้ ทำไมถึงไม่เลิกกับมันเสีย ... ก็เพราะความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และคนนอกยากจะเข้าใจ แต่หนังสือถ่ายทอดมาได้ดีเลยทีเดียวค่ะ

-

แต่มีหลายเรื่องที่ผู้เขียนทิ้งเป็นปริศนา และไม่ไขให้คนอ่านกระจ่าง เช่น ตอนที่ Nova กับ Kate ไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกัน และเห็นสิงโตตัวผู้ทำอะไรบางอย่าง ที่ Kate เห็นแล้วเธอรู้สึกไม่สบายใจ และหวนคิดถึงความรุนแรงที่เธอได้รับ ... ผู้เขียนไม่เขียนให้กระจ่างว่าสิงโตทำอะไร ผสมพันธุ์กับตัวเมีย? คือคนอ่านไม่รู้ง่า

หรือตอนที่ Kate รื้อลิ้นชักทำงานของ Tony และเจอกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง และเป็นสาเหตุของการทะเลาะและทำร้ายร่างกายตามมา คนเขียนก็ไม่เขียนให้กระจ่างว่ามันคืออะไร 

คือเหมือนคนเขียนไม่เน้นความสัมพันธ์ของเนื้อเรื่อง ที่มาที่ไปน่ะค่ะ แต่เน้นเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของ Kate และ Nova มากกว่า ... Tony ก็เหมือนตัวร้ายของเรื่อง ที่จะมาจะไป เราคนอ่านไม่รู้ความเคลื่อนไหวเลย



Wednesday, May 11, 2022

The Seven Deaths of Evelyn Hardcastle

 


หนังสือชื่อ  :  The Seven Deaths of Evelyn HardCastle

ผู้แต่ง  :  Stuart Turton

สำนักพิมพ์  :  Raven Books 


สนุกค่ะ เป็นนิยายเล่มหนา ความยาวพันกว่าหน้า แต่เนื้อหากลับวางไม่ลง และชวนให้อ่านต่อไปเรื่อยๆ อ่านแล้วเต็มไปด้วยความสงสัย เต็มไปด้วยคำถาม จนวางไม่ลง ต้องพลิกอ่านต่อไปเรื่อยๆ ... ถ้าคนที่ชอบสไตล์การดำเนินเรื่องแบบ "โลกของโซฟี" น่าจะชอบอ่านเล่มนี้ค่ะ เพราะเป็นการดำเนินเรื่องชวนให้งงในเรื่องของ time line ทำนองเดียวกัน

หนังสือเริ่มจากการรู้สึกตัวขึ้นกลางป่าของ Sebastia Bell, Bell ตื่นขึ้นมาแบบจำได้แค่ตะโกนเรียกชื่อ Anna แต่ที่เหลือจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ กลายเป็นคนความจำเสื่อม ... และต่อมาดูเหมือน Bell จะเป็นพยาน ได้ยินการฆาตกรรมผู้หญิงคนหนึ่งกลางป่า แต่พอตั้งทีมหา กลับไม่เห็นมีใครเจอศพของผู้หญิงปริศนาคนนั้น

ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่า ทั้งหมดเป็นเกมส์ ที่ผู้เล่นคือ Aiden Bishop จะเข้าไปสิงอยู่ในร่างของแขกแต่ละคน ทั้งหมดมี 8 คนด้วยกัน มีเวลาอยู่ในร่างนั้นคนละ 24 ชั่วโมง หมดจาก 24 ชั่วโมง เวลาจะย้อนกลับไป 1 วัน แล้วก็ให้สิงร่างใหม่ ...ทั้งหมดที่ทำไปเพื่อหาตัวฆาตกร คนที่ฆาตกรรม Eyelyn Hardcastle โดยให้ Aiden สืบจากสายตาของพยานแต่ละคน วนไป 8 ครั้ง และเมื่อถึงวันสุดท้าย ถ้า Aiden ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่า ใครคือฆาตกร ทุกอย่างก็จะวนลูปกลับมาเหมือนเดิม คือ Aiden จะถูกลบความทรงจำเรื่องที่รู้เกี่ยวกับการฆาตกรรมก่อนหน้านี้ และกลับมาสิงร่างพยานใหม่ สืบหาฆาตกรต่อไป ... วนลูปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ค่ะ ถ้าหาฆาตกรไม่ได้ ก็วนไปอย่างนี้เหมือนโดนสาปเรื่อยไป

เหตุการณ์ฆาตกรรมจะเกิดขึ้นในงานเลี้ยงต้อนรับ Evelyn Hardcastle และจะเป็นงานเปิดตัวคู่หมั้นของเธออย่างเป็นทางการด้วยค่ะ งานเลี้ยงจัดขึ้นที่ปราสาท Blackhealth อันเป็นปราสาทเก่าแก่ของตระกูล Hardcastle 

ปราสาท Blackhealth นี้ เมื่อ 19 ปีก่อน เคยมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นค่ะ เหยื่อคือเด็กชาย Thomas Hardcastle อายุ 7 ขวบ น้องชายของ Evelyn ค่ะ เสียชีวิตเพราะถูกแทง จับคนร้ายได้หนึ่งคน อีกคนหนีไปได้ -- เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ พ่อแม่ของ Evelyn โทษว่าเป็นความผิดของ Evelyn ที่ดูแลน้องไม่ดี (อ่านแล้วแปลกๆ เนอะ ทำไมโทษเด็ก ตอนที่เกิดเหตุนั้น Evelyn อายุแค่ 10 ขวบเองค่ะ)

Evelyn จะถูกฆาตกรรมในเวลาห้าทุ่มของทุกวันค่ะ ดูเผินๆ แล้วการตายของเธอน่าจะเรียกว่าการฆ่าตัวตายมากกว่า ...แต่ทำไมผู้คุมจึงตั้งกติกาว่าให้สืบฆาตกรที่ฆ่า Evelyn?

---

8 ร่างที่ Aiden จะเข้าสิงได้แก่

1. Dr. Sebastia Bell <-- เป็นเอเย่นต์ขายยาเสพติดให้แก่คนในปราสาท แต่หนึ่งวันก่อนปาร์ตี้ Bell เจออุบัติเหตุบางอย่าง ทำให้ความจำเสื่อม 

2. Roger Collins <-- เป็นบัตเลอร์ของปราสาท 

3. Donald Davies <-- แขกที่ได้รับเชิญมาร่วมงานปาร์ตี้ เนื่องจากเป็นเพื่อนกับ Evelyn และน้องๆ มาตั้งแต่สมัยเด็ก

4. Lord Cecil Ravencourt <-- อดีตนายธนาคาร เป็นคนร่ำรวย แต่อายุมากแล้ว อาบน้ำด้วยตัวเองยังไม่ได้เลย และเป็นว่าที่คู่หมั้นของ Evelyn ที่จะเปิดตัวในงานปาร์ตี้คืนนี้

5. Jonathan Derby <-- นักข่มขืน ได้เป็นแขกมาร่วมงานปาร์ตี้ เพราะแม่สนิทกับครอบครัว Hardcastle เป็นผู้ชายน่ารังเกียจ 

6. Edward Dance <-- ทนายความ ของตระกูล Hardcastle

7. Jim Rashton <-- ตำรวจ เป็นหนึ่งได้แขกที่ได้รับเชิญร่วมงานปาร์ตี้ ที่ได้เป็นแขกเพราะเป็นแฟนกับ Grace Davies (พี่สาวของ Donald Davies)

8. Gregory Gold <-- จิตกร เป็นคนวาดภาพเหมือนของตระกูล Hardcastle 

---

ปาร์ตี้ก็ดูเหมือนจัดโดยมีเจตนาแอบแฝงค่ะ เพราะตั้งใจจัดในวันเดียวกับที่ Thomas ถูกฆาตกรรมเมื่อ 19 ปีก่อน และก็เชิญแขกคนเดียวกันกับเมื่อ 19 ปีก่อนด้วย ... และสุดท้าย Evelyn ก็ตายที่จุดเดียวกับที่ Thomas ตาย ต่อหน้าแขกในงาน!

นอกจากจะต้องสืบหาฆาตการที่ฆ่า Evelyn แล้ว Aiden ยังต้องระวัง the footman ด้วยค่ะ ในเรื่องบอกว่า the footman เป็นคนที่จ้องจะสังหารผู้เล่น เนื่องจากนอกจาก Aiden แล้วยังมีผู้เล่นคนอื่นๆ อยู่อีกด้วย กติกาคือ มีเพียงคนเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครคือฆาตกร และคนนั้นจะได้ออกจากลูปนี้ไป มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะออกไปได้ค่ะ 

.

เป็นนิยายที่สนุกค่ะ แต่ละบท อ่านแล้วก็เต็มไปด้วยคำถาม ทำไม ทำไม เต็มไปหมด ...อ่านช่วงแรกๆ เหมือนเป็นนิยายฆาตกรรมที่พล็อตหลวมๆ ไม่สมจริง ...แต่พออ่านไปเรื่อยๆ มีพลิกมุม หักมุม เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ